ฮั่วซืออวี่ชักกระบี่ยาวออกมาต่อสู้กับทหารเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
กองทัพสกุลฮั่วอยู่บนหอสังเกตการณ์มาโดยตลอด ทุกคนต่างวิ่งเข้าไปต่อสู้เคียงข้างฮั่วซืออวี่
เวลานั้น ภายในห้องซึ่งมีไว้ให้องครักษ์พักผ่อนถูกปิดอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้ผู้อื่นพบว่าหลี่มู่เฟิงและคนอื่นๆ กำลังละเลยหน้าที่ในเวลางาน ผู้ดูแลเฝิงจึงล็อกประตูจากข้างใน
เปลวไฟในห้องกำลังลุกโชนราวกับฤดูร้อนที่แสนอบอุ่น หลังจากกินไก่ย่างเสร็จแล้ว พวกเขาทั้งสามก็ดื่มสุราอีกเล็กน้อย หลี่มู่เฟิงสบถด่าฮั่วซืออวี่อย่างต่อเนื่อง โดยที่ยังไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอันใดขึ้น
ขอเพียงมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ห้องพักผ่อนเพื่อพยายามรายงานข่าว ก็จะถูกฮั่วซืออวี่และคนของฮั่วซืออวี่จัดการอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้า ทหารสกุลหลี่และองครักษ์เฝ้าประตูเมืองทิศตะวันออกก็เหลือไม่กี่คน
ภายในห้องเล็ก หลี่มู่เฟิงเมาจนชี้นิ้วไปที่เพดานและสาปแช่ง
“ฮั่วซืออวี่ สารเลว สกุลฮั่ว เด็กเมื่อวานซืน กล้าต่อกรกับข้า กล้าบิดแขนข้า คอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
“ฮั่วซืออวี่ ข้าจะทุบกบาลของเจ้า… ”
หลังสิ้นเสียงของหลี่มู่เฟิง ทันใดนั้นก็มีคนพังประตูเข้ามา และตัดศีรษะของเขา โดยที่เขาไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าเกิดอันใดขึ้น
ผู้ดูแลเฝิงและแม่ทัพช่ายพลันตกตะลึง พวกเขามองเหตุการณ์เบื้องหน้าที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันด้วยความตกตะลึงอย่างมาก
“ฮั่ว… ฮั่ว… ”
พวกเขาเพิ่งพูดคำว่าฮั่วออกมา ทว่ายังพูดไม่ทันจบคำ องครักษ์สองคนของสกุลฮั่วก็รีบเข้ามา เสียง ‘ฉึบ’ ดังขึ้นสองครั้ง และศีรษะของทั้งสองก็ไม่อยู่บนคออีกแล้ว
“แม่ทัพน้อย คนด้านนอกถูกกำจัดหมดแล้วขอรับ! ”
ฮั่วซืออวี่ถือกระบี่ยาวที่เปื้อนเลือดค่อยๆ หันหลังกลับมา ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ดวงตาเคร่งขรึมของเขากลับสว่างขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทว่าภายใต้ดวงตาที่สดใส กลับมีความแน่วแน่และความโหดร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้
“สังหารทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว เปิดประตูเมืองต้อนรับฝ่าบาทเข้าเมือง”
“ขอรับ! ” องครักษ์ตอบรับและรีบทำตามคำสั่ง
ฮั่วซืออวี่เดินออกมาจากประตูและทำตามที่ตงหลิงหวงวางแผนไว้ นั่นคือจุดพลุส่งสัญญาณ
เหมือนเช่นเมื่อครู่ ทุกคนแทบทั้งเมืองหลวงต่างเห็นพลุสัญญาณนี้
ฮั่วจีเหลือบมองไปทางประตูเมืองตะวันออกด้วยสายตาชื่นชมยินดี เขาสั่งเปิดประตูเมืองให้กองทัพวิหคสวรรค์ของฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน จากนั้นจึงควบคุมนักโทษไปทางวังหลวงด้วยตนเอง
เมื่อประตูเมืองซีเฉิงเปิดออก องครักษ์ทั้งหมดที่ประตูเมืองจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่อยู่ด้านนอกประตูเมืองมีจำนวนไม่มากนัก และมีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น
ทว่าก่อนหน้านี้ ไม่รู้พวกเขาทำอย่างไรจึงทำให้ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวราวกับมีทหารนับพันนาย ด้วยเหตุนี้ แม่ทัพหลี่จึงสั่งให้นำอาวุธจำนวนมากมาเพื่อปกป้องเมือง
เมื่อครุ่นคิดในเวลานี้ ช่างเป็นเรื่องขบขันเสียจริง
อย่างไรก็ตาม แม่ทัพหลี่จากไปแล้ว ทุกคนทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆ ในใจโดยไม่พูดสิ่งใด
ภายในวังหลวง
หลังจากตงหลิงหวงสั่งให้คุมตัวฮ่องเต้หลู่และคนอื่นๆ แล้ว นางจึงนำคนจำนวนหนึ่งไปปัดกวาดวังหลวง สำรวจตรวจสอบวังหลวงทั้งหมด และจับกุมคนในงานเลี้ยงของฮ่องเต้หลู่ที่เหลืออยู่ รวมถึงขุนนางผู้ใหญ่ที่ดื้อรั้นจำนวนมาก ก่อนจะเข้ายึดตำหนักว่าราชการ
หลังได้รับสัญญาณจากฮั่วซืออวี่แล้ว ตงหลิงหวงก็พาเหล่าองครักษ์และเหล่าขุนนางออกจากวังเพื่อมาต้อนรับฮ่องเต้แคว้นตงเฉินเข้าสู่วังหลวงด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เดินไปถึงประตูวัง ตงหลิงหวงก็ได้รับข่าวที่น่าตกใจ
องครักษ์ของฮั่วซืออวี่ผู้หนึ่งควบม้าอย่างรีบเร่งมาหาตงหลิงหวง ขณะที่ม้ายังไม่ทันเข้ามาใกล้ คนก็กระโดดลงจากหลังม้าแล้ว
“แย่แล้ว องค์รัชทายาท แย่แล้ว… ”
ตงหลิงหวงขมวดคิ้วแน่น “เรื่องอันใด? อธิบายให้ชัดเจน! ”
“ฝ่าบาท… ฝ่าบาทถูกจับเป็นตัวประกัน! ”
ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินถูกจับเป็นตัวประกันหรือ?
สีหน้าของตงหลิงหวงพลันเปลี่ยนไป
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ฮั่วซืออวี่ส่งสัญญาณว่าทำสำเร็จแล้วมิใช่หรือ? หรือว่ายังกำจัดไม่หมด? ”
สัญญาณที่ได้รับจากฮั่วซืออวี่ก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสัญญาณแห่งชัยชนะ!
ตอนที่วางแผนในจวนฮั่ว ตงหลิงหวงและสองพ่อลูกสกุลฮั่วได้หารือข้อมูลร่วมกันหลายครั้ง พวกเขามีสัญญาณไฟหลายประเภทตามลำดับความสำคัญของเรื่อง สีที่ระเบิดบนท้องฟ้านั้นมีความแตกต่างกัน
เห็นได้ชัดว่าสัญญาณที่ฮั่วซืออวี่ปล่อยออกมาคือชนะเด็ดขาด พ่อลูกสกุลหลี่กับคนที่เหลือที่ประตูเมืองทั้งสองถูกกำจัดเรียบร้อยแล้ว!
หรือว่าเรื่องราวมีการพลิกผันอีกครั้ง หรือพ่อลูกสกุลฮั่วถูกหักหลัง?
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของตงหลิงหวงก็กลายเป็นสีแดงฉาน นางกระโดดลงจากหลังม้าและบีบคอองครักษ์ผู้นั้น
“พูดให้ชัด เกิดอันใดขึ้นกันแน่ หากพูดเท็จเพียงครึ่งประโยค รัชทายาทอย่างข้าจะสังหารเจ้าทันที”
ตงหลิงหวงแทบไม่ถามว่าสกุลฮั่วถูกหักหลังหรือไม่
ใบหน้าของชายผู้นั้นซีดเผือดในทันที เสี้ยววินาทีระหว่างความเป็นความตาย เขาจะกล้าพูดเท็จได้อย่างไร?
เขาพูดว่า “พ่ะย่ะค่ะ… คนของฝ่าบาทเป็นไส้ศึก”
“ไส้ศึก? ”
“ผู้ใด? ”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันรอให้คนผู้นั้นพูดออกมา ดูเหมือนตงหลิงหวงจะคิดได้ว่าคือผู้ใด นางผลักองครักษ์ออกไปและกระโดดขึ้นหลังม้า ก่อนจะฟาดแส้และควบออกไปทางประตูตะวันออก
นางประมาทและละเลยเกินไปจริงๆ
นางควรคิดเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว นางควรจัดการตั้งแต่แรก ทว่านางประมาทเลินเล่อ รอจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้
ไม่คาดคิดว่าในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้จะปรากฏเนื้อร้ายที่ใหญ่ที่สุด
นั่นคือฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน ทั้งยังเป็นคนที่เสด็จพ่อใกล้ชิดและไว้วางใจมากที่สุด
ตงหลิงหวงแทบไม่อยากจะเชื่อ หากนางช้าเพียงหนึ่งก้าว นางจะต้องพบเจอกับเรื่องอันใด
เหล่าขุนนางบุ๋น บู๊ และองครักษ์ที่อยู่เบื้องหลังนาง รวมทั้งเหล่านักฆ่าฉานเยวี่ยและฉีเฟิง ต่างติดตามตงหลิงหวงอยู่เบื้องหลัง และมุ่งหน้าไปทางประตูเมืองตะวันออก
ไม่นานนัก ตงหลิงหวงก็มาถึงประตูเมืองตะวันออก
ประตูเมืองเต็มไปด้วยกำลังทหารที่ล้อมรอบอย่างแน่นหนา
แม้จะมีทหารมากมาย ทว่าตงหลิงหวงกลับเห็นตงหลิงไท่ ผู้เป็นบิดาถูกจับเป็นตัวประกัน
เมื่อเห็นการมาถึงของตงหลิงหวงและคนอื่นๆ กำลังทหารจึงหลีกทางให้ทันที ตงหลิงหวงไม่ได้ลงจากหลังม้า ทว่านางขี่ม้าเข้าไปกลางวงล้อม
คนที่จับตัวตงหลิงไท่สวมชุดคลุมสีดำ หมวกสีดำ มีผ้าปกคลุมศีรษะอย่างรัดกุม
เป็นอย่างที่ตงหลิงหวงคาดไว้ก่อนหน้านี้ เขาคือท่านเฟิง ชายลึกลับที่เสด็จพ่อของตนไว้วางใจและเคารพมาโดยตลอด ทั้งยังเชื่อฟังคำสั่งในทุกเรื่อง
ภายใต้หมวกยาวนั้น เมื่อท่านเฟิงเห็นตงหลิงหวงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
“รัชทายาทตงเฉิน ในที่สุดท่านก็มา ข้ารอท่านอยู่นานแล้ว”
ตงหลิงหวงนั่งอยู่บนหลังม้า แม้ในหัวจะเต็มไปด้วยความคิดมากมาย ทว่าใบหน้ายังคงสงบเยือกเย็นและไม่แยแส ท่าทางที่สงบและเย่อหยิ่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์
“ท่านเฟิง ท่านคิดจะทำอันใด? เสด็จพ่อให้เกียรติท่านมาโดยตลอด ทั้งยังให้เกียรติท่านในฐานะอาคันตุกะอีกด้วย หรือว่า… ท่านต้องการทำเหมือนตงหลิงชางในวันนี้ ทรยศต่อเสด็จพ่อ? ”
เสื้อคลุมสีดำของท่านเฟิงกำลังโบกสะบัดอย่างรุนแรงท่ามกลางสายลม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าการแสดงออกของเขาเป็นอย่างไรภายใต้หมวกยาวนั้น
“ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินกับข้าอยู่ในฐานะขุนนางกับฮ่องเต้ มิตรภาพที่มีมากกว่าธรรมเนียมระหว่างฮ่องเต้กับขุนนาง ทว่าต่างฝ่ายต่างให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน จะกล่าวว่าทรยศได้อย่างไร?
ตงหลิงไท่ พระองค์ว่าใช่หรือไม่? ”
ท่านเฟิงพูดพลางตบหน้าของตงหลิงไท่เบาๆ ด้วยมีดสั้นสีเงินวาวในมือ จากนั้นจึงขยับไปที่ลำคอของตงหลิงไท่
ทุกคนที่มองเหตุการณ์ด้านข้างต่างสูดลมหายใจเย็นเฉียบหนึ่งเฮือก
ผู้ใดก็สามารถมองออกว่า เพียงท่านเฟิงลงมือหนักกว่านี้อีกเล็กน้อย ตงหลิงไท่ต้องเสียชีวิตทันที
ตงหลิงหวงขมวดคิ้ว ดวงตาของนางแจ่มชัดและสดใส ทว่าภายในใจกำลังครุ่นคิด
ทั้งสหายทั้งขุนนางหรือ?
มิตรภาพย่อมมากกว่าธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางหรือ?
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
หรือว่าเสด็จพ่อทราบที่มาของท่านเฟิงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?
ก่อนหน้านี้ ตงหลิงหวงคัดค้านเรื่องที่ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินใกล้ชิดกับท่านเฟิงผู้นี้มาตลอด นางสงสัยในตัวตนและที่มาของท่านเฟิง ทว่าเสด็จพ่อกลับไม่เคยสงสัย นางยังคิดว่าเสด็จพ่อของตนรู้ภูมิหลังของท่านเฟิงผู้นี้อยู่แล้ว
ตอนนี้เมื่อฟังคำพูดเมื่อครู่ของท่านเฟิง นางก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน
ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินทราบภูมิหลังของท่านเฟิงผู้นี้มานานแล้ว
เช่นนั้น เขาคือผู้ใดกันแน่?
รูปลักษณ์ของคนผู้นี้เป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิง เขาปรากฏตัวอยู่ข้างกายฮ่องเต้แคว้นตงเฉินเพราะมีจุดประสงค์อันใดกันแน่?
มีข้อตกลงอันใดกับฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน?
เหตุใดฮ่องเต้แคว้นตงเฉินจึงถูกจับเป็นตัวประกันในตอนนี้?
ทันใดนั้น ดวงตาสดใสและหลักแหลมของตงหลิงหวงก็มองไปที่เสด็จพ่อของตนเอง และหันไปมองที่ท่านเฟิง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากท่านเฟิงมีสิ่งที่ต้องการพูด ก็ควรปรึกษากับเสด็จพ่อจึงจะถูก ทว่าท่านกระทำเช่นนี้ มีเหตุผลใดกันแน่? รัชทายาทอย่างข้าไม่เข้าใจจริงๆ ”
แม้น้ำเสียงของนางจะมีความปรานีอยู่ในที ทว่าสีหน้า แววตา และการเคลื่อนไหว รวมถึงกระบี่ยาวในมือกลับไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย