ตอนที่ 1000 เหยียดหยามธิดาศักดิ์สิทธิ์

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เสียงของหญิงสาวที่อ่อนโยนเสียงหนึ่งได้ลอยมา “ไม่เป็นไร! ภารกิจครั้งนี้จะให้ผิดพลาดประการใดมิได้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง”

“ทั้งใจของธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นกตัญญูต่อท่านเจ้าตำหนัก”

ธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักตงจี๋มาถึงแล้ว

ศิษย์พี่หลิวเองก็ตัวอ่อนลงไม่น้อยและรีบหลบไปอยู่ที่ด้านข้าง

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนของสำนักนิกายระดับสองแต่กับสำนักนิกายระดับสามนั้น พวกเขาเองก็ไม่อาจจะไปล่วงเกินได้

มู่เฉียนซีมองเห็นเงาร่างสีขาวนั้นปรากฏขึ้นในสายตา ในเวลาเดียวกันคนผู้นั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นมา

สายตาของทั้งสองมาบรรจบกันและทันใดนั้นบรรยากาศที่รอบด้านก็เกิดแข็งตัวขึ้นมา

“มู่หรูเหยียน!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยเสียงขรึม

บัญชีแค้นทั้งใหม่และเก่า มู่เฉียนซีอดไม่ได้ที่จะทำให้หญิงสาวผู้นี้หายไปเสีย

ค่ายกลส่งตัวระยะไกลถูกทำลาย ถ้าหากว่านางมิได้มีสุ่ยจิงอิ๋งติดตัวอยู่ด้วย นางก็คงได้ตายสนิทไปตั้งนานแล้ว

ใบหน้าตรงหน้านี้ถึงต่อให้นางตายไปก็ยังไม่อาจที่จะลืมลงได้

“มู่เฉียนซี เจ้า…เจ้ายังไม่ตาย”

ค่ายกลส่งตัวระยะไกลผ่านมิติได้ถูกทำลายลง นางควรที่จะตายอย่างไร้ซากศพภายใต้ลมพายุแห่งมิติที่หมุนตัดโหมกระหน่ำ

แต่มู่เฉียนซีกลับมาอยู่ตรงหน้าของนางด้วยสภาพร่างกายที่แข็งแรงและสดใส

บ้าจริง…

คนเหล่านั้นของตำหนักตงจี๋รู้สึกว่าท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ดูอ่อนโยนและใจดีของพวกเขาในตอนนี้ราวกับเป็นวิญญาณร้ายอันเย็นยะเยือกที่ปีนขึ้นมาจากขุมนรก

สายตาของสตรีนางนี้เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น กู้ไป๋อีที่อยู่ในมุมมืดจึงจำต้องระแวดระวัง

เย่เฉินกับเซียวโม่เองก็ตะลึงงัน สายตาของผู้ที่ถูกเรียกว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้แทบอดไม่ได้ที่จะสับร่างของมู่เฉียนซีเป็นหมื่น ๆ ชิ้น

“แน่นอนว่าข้ามิได้ตายได้ง่ายดายเช่นนั้น!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างสงบนิ่ง

เมื่อมองไปยังกำลังคนของฝ่ายตรงข้ามแล้วก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ใช่เวลาที่ควรจะล้างแค้น

ตำหนักตงจี๋ได้เคลื่อนกำลังและยอดฝีมือส่วนมากออกมา มันมิใช่อะไรที่พวกนางจะสามารถต่อต้านได้ในตอนนี้

เหยียนเอ๋อร์กล่าว “ฆ่านางผู้หญิงนี่เสีย ฆ่านาง…”

ใจของนางในตอนนี้คิดแต่อยากที่จะให้มู่เฉียนซีตายไปเท่านั้น หม้อเทพไท่อีและความกตัญญูอะไรนั่นล้วนแต่ได้ถูกนางโยนทิ้งไว้ที่ด้านหลังของหัวสมองไปหมดแล้ว

ตราบใดที่มู่เฉียนซียังไม่ตาย นางก็ไม่มีทางสงบจิตสงบใจไปได้ตลอดกาล

ถึงแม้ว่าตอนนี้นางจะเป็นบุตรตรีของตำหนักตงจี๋ซึ่งเป็นสำนักนิกายระดับสามก็ตาม

แต่การคงอยู่ของมู่เฉียนซีกลับคอยย้ำเตือนนางอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อก่อนนี้นางเป็นใครและมีฐานันดรเช่นไร!

“ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์! เป้าหมายของพวกเราคือหม้อเทพไท่อีของตระกูลเย่ ในตอนนี้หากมาเกิดการต่อสู้ขึ้น เกรงว่าจะเป็นการมอบโอกาสให้แก่ผู้อื่นไป!” ผู้ดูแลผู้หนึ่งของตำหนักตงจี๋ได้เปิดปากกล่าวออกมา

“คำสั่งของข้า พวกเจ้ากล้าที่จะไม่ฟังหรือ? จัดการ…”

อัจฉริยะแห่งตำหนักตงจี๋พบว่า ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขานั้นมิได้ใจดีใสสะอาดดังเช่นในจินตนาการของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว

ศิษย์พี่หลิวกำลังเฝ้าชมละครอยู่ด้านข้าง! เจ้าพวกนี้ไปล่วงเกินธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักตงจี๋เข้า มันได้ตายแน่!

ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายประกายอันเย็นชาออกมา มู่หรูเหยียนต้องการที่จะลงมือก็ลงมือเถอะ ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะได้เปรียบด้วยมีกำลังคนที่มากกว่า แต่นางเองก็จะให้สตรีผู้นี้ได้เห็นดีกัน

ในตอนที่คนของตำหนักตงจี๋จะลงมือนี่เอง ได้พลันมีเสียงที่ชั่วร้ายเสียงหนึ่งลอยมา

“สาวน้อยผู้นี้หน้าตาก็นับว่าพอประมาณ แต่เมื่อร้องเอะอะตะโกนให้ฆ่าฟันกันแล้ว มันทำให้ตัวคนนั้นดูอัปลักษณ์ไปมิน้อยเลย!”

มีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น คนกลุ่มนี้ค่อนข้างที่จะโอ่อ่าเกินไปอยู่บ้าง พวกเขาแบกเกี้ยวเกี้ยวหนึ่งเข้ามา

มีชายฉกรรจ์ทั้งหมดสิบแปดคนทำหน้าที่แบกเกี้ยวนั้น กลิ่นอายของพวกเขาถูกซ่อนเร้นเอาไว้ แต่ละคนนั้นมีพลังความสามารถไม่อ่อนแอเลย

ชั่วเวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็ได้มาอยู่ที่ตรงหน้าพวกนาง

ม่านที่ทำจากลูกผลึกสีม่วงอ่อนได้ถูกเปิดออก พวกเขามองเห็นหญิงสาวสองคนที่อยู่ในนั้น เสื้อผ้าอาภรณ์นั้นก็สวมใส่โดยเปิดเผยเนื้อหนังเป็นอย่างมาก และพิงตัวอยู่บนร่างของบุรุษที่สวมใส่เสื้อผ้าสีเขียวผู้หนึ่ง

ชุดคลุมของเขายุ่งเหยิงกระจัดกระจายและเผยให้เห็นหน้าอกที่ขาวเนียนราวกับหยกนั้น ช่างดูเกียจคร้านและดูร้ายกาจอย่างที่สุด

เมื่อบุรุษผู้นั้นขยับตัวก็พลันมาปรากฏตัวตรงหน้าของมู่เฉียนซี

สาวงามทั้งคู่กล่าวขึ้นอย่างเสียดายอาลัย “นายท่าน!”

สายตาของบุรุษผู้นั้นจับจ้องไปที่ใบหน้าของมู่หรูเหยียนแล้วกล่าว “เมื่อครู่นี้เห็นเงาร่างที่ด้านหลังก็เลยรู้สึกว่าพอได้ แต่พอมาเห็นหน้าเข้าจัง ๆ ที่จริงแล้วก็ไม่เท่าไรนี่ พวกเจ้าคนตำหนักตงจี๋เลือกสตรีเช่นนี้มาเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไม่กลัวว่าจะทำให้ตำหนักตงจี๋ของพวกเจ้าขายหน้าบ้างหรือไร!”

สีหน้าของมู่หรูเหยียนยิ่งทวีความไม่น่าดูมากขึ้นไปอีก เดิมทีการพบว่ามู่เฉียนซียังไม่ตายนั้นก็ทำให้นางโกรธเป็นอย่างมากอยู่แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าจะพลันปรากฏบุรุษมารร้ายผู้หนึ่งขึ้นมากล่าวเสียดสีเย้ยหยันนางอีก

ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างมู่หรูเหยียนนั้นมิอาจที่จะทนดูต่อไปได้อีก “ท่านดูถูกเหยียดหยามธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราก็ถือว่าดูถูกเหยียดหยามตำหนักตงจี๋ของพวกเรา ท่านต้องการที่จะเป็นศัตรูกับพวกเราตำหนักตงจี๋หรือ?”

“เป็นศัตรูแล้วอย่างไรเล่า? หากพวกเจ้าต้องการจะสู้ก็ลงมือเสียเถิด! คิดว่าข้ากลัวเจ้าจริง ๆ หรือ?” เขากล่าวท้าทาย

เขาหันกลับไปยิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้กับมู่เฉียนซี “สาวน้อยคนสวย ข้าเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามแล้ว เจ้าซาบซึ้งเป็นอย่างมากใช่หรือไม่? เจ้าต้องการที่จะตอบแทนข้าด้วยกายและใจหรือไม่เล่า?”

ลำแสงสีทองลำแสงหนึ่งได้สว่างวาบขึ้นมา ทันใดนั้นก็ได้มีคนผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากกลางอากาศ

ในมือของเขานั้นถือค้อนสีทองใหญ่อันหนึ่ง และได้เคาะเข้าไปที่ศีรษะของเจ้าหมอนี่แรง ๆ อยู่หนึ่งที

“อ๊าก!” เสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังขึ้น

“จื่อโยว ข้าเคยบอกกับเจ้าไปกี่หนแล้ว เจ้าสามารถแต่งตัวอย่างงดงามเพื่อดึงดูดหนุ่มสาวรูปงามได้ เจ้าสามารถที่จะไม่สนในกฎเกณฑ์ใด ๆ ได้ เจ้าสามารถ…”

“แต่ทว่าเจ้ากล้าที่จะมาหยอกล้อกับนายหญิง เจ้านี่ช่างบังอาจยิ่งนัก เจ้ารนหาที่ตาย ข้าจะ…”

“……”

มู่เฉียนซีมองไปยังรอยปูดอันใหญ่โตบนศีรษะของจื่อโยวด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็มองไปยังเด็กหนุ่มที่ถือค้อนสีทองผู้นั้น

เด็กหนุ่มผู้นี้มีใบหน้ากลม ๆ เหมือนดั่งใบหน้าของตุ๊กตา ริมฝีปากสีชมพูดนั้นเปิดปากตำหนิติเตียนจื่อโยวอย่างไม่หยุดหย่อน

ดวงตากลมโตคู่นั้นหมุนไปมาด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธ มันมิเพียงทำให้ไม่รู้สึกน่ากลัวเท่านั้น ซ้ำกลับทำให้รู้สึกน่ารักเป็นอย่างมากเสียด้วยซ้ำไป

จื่อโยวกล่าวอย่างคร่ำครวญ “ซิงเฉิน เลิกพูดได้แล้ว! ข้ารู้ผิดแล้ว เจ้าบ่นมาเจ้าไม่รำคาญแต่สาวน้อยคนงามนั้นฟังเสียจนจะรำคาญเข้าแล้ว เจ้าพอแล้วก็ได้กระมัง!”

เมื่อได้ยินคำพูดของจื่อโยว ซิงเฉินก็ได้เปลี่ยนท่าทีไปและระงับอารมณ์หุบปากไปในทันใด

เขามองไปยังมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “นายหญิง เมื่อครู่นี้ซิงเฉินเสียมารยาทแล้ว ขอให้ท่านจงลืมข้าไปก่อน”

ปรากฏว่าเมื่อแสงสีทองได้กระพริบสาดขึ้น ซิงเฉินก็ได้หายตัวไปภายในเวลาเพียงชั่วพริบตา แล้วเด็กน้อยผู้นั้นก็ได้ปราฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ด้านหน้าของมู่เฉียนซี

เขากล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ผู้น้อยซิงเฉิน คารวะนายหญิง”

กู้ไป๋อีตกตะลึงไปเล็กน้อย เขารู้จักตัวตนของบุรุษผู้นั้น ราชาจิ่วเยี่ยแห่งคุกโลหิต

ชื่อนั้นที่หากเป็นผู้อื่นได้ยินเข้าก็ประหนึ่งเหมือนกับตกนรก

คนผู้นั้นเรียกมู่เฉียนซีว่านายหญิง เกรงว่าคนผู้นั้นจะเป็นลูกสมุนใต้บัญชาของจิ่วเยี่ย

คนของราชาจิ่วเยี่ยได้ปรากฏตัวขึ้นในแดนตะวันออก!

มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “สวัสดี ซิงเฉิน นึกไม่ถึงเลยว่าข้างกายของเขาจะมีลูกสมุนที่น่ารักเช่นนี้”

มู่เฉียนซีนึกว่าที่ข้างกายของจิ่วเยี่ยนั้นคงมีแต่พวกโรคจิตอย่างสุดขีดดั่งเช่นจื่อโยว ไม่ก็เป็นพวกที่มีบุคลิกเหมือนคนของตำหนักเป่ยหาน นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีผู้ที่มีลักษณะน่ารักเช่นนี้

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉียนซี ใบหน้าของซิงเฉินนั้นก็ได้กลายเป็นสีแดงอมชมพูขึ้นมา นั่นยิ่งเพิ่มความน่ารักเข้าไปอีก

จื่อโยวทำได้เพียงกลอกลูกตาอยู่ด้านข้าง ซิงเฉินจะไร้ซึ่งพิษภัยเช่นนี้ก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าจิ่วเยี่ยกับสตรีที่จิ่วเยี่ยปักใจรักอย่างลึกซึ้งเท่านั้น

สำหรับผู้อื่นแล้ว เขาเปรียบได้กับอาวุธสังหารแห่งโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นปากนั้นหรือว่าค้อนนั่นของเขาก็ตาม

มู่หรูเหยียนกล่าว “เจ้าเป็นใครกันแน่? ขอให้พวกเจ้าจงอย่าได้เข้ามาเกี่ยวพันในเรื่องความแค้นส่วนตัวของข้ากับมู่เฉียนซี ข้าคิดว่าพวกเจ้าเองก็ไม่อยากที่จะเป็นศัตรูกับตำหนักตงจี๋ของพวกเราเพียงเพราะสตรีผู้หนึ่งหรอกกระมัง?”