ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 689 มากันทั้งตระกูล

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เรือนภาร่อนวายุแล่นบนท้องฟ้า ข้ามอุปสรรคมากมายในพริบตา

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองค่ายกลด้านบนเรือยักษ์

ขณะที่ค่ายกลหมุน ก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง เหมือนกำลังหายไป

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย นี่หมายความว่าค่ายกลบูชาฟ้าที่ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องวางไว้ เป็นไปได้มากว่าหยุดการทำงาน ไม่ได้รักษาไว้ต่อ

ทว่าค่ายกลนี้ส่งผลกระทบต่อใยดินอย่างยาวนาน

ดังนั้นปัจจุบันแม้ว่าค่ายกลจะหยุดทำงานไปแล้ว แต่เรือนภาร่อนวายุยังคงตามหาตำแหน่งก่อนหน้าของค่ายกลบูชาฟ้า ผ่านการเปลี่ยนแปลงของใยดินได้อยู่

เพียงแต่หากตอนนี้ไปถึง จะจับพวกเขาได้คาที่หรือไม่ กลับยังบอกไม่ได้

คนของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง ถ้าหากสัมผัสไม่ได้ว่าพวกเจิ้งหมิงเข้ามาในทะเลหวงเจีย บางทีอาจไม่สนใจ แต่ถ้ารู้แล้ว ตอนนี้ก็อาจจะลบร่องรอยไปแล้วก็ได้

เทือกเขายิ่งใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าไกลออกไป

เรือนภาร่อนวายุใกล้จะถึงด้านบนเทือกเขาแล้ว บนเรือยักษ์มีแสงที่เหมือนกับกระจกกลมสว่างขึ้นอีกครั้ง แสงกระจกสาดเทือกเขา แล้วกวาดไปรอบๆ อย่างต่อเนื่อง

อย่างรวดเร็ว แสงกระจกกะพริบขึ้น หยุดอยู่ที่เหวแห่งหนึ่ง

ด้านในเหวถูกแสงกระจกส่องถึง พลันมีประกายแสงเข้มข้นสีเหลืองหลายสายเกิดปฏิกิริยาจนสว่างขึ้นมา

แต่ว่าประกายแสงนี้เบาบางมาก มันหายไปในทันที แทบจะเป็นแค่แวบเดียว

เจิ้งหมิงกับเฉินจื้อเหลียงสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

เฟิงอวิ๋นเซิงกับอาาหู่หันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ ฝ่ายชายหนุ่มกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวได้ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่เพียงแค่หยุดการทำงานของค่ายกลกลางทางเท่านั้น ยังทำลายค่ายกลทิ้ง พร้อมกับลบร่องรอยไปด้วย”

พวกเจิ้งหมิงสีหน้าเคร่งขรึมถึงขีดสุด เรือนภาร่อนวายุลอยลงด้านล่าง ค้างอยู่เหนือหุบเหว

ด้านในหุบเขาระหว่างเทือกเขา ยังสามารถเห็นฝุ่นหลายกลุ่มตลบขึ้นมาได้ แต่นอกจากเงาคนจำนวนหนึ่งแล้ว ไม่มีอะไรอื่น ยิ่งไม่เห็นร่องรอยของค่ายกล

ด้านในกลุ่มคนที่อยู่กลางหุบเขา บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนนิ่ง เงยหน้ามองเรือนภาร่อนวายุด้านบน

ถึงแม้ว่าเขาจะเงยหน้ามอง แต่คนอื่นกลับไม่คิดว่าความน่าเกรงขามของเขาลดน้อยลงเลย

ถึงขั้นที่ต่อให้ไม่มองในระดับสายตา ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า เขาก้มมองเรือนภาร่อนวายุ กับคนที่อยู่บนเรือ

ถึงแม้ว่าในหุบเขาจะยังมีคนอื่นอีก แต่ว่าบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวอะไร เพียงยืนอยู่เฉยๆ ก็ดึงดูดสายตาทั้งหมด ทำให้พวกเยี่ยนจ้าวเกอยากจะมองดูคนรอบๆ

เยี่ยนจ้าวเกอสายตาเคร่งขรึมเล็กน้อย ‘ลักษณะนี้ เกรงว่าจะเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง น่าจะอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด ขั้นสะพานเซียนระยะต้น แต่ว่าพลังเหนือกว่าพวกผู้คุมหอกระบี่ทะเลเหนือกู้หงเสียอีก’

หลังจากมาถึงโลกซ้อนโลก เยี่ยนจ้าวเกอเคยเจอจอมยุทธ์ขั้นสะพานเซียนไม่ต่ำกว่าหนึ่งคน

ในเก้ากระบี่ผู้วิเศษ สองคนที่ภายนอกหนึ่งแก่หนึ่งหนุ่ม ยังมีผู้คุมหอกู้หงแห่งหอกระบี่ทะเลเหนือ

แต่ว่าถึงแม้ระดับจะเท่ากัน แรงกดดันที่พวกเขามอบให้คนอื่น ยังสู้บุรุษยวัยกลางคนในหุบเขาเบื้องหน้าไม่ได้

เมื่อเผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอมีความรู้สึกเหมือนเผชิญกับพายุแม่เหล็กไร้สิ้นสุด

บุรุษวัยกลางคนมองมา สบตากับเยี่ยนจ้าวเกอพอดี

ต่อให้พวกเจิ้งหมิงกับเฉินจื้อเหลียงมองอยู่ และถึงแม้บุรุษวัยกลางคนผู้นี้จะดึงดูดสายตา แต่กลับมองเส้นสนกลในไม่ออก

ทว่าเมื่อเยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสสายตาของอีกฝ่าย กลับเห็นอะไรหลายอย่างจากด้านในนั้นได้

สายตาที่ไร้อารมณ์นั้น เหมือนกับกระแสเวลาสายหนึ่งที่เหยียดยื่นจากบุคโบราณมาถึงยุคปัจจุบัน

ด้านในยังแฝงความลึกซึ้งของกาลเวลาเอาไว้ ทั้งยังบรรจุการไหลของเวลา ดูไปเหมือนมีทั้งความปราดเปรียวเหมือนเด็ก มีทั้งความโรยราของเฒ่าชรา

เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจ นี่คือผลที่ได้จากการฝึกฝนคัมภีร์นภากาลเวลาจนมีความสามารถระดับหนึ่ง

ดูเหมือนในสายตาของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง เรื่องที่สำคัญที่สุดก่อนหน้านี้ ก็คือค่ายกลบูชาฟ้าจริงๆ

คนตรงหน้านี้แทบจะนับได้ว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของทะเลหวงเจีย แต่กลับเงียบงันไม่กล่าวาจา เฝ้าอยู่ที่หุบเขาแห่งนี้ คอยปกป้องค่ายกลบูชาฟ้า ไม่ได้ไปไหน

ผู้สืบทอดของผู้วิเศษเซิงสมแล้วที่ฝึกฝนวรยุทธ์สายตรงของหยกพิสุทธิ์ ยอดฝีมือที่เป็นผู้สืบทอดปรากฏตัวมาแต่ละครั้ง เหนือกว่าคนในราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องเสียอีก

เสียงอันทรงพลังทุ้มต่ำดังขึ้นในหุบเขา มาจากบุรุษยวัยกลางคนผู้นั้น “ข้าคังผิง อาจารย์คือผู้วิเศษเซิง ทุกท่านเป็นลูกศิษย์ขององค์ประมุขตงหนานกระมัง?”

เสียงของเขาไม่ดัง และไม่มีกลิ่นอายพลังใดเผยออกมา

แต่ว่าแสงอัสดงของเรือนภาร่อนวายุที่สาดไปรอบๆ พลันกระเพื่อมเหมือนกับคลื่นน้ำ

เจิ้งหมิงสีหน้าไม่เปลี่ยน “เจิ้งหมิง ศิษย์แห่งตงหนาน ท่านคังเชิญ”

คังผิง บุรุษวัยกลางคนกล่าว “ในอดีตองค์ประมุขตงหนานมีน้ำพระทัย อนุญาตให้พวกเราอยู่ที่ทะเลหวงเจีย ไม่รู้ว่าวันนี้ทุกท่านมายังที่นี่ มีคำสั่งใดหรือ?”

ยามนี้สายตาของเจิ้งหมิงถึงเคลื่อนออกจากตัวคังผิง กวาดมองไปทั่วหุบเขา

“คัง…ผิง?” เยี่ยนจ้าวเกอสบตากับเฟิงอวิ๋นเซิงและอาหู่

เฉินจื้อเหลียงเอ่ยปากถามว่า “คำสั่งไม่กล้ารับ เพียงแต่มีข้อสงสัย ขอให้ท่านคังแถลงไขให้พวกเรารู้”

คังผิงเอ่ยอย่างราบเรียบ “โปรดบอกมา”

เฉินจื้อเหลียงมองเขา ถามอย่างเชื่องช้า “อาจารย์ของท่าน เสวียนเหวินอ๋องและนักพรตสือ เหล่าผู้อาวุโสในอดีตมายังเขตหยางเทียนตะวันออกเฉียงใต้ เพราะทูลท่านอาจารย์ว่า ต้องการยืมชัยภูมิของทะเลหวงเจียเพื่อหลอมสร้างโอสถเซียนอาทิตย์ปากว้า”

“ขอถามท่านคัง พวกท่านหลอมโอสถเซียนอาทิตย์ปากว้า จำเป็นต้องสร้างค่ายกลบูชาฟ้าด้วยหรือ?”

คังหมิงสีหน้าเหมือนกับทะเลสาบเรียบ ตอบอย่างไร้อารมณ์ “ย่อมไม่จำเป็น ที่นี่ย่อมไม่มีค่ายกลบูชาฟ้าอะไรนั่น”

เฉินจื้อเหลียงสายตาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม สายตาของคังผิงตกลงบนค่ายกลที่ยังคงสว่างโชติช่วงบนเรือนภาร่อนวายุ “ท่านตามหาผ่านค่ายกลปฐพีหวนคืนนั่นหรือ มิน่า ที่ที่เราอยู่เมื่อครู่เคยมีค่ายกลต้นปฐพีกำเนิด ดึงสภาพอากาศมารวมกัน ทำให้การหมุนเวียนของใยดินปั่นป่วน”

เฉินจื้อเหลียงมองคังผิงอย่างล้ำลึก

ค่ายกลปฐพีหวนคืน หาได้แค่บริเวณที่ใยดินปั่นป่วน ส่วนค่ายกลที่ทำให้ใยดินปั่นป่วนได้ ไม่ได้มีแค่ค่ายกลสืบอดฟ้าเท่านั้น ค่ายกลต้นปฐพีกำเนิดก็ทำได้เช่นกัน

คังผิงไพล่มือไว้ด้านหลัง พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “พวกเราได้รับคำสั่งจากบรรพบุรุษ ตั้งใจหลอมโอสถ ย่อมสร้างค่ายกลที่มีประโยชน์ต่อการหลอมโอสถ ค่ายกลบูชาฟ้าไม่มีประโยชน์อะไร องค์ประมุขตงหนานมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง คงไม่ถูกคำพูดเหลวไหลที่ไร้หลักฐานหลอกลวงกระมัง”

เฉินจื้อเหลียงมองเจิ้งหมิง กลับเห็นเจิ้งหมิงงุนงง

“เยี่ยซิน ไฉนเจ้าอยู่ที่นี่?”

เฉินจื้อเหลียงได้ยินรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่า ความสนใจเคลื่อนย้ายจากตัวคังผิง มองไปที่ทิศทางสายตาของเจิ้งหมิง เห็นสตรีสูงชะลูดผู้หนึ่งอยู่ในหุบเขาด้วย

เหวินลั่วเสียกล่าวอย่างประหลาดใจ “ศิษย์พี่เยี่ย?”

สตรีนางนั้นกลับเป็นเยี่ยซิน ศิษย์พี่ร่วมสำนักของนาง และเป็นศิษย์ที่เฉินจื้อเหลียงถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้มาถึงทะเลหวงเจียด้วยกัน แต่ว่าต่อมาแยกกันชั่วคราว

เยี่ยซินเหาะร่างขึ้นมาบนเรือนภาร่อนวายุ คำนับเจิ้งหมิงและเฉินจื้อเหลียง “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ลุง”

เฉินจื้อเหลียงมองนาง “เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่?”

“จะรายงานท่านอาจารย์พอดี มีคนมาจากเขตเหยียนเทียนทางใต้ เข้าสู่เขตหยางเทียนตะวันออกเฉียงใต้ของเรา มาแอบอยู่ในทะเลหวงเจีย ศิษย์ได้พบโดยบังเอิญ เกือบถูกลงมืออย่างอำมหิต โชคดีที่คนของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องช่วยไว้” เยี่ยซินตอบ

เฉินจื้อเหลียงขมวดคิ้ว “รู้สถานะของเจ้าแต่ยังลงมือหรือ?”

เยี่ยซินพยักหน้า บนใบหน้าปรากฏแววโทสะและความหวาดกลัว “ถูกต้อง”

เจิ้งหมิงกับเฉินจื้อเหลียงสบตากัน สายตาเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิม

ครั้งนี้สายตาของคังผิงมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ “พวกเราได้รับการอนุญาตจากองค์ประมุขตงหนาน ให้อยู่ที่เขตหยางเทียนตะวันออกเฉียงใต้ เจอเรื่องเช่นนี้ การลงมือช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ควรทำ”

“แต่ว่า กับสหายน้อยผู้นี้ ตัวข้ามีบัญชีต้องชำระ”

เยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองมา เห็นคังฮูหยิน ฉีเหว่ย คังจิ่นหยวน และคังเม่าเซิงต่างปรากฏตัวในหุบเขาพร้อมกัน