ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 688 เป้าหมายของเยี่ยนจ้าวเกอ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เฟิงอวิ๋นเซิงมองฟ้าดินอันกว้างใหญ่ที่ปรากฏขึ้นบนค่ายกลเหนือเรือนภาร่อนวายุ พร้อมกับมองลำธารที่ไหลเชี่ยวออกไปไกล ส่งกระแสเสียงกระซิบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็ยืนยันได้แล้วว่า ที่ทะเลหวงเจียมีค่ายกลบูชาฟ้าอยู่จริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนสร้างใช่หรือไม่?”

เยี่ยนจ้าวเกอตอบตอบโดยไม่แสดงสีหน้า “ยังยืนยันไม่ได้ ค่ายกลที่กำลังทำงานของเจิ้งหมิง ผู้อาวุโสเจิ้งผู้นี้ เป็นค่ายกลที่ใช้ตามหาการรบกวนการหมุนเวียนของใยดิน”

“แค่สิ่งที่รู้ในตอนนี้ ขุมกำลังทั้งหมดด้านในทะเลหวงเจีย รวมถึงราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง ไม่มีค่ายกลคุ้มภูผาของใครรบกวนการหมุนเวียนของใยดินได้”

ชายหนุ่มเงยหน้ามองค่ายกลบนเรือยักษ์แวบหนึ่ง “ดังนั้นถ้ามีค่ายกลขนาดใหญ่ถึงขีดสุดทำได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าขอบเขตที่ตั้งของเป้าหมายจะไม่ชัดเจน และหาผิดตำแหน่ง”

“แต่ค่ายกลที่รบกวนการเคลื่อนไหวของใยดินได้ ไม่ได้มีแค่ค่ายกลบูชาฟ้าชนิดเดียว ดังนั้นต้องรอจนหาสถานที่ได้จริงๆ ก่อน ถึงจะยืนยันได้”

เฟิงอวิ๋นเซิงกับอาหู่ได้ยิน ต่างก็พยักหน้า

อาหู่หัวเราะเสียงซื่อ “ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง คงจะไม่งอมือรอความตายกระมัง?”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “แน่นอนว่าไม่ แต่การรับแรงกดดันที่มาจากประมุขตงหนาน ย่อมไม่ง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์ของทะเลหวงเจีย พวกเขายากจะสนใจทั้งสองด้าน”

“เมื่อสูญเสียการสะกดจากราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องไป ความขัดแย้งระหว่างขุมกำลังต่างๆ เช่นสำนักแสงสว่างกับสำนักความมืด หรือหอกระบี่จะแก้ไขได้ง่ายขึ้น”

อาหู่เกาศีรษะ “เป้าหมายของคุณชายท่านสุดท้ายก็คือสำนักแสงสว่าง”

“นี่ย่อมแน่นอน” เยี่ยนจ้าวเกอสายตาล้ำลึก “มงกุฎจันทรายังอยู่ในมือพวกเขา ข้ายังไม่ลืม”

เฟิงอวิ๋นเซิงได้ยินดังนั้น นางก็กล่าวเสียงอ่อนโยน “การทดสอบแห่งจันทราเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ความเป็นเจ้าของของมงกุฎแห่งจันทรา ตัดสินในการวางหมากที่ระดับสูงกว่าเดิม”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “สุดท้ายเจ้าก็เป็นคนที่ต้องนำกลับมา”

หญิงสาวยิ้มสบตายิ้มให้เขา “หาไม่ได้”

อาหู่เอ่ย “หากดูจากบุญคุณความแค้นระหว่างสองฝ่ายแล้ว ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องในตอนนี้เกรงว่าจะเคียดแค้นคุณชายท่านไม่น้อยกว่าสำนักแสงสว่างแน่”

เยี่ยนจ้าวเกอมองเรือนภาร่อนวายุข้างใต้ “ดังนั้น ต้องหาเรื่องให้พวกเขาแก้ไข”

อาหู่ถาม “คุณชาย ท่านว่าราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องจะทำให้ถึงที่สุดเพราะคิดจะทำแล้วหรือไม่ ถือโอกาส…”

เขายังพูดไม่หมด เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงก็เข้าใจ เพราะกังวลว่าคนของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องจะมาฆ่าคนปิดปาก เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวสารแพร่หลายในทะเลหวงเจีย เข้าสู่หูของประมุขตงหนาน จึงถือโอกาสจัดการพวกเจิ้งหมิงที่นี่

พวกเจิ้งหมิงแม้จะมีพลังเลิศล้ำ กอปรกับยังมีอาวุธอย่างเรือนภาร่อนวายุ แต่ว่าทางด้านราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องก็มีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียน และอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงด้วยเช่นกัน

คนมีแผนการสู้กับคนไร้แผนการ หากโยนความกริ่งเกรงทั้งหมดทิ้งไป ความจริงเป็นเรื่องที่มีโอกาสสำเร็จ

ชายหนุ่มไม่วิตก “นั่นเป็นไปไม่ได้ พวกเขาตอนนี้มีกำลังอยู่แค่ส่วนเดียว ยังถูกกองทัพต่อต้านต้าเสวียนในทะเลหวงเจียพัวพันไว้ ไม่อาจส่งยอดฝีมือจำนวนมากขนาดนั้นออกมาได้”

“ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องค่อนข้างได้เปรียบ ยึดครองอำนาจในการเคลื่อนไหวบนสนามรบ แต่ก็ไม่ใช่จะมาก็มา จะไปก็ไป ไม่เช่นนั้นสำนักแสงสว่างตอนนี้คงพินาศไปแล้ว”

“ถ้าหากเรื่องเช่นนี้หลุดรอดออกไป เช่นนั้นก็จะเป็นการล่วงเกินประมุขตงหนานจนถึงตาย”

“เทียบกันแล้ว การรับมือที่เป็นไปได้ยิ่งกว่าของพวกเขาก็คือ รื้อค่ายกลบูชาฟ้าของตัวเองไปก่อน หลอกพวกเจิ้งหมิงและเฉินจื้อเหลียง จากนั้นค่อยวางแผนใหม่”

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตา “ข้าใช้ผลึกปอดแดนทะเลไปแล้ว เมื่อขาดวัตถุดิบเช่นนี้ ไม่รู้ว่าค่ายกลบูชาฟ้าของพวกเขาจะทนได้นานเท่าไร? หรือจะหยุดแล้วก็ไม่รู้?”

อาหู่ยิ้มกว้าง “ในตอนนั้นคุณชายท่านน่าจะใช้ของหลายๆ อย่าง”

“มีแต่ผลึกปอดแดนทะเลที่มีประโยชน์กับข้า ของอย่างอื่นแค่ใช้ทิ้งเท่านั้น” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม

เขาลูบคางของตัวเอง “ตอนนี้ไม่คิดปักกิ่งหลิว[1] ข้าอยากให้ในสถานการณ์ที่ขาดผลึกปอดแดนทะเล พวกเขายังกอดความหวัง รักษาค่ายกลบูชาฟ้าไว้ต่อก็พอ”

“แต่คงหวังไม่ได้มากนัก ถึงอย่างไรผลึกปอดแดนทะเลก็หาของมาแทนได้ยาก”

เฟิงอวิ๋นเซิงถาม “ถ้าหากว่าราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องหยุดค่ายกลบูชาฟ้าแล้ว กลับกลายเป็นว่าครั้งนี้ไม่ได้อะไรกลับมา เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี?”

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปทิศทางการไหลของลำธารเงาแสงที่อยู่ห่างออกไป พูดอย่างเชื่องช้าว่า “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ จำเป็นต้องรอดูสถานการณ์หลังจากไปถึง ค่อยตัดสินใจ”

ขณะที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอปรึกษาหารือ เจิ้งหมิง เฉินจื้อเหลียง และเหวินลั่วเสีย ความจริงก็สนทนาเป็นการลับอยู่

“ค่ายกลบูชาฟ้า…พวกเสวียนเหวินอ๋องคิดจะทำอะไรกันแน่?” เฉินจื้อเหลียงสายตาเคร่งขรึม “หรือจะพูดว่า ท่านผู้นั้นคิดทำอะไร?”

“ท่านอาจารย์ ท่านผู้นั้น…หมายถึง?” เหวินลั่วเสียถาม

เฉินจื้อเหลียงมองเจิ้งหมิงแวบหนึ่ง ฝ่ายหลังยื่นมือออกมา กางนิ้วทั้งห้าออก เป็นท่ามือเลขห้า จากนั้นก็เก็บนิ้วสี่นิ้ว เหลือแค่นิ้วชี้นิ้วเดียว

เหวินลั่วเสียเห็นก็เข้าใจทันที อดสูดลมหายใจเย็นเยียบไม่ได้

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเป็นคนใด ขอแค่รู้ว่าสถานการณ์ไม่ธรรมดาก็พอ เจ้าไม่ต้องมีส่วนร่วมมากไปกว่านี้” เฉินจื้อเหลียงกล่าว

ฝ่ายเหวินลั่วเสียรีบกล่าว “คำสอนของท่านอาจารย์ และอาจารย์อา ศิษย์จะจดจำไว้”

เฉินจื้อเหลียงหันไปพูดกับเจิ้งหมิง “ท่านผู้นั้นคิดจะหาที่อยู่ของมารดาแห่งแผนดินหรือ? ถึงแม้ว่าไม่มีร่องรอยที่พิสูจน์ได้ว่านางสิ้นชีพแล้ว แต่ก็ไม่มีร่องรอยที่บอกว่าท่านยังอยู่บนโลกเหมือนกัน…

เจิ้งหมิงใบหน้าเคร่งขรึม “ประเด็นสำคัญก็คือ ท่านผู้นั้นไฉนจึงต้องแอบตามหาเบาะแส เขาคิดจะปิดบังใคร?”

เฉินจื้อเหลียงละสายตา “ศิษย์พี่เจิ้ง เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า พวกเราไม่ควรสนใจเรื่องนี้ นี่อาจจะเป็นหายนะใหญ่หลวง ยิ่งรู้เท่าไร ยิ่งตายเร็วเท่านั้น!”

ในฐานะศิษย์ที่ประมุขตงหนานถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง สิ่งที่ทำให้พวกเขากริ่งเกรงมีอยู่ไม่กี่อย่าง

แต่เป็นเพราะว่ายืนอยู่สูงจึงมองได้ไกล กอปรกับมีประสบการณ์มากมาย รู้เรื่องที่คนทั่วไปไม่รู้ จึงเข้าใจดีว่าเรื่องบางเรื่องแม้ดูเหมือนปกติแต่ซ่อนอันตรายเอาไว้

ดวงตาเปิดกว้างเท่าไร ยิ่งรู้สึกถึงความกระจ้อยร้อยของตัวเองได้มากเท่านั้น

มารดาแห่งแผ่นดิน หนึ่งในสี่เทวราชแห่งสำนักเต๋า หนึ่งในบุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดก่อนวิกฤตการณ์ มีความสามารถไร้สิ้นสุด น่าเคารพเลื่อมใส ราวกับบุคคลในตำนานที่แท้จริง

การได้เกี่ยวข้องกับท่านผู้นี้ ก็เป็นความไม่ธรรมดาแล้ว

และสถานการณ์ในตอนนี้ ยังแฝงความแปลกประหลาดเอาไว้ด้วย

เจิ้งหมิงลดเสียงกล่าว “หลายครั้งหลายคราว ยิ่งรู้มาก ยิ่งตายเร็ว แต่บางครั้ง ยิ่งรู้น้อยเท่าไร ขนาดตายอย่างไรยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำ”

“เขตหยางเทียนตะวันออกเฉียงใต้ถึงอย่างไรก็อยู่ในการควบคุมของท่านอาจารย์ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วท่านอาจารย์ไม่รู้ อาจตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”

“พวกเราต่อให้ไม่ก้าวก่ายไม่สอดมือ แต่อย่างน้อยก็ทำความเข้าใจกับสภาพการณ์ แล้วมอบให้ท่านอาจารย์ตัดสิน”

เฉินจื้อเหลียงพยักหน้าขานรับ เจิ้งหมิงพูดต่อ “เมื่อครู่ก่อนออกเดินทาง ข้าให้คนออกจากทะเลหวงเจียกลับไปรายงานแล้ว”

“ประเสริฐยิ่งนัก” เฉินจื้อเหลียงก้มศีรษะ จากนั้นก็หันไปมองเหวินลั่วเสีย “เยี่ยซินตอนนี้อยู่ที่ใดแล้ว? ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าร่วมทางกันหรอกหรือ?”

เหวินลั่วเสียตอบ “หลังจากเข้ามาในทะเลหวงเจีย พวกเราก็แยกกัน ศิษย์ไม่รู้ว่าศิษย์พี่เยี่ยตอนนี้อยู่ที่ใด”

เฉินจื้อเหลียงถอนใจคำหนึ่ง มีอีกเรื่องให้ต้องกังวลอีกแล้ว

ทุกคนต่างครุ่นคิด เรือนภาร่อนวายุแล่นข้ามอุปสรรคมากมาย

ด้านหน้าค่อยๆ ปรากฏแผ่นดิน ลำธารมายาหายไป แต่ยังคงเหลือร่องรอยไว้นำทาง

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นแผ่นดินก็รู้ว่าใกล้จะถึงที่หมายแล้ว

………………..

[1] ปักกิ่งหลิว หมายถึง ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด