เมื่อคิดได้ นักพรตชิงซงก็พยายามระงับความโกรธในใจ จ้องเฉินโม่แล้วพูดอย่างเย้ยหยัน “ไอ้หนุ่ม นายว่านายสามารถทำลายพลังต้องห้ามนี้ได้ ฉันรู้สึกว่านายมันแค่คุยโวโอ้อวดเท่านั้น เมื่อกี้เกือบจะหลงกลนายไปแล้ว ถ้าหากนายมีวิธีทำลายพลังต้องห้ามจริง แล้วทำไมไม่ทำลายพลังต้องห้ามของที่นี่?”
“เราถูกขังไว้ตรงนี้นายแล้ว” ทันใดนั้นนักพรตชิงซงก็หันไปมองจวนน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้าแล้วกล่าว
ทุกคนอึ้งไปครู่หนึ่ง คิดในใจ “นักพรตชิงซงคนนี้แผนการล้ำลึกจริงๆ!”
เฉินโม่มองจวนน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้า แล้วพูดอย่างราบเรียบ “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็เบิกตาให้กว้าง”
เฉินโม่พูดจบ ก็พาหลินหยุนสามคน เดินไปตรงหน้าประตูของจวนน้ำแข็งในระยะสามเมตร
เฉินโม่ยื่นมือออกไปอย่างชิวๆ ค่อยๆหงายฝ่ามือออก และวาดลวดลายที่ลึกลับและซับซ้อนในความว่างเปล่า
จากนั้น ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของทุกคน เฉินโม่นำหลินหยุนสามคนทะลุผ่านพลังต้องห้ามนั้นโดยตรง
“เขาสามารถฝ่าพลังต้องห้ามนี้ได้จริง!” นักพรตชิงซงอุทานเสียงดัง สายตาที่มองเฉินโม่เต็มไปด้วยแรงสังหาร และเสียดายเป็นอย่างมาก เมื่อกี้เขาน่าจะลงมือฆ่าเฉินโม่เลย
เฉินโม่ยืนอยู่ในแดนต้องห้าม มองทุกคนอย่างเย้ยหยัน แล้วพูดอย่างราบเรียบ “ตอนนี้พวกแกเห็นชัดหรือยัง? พลังต้องห้ามนี้ขอเพียงฉันอยากจะเข้ามาก็สามารถฝ่าเข้ามาได้เลย มันก็เหมือนกับสวนหลังบ้านของฉันเลย”
“……”
ทุกคนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ คำพูดนี้ก็เหมือนกับฝ่ามือตบไปที่หน้าของทุกคน โดยเฉพาะคนของหกสำนักใหญ่
“ไร้เหตุผลสิ้นดี!” ชายวัยกลางคนของสำนักคุนชางคนหนึ่ง มือถือดาบ โกรธจนหน้าซีดกว่าเสื้อขาวที่ใส่อยู่เสียอีก
“ได้หนุ่มคนนี้มันเหิมเกริมไปแล้ว ก่อนหน้านี้เราต่างคนต่างหาวิธีของตัวเอง ยังไม่สามารถฝ่าพลังต้องห้ามนี้ ตอนนี้ก็เลยต้องเสียผลประโยชน์ให้กับไอ้หนุ่มคนนี้ แผนการในตอนนี้ เราต้องร่วมมือกัน เพื่อหาทางฝีพลังต้องห้ามนี้ไปให้ได้ แล้วไปฆ่าไอ้หนุ่มคนนั้นเสีย
“ไม่เช่นนั้น ชื่อเสียงสำนักใหญ่อย่างพวกเราล้วนถูกไอ้หนุ่มคนนี้ทำลายไปแล้ว”
ชายชราที่มีผิวสีเหลือง และใบหน้าผอมเห็นกระดูกยิ้มและพูดว่า “น้องลู่พูดถูก สำนักทั้งหกของเรารวมกันเป็นหนึ่ง แม้ว่าจะมีความแตกต่างเล็กน้อย แต่เมื่อเผชิญกับศัตรูตรงหน้า เราต้องรวมกันเป็นหนึ่ง ”
“เรามารวมพลังกันเพื่อฝ่าพลังต้องห้ามนี้เถอะ จากนั้นก็จับตัวไอ้หนุ่มคนนี้เอาไว้ จากนั้นก็บีบบังคับให้เขาพูดถึงวิชาที่ใช้ฝ่าพลังต้องห้าม”
ผู้เฒ่าคนนี้ เป็นยอดฝีมือของสำนักจิ่วหวาหนานเฮ่อหยู่
นักพรตชิงซงพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “ผมเห็นด้วย”
“งั้นดีเลย ในเมื่อนักพรตชิงซงเห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราก็มาร่วมมือกันฝ่าพลังต้องห้ามนี้กันดีมั้ย?” หนานเฮ่อหยู่พูดขึ้น
“ได้!”
ทั้งสามคนตกลงไปในทางเดียวกัน จากนั้นก็มองไปยังหญิงสาวชุดขาวปิดหน้าที่อยู่ตรงมุมขาว
“เทพธิดาหลิงซวงมีความเห็นอย่างไร?” หนานเฮ่อหยู่ทำมือคารวะ แล้วถาม
เสียงของผู้หญิงเย็นชาและสงบ ราวกับนางฟ้าผู้ไม่เคยใช้ชีวิตบนโลกมาก่อน “สำนักเอ๋อเหมยของเราไม่เข้าร่วมเรื่องแบบนี้”
หนานเฮ่อหยู่ไม่ได้โกรธ แต่กลับหัวเราะพูด เทพธิดาหลิงซวง“พูดแบบนี้ไม่ถูกนะ เราหกสำนักก็เหมือนพี่น้องกัน สำนักเอ๋อเหมยซึ่งเป็นหนึ่งในหกสำนัก จะยืนดูได้อย่างไร?”
“อีกอย่าง ถ้าหากเราสามสำนักรวมพลังแล้วสามารถฝ่าพลังต้องห้ามนี้ได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะสูญเสียพลังไปเกือบหมด สำนักเอ๋อเหมยของคุณก็จะรอรับผลประโยชน์เหรอ?”
ลูกน้องของเทพธิดาหลิงซวงที่อยู่ด้านหลังก็ลุกขึ้นยืนในทันที จ้องหนานเฮ่อหยู่ด้วยความไม่พอใจ
เทพธิดาหลิงซวงยกมือขึ้นห้าม เพื่อบอกให้ลูกน้องอยู่ในความสงบ จากนั้นก็มองหนานเฮ่อหยู่อย่างเยาะเย้ย พูดอย่างเย็นชา “ในเมื่อคุณสงสัยพวกเรา เราร่วมมือกับพวกคุณในการทำลายพลังต้องห้ามนี้ก็ได้แล้ว”
ลู่เจี้ยนอู่ก็รีบมาเป็นผู้สร้างสันติในทันที ยิ้มแล้วพูด “แบบนี้ถูกแล้ว เราเป็นคนของหกสำนักใหญ่ เราจะมาผิดใจต่อหน้าคนนอกได้อย่างไร?”
เฉินโม่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ก็ได้หมดความสนใจกับหกสำนักใหญ่ของโลกบู๊โบราณไปในทันที
สำนักที่แก่งแย่งชิงดีแบบนี้ จะมีอัจฉริยะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?
“ไป เข้าไปดูข้างในกัน!” เฉินโม่พูดกับหลินหยุนสามคน ผลักประตูแล้วเข้าไปข้างใน