“แย่แล้ว ไอ้หนุ่มคนนั้นเข้าไปแล้ว!” มีคนตะโกนพูด
นักพรตชิงซงขมวดคิ้ว มองลู่เจี้ยนอู่แล้วพูด “ยังรออะไรอีก รีบร่วมมือกันทำลายพลังต้องห้ามนี้สิ ชักช้าเดี๋ยวของที่อยู่ข้างในก็ถูกไอ้หนุ่มคนนี้เอาไปหมดหรอก!”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นเรามาปล่อยพลังพร้อมกัน!” ลู่เจี้ยนอู่ตะโกนพูด แดนเทพทั้งสี่ก็โจมตีพลังต้องห้ามพร้อมกัน
ตู๊ม!
พลังรวมของทั้งสี่คน แม้มันจะเป็นพลังที่น่าทึ่งมาก แต่ก็ไม่สามารถตีฝ่าพลังต้องห้ามนี้ได้ ถึงขนาดถูกพลังต้องห้ามดีดกระเด็นออกมา
“เป็นไปได้ไง!” นักพรตชิงซงมองไปยังพลังต้องห้ามที่ว่างเปล่านี้ด้วยความสยดสยอง “เราทั้งสี่คนร่วมมือกันแล้ว บนโลกใบนี้ยังมีพลังต้องห้ามที่เราทำลายมันไม่ได้อีกเหรอ!“
ลู่เจี้ยนอู่ท้อแท้เล็กน้อย พูดอย่างถอนหายใจ “นักพรตชิงซงจะพูดแบบนี้ไม่ได้ โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล มันไกลเกินจินตนาการของคุณและผม แม้เราสี่คนจะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนเทพ แต่ว่าบนแดนเทพต้องมีคนที่เหนือแดนเทพ ถ้าหากพลังต้องห้ามนี้สร้างมาเพื่อให้คนระดับนั้น เราทำลายมันไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ปกติ!”
“น้องลู่ นายช่างมองโลกในแง่ดีเหลือเกิน ฉันไม่เหมือนนาย มิน่าล่ะนายที่อายุน้อยกว่าฉัน แต่พลังบำเพ็ญกลับเหนือกว่าฉันไปแล้ว!” หนานเฮ่อหยู่กล่าว
“พี่หนานพูดเกินไปแล้ว” ลู่เจี้ยนอู่พูดอย่างถ่อมตน
“แล้วตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร? เมื่อตีฝ่าพลังต้องห้ามนี้ไม่ได้ หรือว่าทำได้เพียงแค่ทนดูไอ้หนุ่มคนนี้เอาของดีที่อยู่ข้างในไปให้หมด?” นักพรตชิงซงที่ค้างคาใจ
“หรือว่าเราทุกคนมารวมพลังกัน แล้วลองอีกครั้ง?” หนานเฮ่อหยู่พูดขึ้น
“วิธีนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้!” ลู่เจี้ยนอู่มองทุกคนไปแวบหนึ่ง และแสดงความเห็นชอบ
“ดี!” หนานเฮ่อหยู่รีบหันหลังมองไปยังนักบู๊ทุกคน คารวะแล้วพูด “ทุกท่าน พลังต้องห้ามนี้แข็งแกร่งมาก พวกเราสี่คนร่วมมือกันแล้วก็ยังทำลายมันไม่ได้ หวังว่าทุกท่านจะสามารถช่วยผม ถ้าหากข้างในมีของล้ำค่า เรามาแบ่งมันเท่าๆกัน!”
ทุกคนก็ต้องยินดีที่จะช่วยอยู่แล้ว ในเมื่อมาถึงที่นี่ ทุกคนก็อยากจะเข้าไปดูให้กับตา
“ได้ พวกเรายินดีที่จะช่วยผู้อาวุโส!”
หนานเฮ่อหยู่พยักหน้า บนใบหน้าปรากฏด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ
“ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็ฟังคำสั่งของฉัน ขอเพียงฉันนับถึงสาม ทุกคนก็ปล่อยพลังโจมตีพร้อมกัน!” หนานเฮ่อหยู่พูดอย่างเสียงดัง
“ได้เลย!” ทุกคนตอบพร้อมกัน
หนานเฮ่อหยู่สีหน้าเคร่งขรึม หมุนเวียนพลังบำเพ็ญภายในร่างกาย ขณะที่เตรียมโจมตี ก็ได้ตะโกนขึ้นอย่างเสียงดัง “หนึ่ง สอง สาม โจมตี!”
คนหลายร้อยปล่อยพลังโจมตีพร้อมกัน พลังแบบนี้สามารถทำลายล้างโลกได้
อย่างไรก็ต้อง สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือ พลังต้องห้ามนี้ยังคงไม่สามารถขจัดมันออกไปได้ ทุกคนถูกพลังต้องดีดสะท้อน จนกระเด็นลอยออกไป
นักพรตชิงซงด่าอย่างโกรธเคือง “มันเป็นไปได้ไง!”
“เฮ้ย ตอนนี้ดูแล้วคงทำได้เพียงรอให้ไอ้หนุ่มคนนั้นออกมา แล้วเราก็บีบบังคับมันให้ส่งมอบของที่ได้จากข้างในออกมา” แววตาของหนานเฮ่อหยู่มีความขุ่นมัว
เฉินโม่พาทั้งสองคนเข้าไปในตำหนัก แม้จะเรียกว่าตำหนัก แต่ข้างในนั้นเรียบง่ายมาก ห้องโถงว่างเปล่า มีรูปแกะสลักหนึ่งอัน
หญิงสาวในชุดโบราณถือกระบี่ อยู่ในท่ากำลังโบยบินไปบนท้องฟ้า ราวกับว่าเธอต้องการกางปีกและบินให้สูง
รูปแกะสลักนี้เหมือนจริงและดูสมจริงมาก ชัดเจนกว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เฉินโม่เคยเห็นมาก่อน และชัดเจนกว่ารูปที่อยู่บนหยกที่อยู่ในมือเฉินโม่ ราวกับว่าคนจริงๆได้ยืนอยู่ตรงหน้าของเฉินโม่
หลินหยุนอุทานไปหนึ่งที “รูปแกะสลักผู้หญิงนี้ เป็นคนเดียวกันกับคนที่อยู่บนหยก!”
ทั้งสามคนมองหน้าเฉินโม่พร้อมกัน รอคำตอบของเฉินโม่
เฉินโม่หยิบหยกออกมา ชูขึ้นเปรียบเทียบกับรูปแกะสลักตัวนั้น
“ใช่ มันคือคนคนเดียวกัน” เฉินโม่พูดอย่างราบเรียบ และดีใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้เกือบจะแน่ใจแล้ว ที่นี่แม้จะไม่ใช่ที่อยู่ที่ศิษย์น้องหญิงเคยอยู่มาก่อน ก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับศิษย์น้องหญิงอย่างมาก