ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น เขายืนอยู่ภายในห้องเงียบ ทันใดนั้นโครงร่างก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย รูปโฉมก็เปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ท่วงท่าก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย กลายเป็นดูเยียบเย็นราวกับน้ำแข็งหมื่นปีก็มิปาน อันที่จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับคนระดับอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว การเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายวิญญาณนั้นง่ายดายมาก เพียงแต่จะสกัดกั้นเคล็ดวิชา ‘สอดส่อง’ กลับมิใช่เรื่องง่ายเลย
ผู้แกร่งกล้าของโลกใบนี้ บางคนมีจิตสัมผัสพิเศษ เนื่องจากวิญญาณเป็นเหตุ
จิตสัมผัสบางอย่างสามารถมองเห็นพลังที่แท้จริงของผู้อื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง! เช่น ‘ดวงตาทิพย์แสงมรกต’ ของพ่อบ้านอวิ๋นผู้นั้น สายเลือดบรรพเทวะนั้นมีต้นกำเนิดเป็นถึงผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสามท่านที่รังสรรค์โลกใบนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าย่อมมีสิ่งที่น่าพิศวงต่างๆ เป็นธรรมดา อย่างผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพ หากเชี่ยวชาญทางด้านการสอดส่อง วิธีการทางด้านการสอดส่องก็จะร้ายกาจกว่าพ่อบ้านอวิ๋นผู้นั้นเสียอีก
ก่อนหน้านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถสกัดกั้นการสอดส่องได้!
แต่ตอนนี้…
“ด้วยผลสำเร็จบนเส้นทางวิญญาณของข้า เกรงว่าต่ำกว่าผู้แกร่งกล้าคละถิ่นลงไป คงไม่มีผู้ใดสามารถมองพลังที่แท้จริงของข้าได้ทะลุปรุโปร่งกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ครั้งนี้กระบวนท่าที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียม วิญญาณวิวัฒน์ไปอีกครั้ง จนไปถึงตรงหน้าขีดจำกัด ‘การเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้’ แล้ว ขอเพียงบรรลุขึ้นมาอีกบ้างสักเล็กน้อย ก็จะเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ได้สำเร็จ ถึงตอนนั้นวิญญาณก็สามารถหลอมรวมเข้าไปในต้นกำเนิดของโลกใบหนึ่งได้แล้ว หากโลกไม่แตกสลายก็ไม่ตาย!
บัดนี้กลิ่นอายวิญญาณเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อว่าไม่มีผู้ใดสามารถมองทะลุการปกปิดวิญญาณของตนแล้วมองตนอย่างทะลุปรุโปร่งได้
“เข้ามาอีกสักกระบี่หนึ่งสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือออกไป ในมือก็มีกระบี่เทพซึ่งอยู่ในฝักปรากฏขึ้นเล่มหนึ่ง เขายิ้มออกมาแล้วโบกมือคราหนึ่ง ก่อนจะสะพายกระบี่เทพเอาไว้บนหลัง
อาภรณ์สีขาวทั้งร่าง สะพายกระบี่เทพเอาไว้บนหลัง
“วิ้ง”
กลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทะยานขึ้นไปจนถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! กลิ่นอายของเขาเต็มไปด้วยความเฉียบคม
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้อาศัยความพิเศษของวิญญาณก็สามารถปลอมแปลงได้อย่างง่ายดาย หากเขาปรารถนา ก็สามารถปลอมแปลงเป็นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ได้ เพียงแต่ไม่จำเป็น!
“แคว่ก”
ทันใดนั้นภายในห้องเงียบก็มีรอยแยกมิติสีดำสายหนึ่งผุดขึ้นมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก่อนจะเข้าไปในนั้นแล้วหายวับไป มุ่งหน้าไปยังเมืองมังกรเหล็ก
******
เมืองมังกรเหล็ก
นี่คือเมืองใหญ่อันรุ่งเรืองหาใดเปรียบ เจ้าเมืองมังกรเหล็กสามารถจัดอยู่ในอันดับที่เจ็ดของผู้แกร่งกล้าที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ทั้งหมดสามสิบกว่าคนได้ แน่นอนว่าพลังจะต้องน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง ต้องรู้ไว้ว่า ‘จ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว’ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นซึ่งสามารถสำแดงพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ออกมาได้โดยกำเนิดและสามารถปกป้องสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทั้งฝูงได้ผู้นั้น ก็จัดเป็นแค่อันดับที่สิบสองเท่านั้นเอง
“จวนมังกรเหล็ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นลำแสงสายหนึ่งบินเหินอยู่เหนือท้องฟ้า เขาทะยานลงไป ร่อนลงตรงหน้าจวนขนาดมหึมาอันสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง จวนแห่งนี้กินพื้นที่กว้างขวางนัก ใหญ่โตกว่าเมืองจวิ้นซานทั้งเมืองเสียอีก มีอาณาเขตกว่าล้านลี้!
“แฮ่…”
ภายในจวนมีเสียงสะท้อนก้องขึ้นมาเป็นครั้งคราว
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็พอเดาออกว่า เสียงคำรามนี้น่าจะเปล่งออกมาโดยสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ‘มังกรเกล็ดจมเก้าเขา’ ภายในโลกเทพแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ‘มังกรเกล็ดจมเก้าเขา’ ทั้งหมดสองคนด้วยกัน พวกมันใช้ชีวิตอยู่ในจวนมังกรเกล็ดเหล็ก! นับได้ว่าพวกมันมีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกับเจ้าเมืองมังกรเหล็ก พวกมันต้องให้เจ้าเมืองมังกรเหล็กคอยคุ้มครอง! ส่วนคัมภีร์มังกรเหล็กไร้ทลาย คัมภีร์สำหรับบำเพ็ญซึ่งเจ้าเมืองมังกรเหล็กเป็นผู้คิดค้นขึ้นนั้น ด้วยความช่วยเหลือจากมังกรเกล็ดจมเก้าเขา เมื่อบำเพ็ญแล้วจึงคล่องตัวลื่นไหล บุตรธิดาทั้งห้าของเจ้าเมืองมังกรเหล็กล้วนถูกบ่มเพาะจนถึงระดับจักรพรรดิเทพ ทั้งยังสามารถกล่าวได้ว่าผลาญสมบัติล้ำค่าไปเป็นจำนวนมาก วงศ์วานทางสายเจ้าเมืองมังกรเหล็กที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปนี้ มีจักรพรรดิเทพถือกำเนิดขึ้นมามากนับร้อยคน! ซึ่ง ‘มังกรเกล็ดจมเก้าเขา’ สองตนนั้นมีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก
“สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดของโลกใบนี้ก็ช่างน่าสงสารจริงๆ ผู้แกร่งกล้ามากมายยิ่งนัก แม้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดจะสามารถรักษาชีวิตได้อย่างร้ายกาจ แต่เมื่อประสบกับการล้อมโจมตีของผู้แกร่งกล้าจำนวนมากก็ต้องสิ้นชีวิตไปอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง
ในหุบเขาเขี้ยวหักนั้นใช้งานซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดน้อยมาก ดังนั้นยอดเคารพทั้งห้าจึงคร้านจะไปสังหาร
แต่โลกใบนี้…เห็นได้ชัดว่ามีวิธีการใช้งานที่สูงส่งกว่ามากทีเดียว
“จักรพรรดิเทพท่านนี้ ท่านมายังจวนมังกรเหล็กของเราด้วยธุระอันใดหรือ” เหล่าทหารคุ้มกันมองดูบุรุษอาภรณ์ขาวซึ่งสะพายกระบี่เทพตรงหน้า เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเฉียบคมอันน่าหวาดหวั่น หัวใจของพวกเขาก็บีบรัดแน่นอย่างมิอาจควบคุม จึงมีท่าทีเกรงอกเกรงใจขึ้นมา
“ข้าเมฆาเขียว มาที่นี่เพื่อคารวะเจ้าเมืองมังกรเหล็ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“ท่านเจ้าเมืองของเราไม่พบแขกง่ายๆ หรอก” ทหารคุ้มกันคนหนึ่งพูดพลางขมวดคิ้ว แม้บุรุษอาภรณ์ขาวตรงหน้าจะมีกลิ่นอายอันแข็งแกร่งจนพวกเขาต้องเกรงใจ แต่ก็มิได้เกรงกลัว! เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนของจวนเจ้าเมืองมังกรเหล็กซึ่งท่านเจ้าเมืองเป็นถึงจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์! ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็มีมากถึงแปดท่านด้วยกัน แม้ส่วนใหญ่จะต่างคนต่างสร้างเมืองของตนเองขึ้นมา แต่ที่อยู่ในจวนก็มีจักรพรรดิเทพช่วงท้ายถึงสามคน ทั้งยังมีจักรพรรดิเทพช่วงกลางและช่วงต้นจำนวนมากกว่าอีกด้วย
“ช่วยไปรายงานสักหน่อยเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“ก็ได้ ท่านคอยอยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน” เพราะเห็นแก่พลังของคนตรงหน้า ทหารคุ้มกันจึงช่วยไปรายงานให้
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ
ไม่เสียทีที่เป็นจวนมังกรเหล็ก! หากตนคงกลิ่นอายเอาไว้แค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง เกรงว่าหากไม่มีเหตุผลเพียงพอ คงคร้านที่จะไปช่วยตนรายงานกระมัง
ผ่านไปชั่วจอกชาหนึ่ง ทหารคุ้มกันผู้นั้นก็กลับมาแล้วพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิงว่า “คุณชายใหญ่ของข้าเชิญท่านเข้าไป โปรดตามข้ามา”
“ประเสริฐ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปด้านในทันที คุณชายใหญ่หรือ เจ้าเมืองมังกรเหล็กมีบุตรธิดาห้าคน ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดก็คือคุณชายใหญ่ซึ่งเป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! ตามที่รายงานบรรยายเอาไว้ คุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็กผู้นี้…ตามปกติแล้วก็เป็นผู้ดำเนินการหลักของจวนมังกรเหล็ก เนื่องจากคนที่มีพลังระดับอย่างเจ้าเมืองมังกรเหล็กนั้นคร้านที่จะทำเรื่องจิปาถะเองแล้ว เขาจดจ่อกับบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว ด้วยหมายจะบรรลุเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นให้สำเร็จ
ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ไม่ว่าคนไหน ก็ล้วนแต่ถูกขนานนามว่าเป็นร่างกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ยืนอยู่ตรงหน้าเส้นแบ่งของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว! ผู้ที่บำเพ็ญสายเลือดเหล่านี้ เมื่อบรรลุและตื่นรู้ในท้ายที่สุดก็จะสามารถสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้
“ไปทางนี้ขอรับ” ทหารคุ้มกันนำทางอยู่ด้านหน้า “อย่าได้เดินสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นอันขาด จวนมังกรเหล็ก เรามีสถานที่ต้องห้ามมากมายที่ห้ามผู้มาเยือนจากภายนอกเข้าไปเด็ดขาด”
“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินตามไป
จวนมีขอบเขตนับล้านลี้ และทหารคุ้มกันผู้นี้ก็บินไปค่อนข้างช้า ครู่ใหญ่จึงนำทางตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงในสวนแห่งหนึ่ง
“คุณชายใหญ่ นำจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวมาถึงแล้วขอรับ” ทหารคุ้มกันพูดอย่างเคารพนบนอบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไป
บุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่งกำลังเอนพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ ด้านข้างยังมีสาวรูปโฉมงดงามหยดย้อยท่าทีแช่มช้อยสองนางคอยปรนนิบัติ ป้อนสุราชั้นเลิศให้อย่างไม่ขาดสาย
บุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้หน้าตาหล่อเหลาเอาการ เขาปรายตามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง นัยน์ตากลับแฝงไว้ด้วยความเหิมเกริม เขาโบกมือเบาๆ คราหนึ่ง “ถอยไปก่อน…จักรพรรดิเทพเมฆาเขียว หากท่านไม่รังเกียจ ขอเชิญท่านมาร่วมดื่มสุราด้วยกันสักสองสามจอกเถิด”
“ได้ดื่มสุราในจวนมังกรเหล็กสักสองสามจอก ผู้ใดจะรังเกียจได้ลงคอเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มก่อนจะนั่งขัดสมาธิลง
บุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้ก็คือคุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็ก…‘เถี่ยหลงอวิ๋นซาน’ อันดับที่แปดสิบห้าของรายนามจักรพรรดิเทพ! ที่เขามีพลังเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าเป็นเพราะความช่วยเหลือนานัปการจากบิดาของเขาและสมบัติล้ำค่าด้วย! แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สามารถถูกตระกูลจิตฟ้าจัดให้อยู่ในอันดับที่แปดสิบห้าของรายนามจักรพรรดิเทพได้ จะเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของเขาแล้ว! บวกกับที่ขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่อย่างเมืองมังกรเหล็กก็ล้วนแต่มีคุณชายใหญ่ผู้นี้คอยบัญชาการทั้งหมด ท่าทางเหิมเกริมของเขา ก็ถูกบ่มเพาะขึ้นมาจากการที่ตัวเขาอยู่ในสถานะอันสูงส่งมาอย่างยาวนาน
“จักรพรรดิเทพเมฆาเขียว จักรพรรดิเทพช่วงท้ายหรือ ในรายนามจักรพรรดิเทพของตระกูลจิตฟ้าไม่มีชื่อของจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวอยู่นี่นา” คุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็กพูดพลางหัวเราะเบาๆ จวนมังกรเหล็กย่อมมีวิธีส่องสำรวจมากมายเป็นธรรมดา เขายังถึงขั้นเคยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางคนหนึ่งใช้จิตสัมผัสสอดส่องมาก่อน พวกเขาต่างก็เชื่อว่าพลังของจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวผู้นี้เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายอย่างแท้จริง
“ที่ผ่านมาข้าเก็บตัวบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด จึงมิได้อยู่ในรายนามน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ฮ่าฮ่า ข้าไม่สนหรอกว่าพี่เมฆาเขียวจะเก็บตัวบำเพ็ญจริงหรือไม่ หรือว่าจะมีจิตสัมผัสแอบซ่อนหรือเก็บงำกลิ่นอายอะไร ข้าล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น” คุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กพูดพลางหัวเราะเสียงดังกังวาน “สิ่งที่ข้าสนใจก็คือ พี่เมฆาเขียวมาหาข้าที่นี่ด้วยเรื่องอันใดหรือ”
เขาไม่สนใจตัวตนของผู้มาเยือน
ด้วยพลังของเขาและมีบิดาคอยหนุนหลังอยู่ ในโลกเทพ ต่อให้เป็นสามตระกูลราชันย์ เขาก็ไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย!
แม้เบื้องหลังของสามตระกูลราชันย์จะมี ‘สามบรรพเทวะคละถิ่น’ อยู่ก็ตามที แต่หากว่ากันตามความหมายจริงๆ แล้ว ชาวโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนแต่เป็นชนรุ่นหลังของบรรพเทวะคละถิ่นกันทั้งสิ้น! ดังนั้นขอเพียงไม่ทะเยอทะยานจนถึงขั้นไปโจมตีถิ่นของสามตระกูลราชันย์ โดยทั่วไปแล้วต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าจากสามตระกูลราชันย์มาล่าสังหารอยู่ภายนอกแล้วผู้แกร่งกล้าทั้งหลายสิ้นใจไป บรรพเทวะคละถิ่นก็ไม่เคยปรากฏกายมาก่อน
แต่หากบุกสังหารมาถึงถิ่นของสามตระกูลราชันย์ ก็เป็นการท้าทายบรรพเทวะคละถิ่นแล้ว!
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศตนหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก “ข้าต้องการซากนี้ ไม่ทราบว่าต้องแลกมาด้วยสิ่งแลกเปลี่ยนระดับไหน จวนมังกรเหล็กจึงจะยอมขายให้ข้า”
“ฮ่าฮ่า…” ดวงตาของคุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กเป็นประกายขึ้นมา เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อพี่เมฆาเขียวมาที่นี่เพื่อซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างนี้ เชื่อว่าท่านก็คงจะรู้ดีว่าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศนั้นหาได้ยากเพียงใด! ทั้งโลกเทพ มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเพียงสามตนเท่านั้น สองตนยังมีชีวิตอยู่ ส่วนซากเพียงหนึ่งเดียวนั้นอยู่กับข้า มันเชี่ยวชาญทางด้านการหลบหนีและรักษาชีวิตเป็นอันมาก ความยากในการสังหารมันยากเย็นกว่าการสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั่วไปมากมายนัก”
“ข้ารู้ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
และนี่ก็คือสาเหตุที่เขาต้องฝึกฝนท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมให้สำเร็จเสียก่อนจึงค่อยมาเจรจา
……………………………………….