เล่มที่ 30 เล่มที่ 30 ตอนที่ 878 ไร้ความเมตตา

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ฮั่วซืออวี่ชักกระบี่ยาวออกมาต่อสู้กับทหารเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว

กองทัพสกุลฮั่วอยู่บนหอสังเกตการณ์มาโดยตลอด ทุกคนต่างวิ่งเข้าไปต่อสู้เคียงข้างฮั่วซืออวี่

เวลานั้น ภายในห้องซึ่งมีไว้ให้องครักษ์พักผ่อนถูกปิดอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้ผู้อื่นพบว่าหลี่มู่เฟิงและคนอื่นๆ กำลังละเลยหน้าที่ในเวลางาน ผู้ดูแลเฝิงจึงล็อกประตูจากข้างใน

เปลวไฟในห้องกำลังลุกโชนราวกับฤดูร้อนที่แสนอบอุ่น หลังจากกินไก่ย่างเสร็จแล้ว พวกเขาทั้งสามก็ดื่มสุราอีกเล็กน้อย หลี่มู่เฟิงสบถด่าฮั่วซืออวี่อย่างต่อเนื่อง โดยที่ยังไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอันใดขึ้น

ขอเพียงมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ห้องพักผ่อนเพื่อพยายามรายงานข่าว ก็จะถูกฮั่วซืออวี่และคนของฮั่วซืออวี่จัดการอย่างรวดเร็ว

ในไม่ช้า ทหารสกุลหลี่และองครักษ์เฝ้าประตูเมืองทิศตะวันออกก็เหลือไม่กี่คน

ภายในห้องเล็ก หลี่มู่เฟิงเมาจนชี้นิ้วไปที่เพดานและสาปแช่ง

“ฮั่วซืออวี่ สารเลว สกุลฮั่ว เด็กเมื่อวานซืน กล้าต่อกรกับข้า กล้าบิดแขนข้า คอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”

“ฮั่วซืออวี่ ข้าจะทุบกบาลของเจ้า… ”

หลังสิ้นเสียงของหลี่มู่เฟิง ทันใดนั้นก็มีคนพังประตูเข้ามา และตัดศีรษะของเขา โดยที่เขาไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าเกิดอันใดขึ้น

ผู้ดูแลเฝิงและแม่ทัพช่ายพลันตกตะลึง พวกเขามองเหตุการณ์เบื้องหน้าที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันด้วยความตกตะลึงอย่างมาก

“ฮั่ว… ฮั่ว… ”

พวกเขาเพิ่งพูดคำว่าฮั่วออกมา ทว่ายังพูดไม่ทันจบคำ องครักษ์สองคนของสกุลฮั่วก็รีบเข้ามา เสียง ‘ฉึบ’ ดังขึ้นสองครั้ง และศีรษะของทั้งสองก็ไม่อยู่บนคออีกแล้ว

“แม่ทัพน้อย คนด้านนอกถูกกำจัดหมดแล้วขอรับ! ”

ฮั่วซืออวี่ถือกระบี่ยาวที่เปื้อนเลือดค่อยๆ หันหลังกลับมา ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ดวงตาเคร่งขรึมของเขากลับสว่างขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ทว่าภายใต้ดวงตาที่สดใส กลับมีความแน่วแน่และความโหดร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้

“สังหารทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว เปิดประตูเมืองต้อนรับฝ่าบาทเข้าเมือง”

“ขอรับ! ” องครักษ์ตอบรับและรีบทำตามคำสั่ง

ฮั่วซืออวี่เดินออกมาจากประตูและทำตามที่ตงหลิงหวงวางแผนไว้ นั่นคือจุดพลุส่งสัญญาณ

เหมือนเช่นเมื่อครู่ ทุกคนแทบทั้งเมืองหลวงต่างเห็นพลุสัญญาณนี้

ฮั่วจีเหลือบมองไปทางประตูเมืองตะวันออกด้วยสายตาชื่นชมยินดี เขาสั่งเปิดประตูเมืองให้กองทัพวิหคสวรรค์ของฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน จากนั้นจึงควบคุมนักโทษไปทางวังหลวงด้วยตนเอง

เมื่อประตูเมืองซีเฉิงเปิดออก องครักษ์ทั้งหมดที่ประตูเมืองจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่อยู่ด้านนอกประตูเมืองมีจำนวนไม่มากนัก และมีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น

ทว่าก่อนหน้านี้ ไม่รู้พวกเขาทำอย่างไรจึงทำให้ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวราวกับมีทหารนับพันนาย ด้วยเหตุนี้ แม่ทัพหลี่จึงสั่งให้นำอาวุธจำนวนมากมาเพื่อปกป้องเมือง

เมื่อครุ่นคิดในเวลานี้ ช่างเป็นเรื่องขบขันเสียจริง

อย่างไรก็ตาม แม่ทัพหลี่จากไปแล้ว ทุกคนทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆ ในใจโดยไม่พูดสิ่งใด

ภายในวังหลวง

หลังจากตงหลิงหวงสั่งให้คุมตัวฮ่องเต้หลู่และคนอื่นๆ แล้ว นางจึงนำคนจำนวนหนึ่งไปปัดกวาดวังหลวง สำรวจตรวจสอบวังหลวงทั้งหมด และจับกุมคนในงานเลี้ยงของฮ่องเต้หลู่ที่เหลืออยู่ รวมถึงขุนนางผู้ใหญ่ที่ดื้อรั้นจำนวนมาก ก่อนจะเข้ายึดตำหนักว่าราชการ

หลังได้รับสัญญาณจากฮั่วซืออวี่แล้ว ตงหลิงหวงก็พาเหล่าองครักษ์และเหล่าขุนนางออกจากวังเพื่อมาต้อนรับฮ่องเต้แคว้นตงเฉินเข้าสู่วังหลวงด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เดินไปถึงประตูวัง ตงหลิงหวงก็ได้รับข่าวที่น่าตกใจ

องครักษ์ของฮั่วซืออวี่ผู้หนึ่งควบม้าอย่างรีบเร่งมาหาตงหลิงหวง ขณะที่ม้ายังไม่ทันเข้ามาใกล้ คนก็กระโดดลงจากหลังม้าแล้ว

“แย่แล้ว องค์รัชทายาท แย่แล้ว… ”

ตงหลิงหวงขมวดคิ้วแน่น “เรื่องอันใด? อธิบายให้ชัดเจน! ”

“ฝ่าบาท… ฝ่าบาทถูกจับเป็นตัวประกัน! ”

ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินถูกจับเป็นตัวประกันหรือ?

สีหน้าของตงหลิงหวงพลันเปลี่ยนไป

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ฮั่วซืออวี่ส่งสัญญาณว่าทำสำเร็จแล้วมิใช่หรือ? หรือว่ายังกำจัดไม่หมด? ”

สัญญาณที่ได้รับจากฮั่วซืออวี่ก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสัญญาณแห่งชัยชนะ!

ตอนที่วางแผนในจวนฮั่ว ตงหลิงหวงและสองพ่อลูกสกุลฮั่วได้หารือข้อมูลร่วมกันหลายครั้ง พวกเขามีสัญญาณไฟหลายประเภทตามลำดับความสำคัญของเรื่อง สีที่ระเบิดบนท้องฟ้านั้นมีความแตกต่างกัน

เห็นได้ชัดว่าสัญญาณที่ฮั่วซืออวี่ปล่อยออกมาคือชนะเด็ดขาด พ่อลูกสกุลหลี่กับคนที่เหลือที่ประตูเมืองทั้งสองถูกกำจัดเรียบร้อยแล้ว!

หรือว่าเรื่องราวมีการพลิกผันอีกครั้ง หรือพ่อลูกสกุลฮั่วถูกหักหลัง?

เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของตงหลิงหวงก็กลายเป็นสีแดงฉาน นางกระโดดลงจากหลังม้าและบีบคอองครักษ์ผู้นั้น

“พูดให้ชัด เกิดอันใดขึ้นกันแน่ หากพูดเท็จเพียงครึ่งประโยค รัชทายาทอย่างข้าจะสังหารเจ้าทันที”

ตงหลิงหวงแทบไม่ถามว่าสกุลฮั่วถูกหักหลังหรือไม่

ใบหน้าของชายผู้นั้นซีดเผือดในทันที เสี้ยววินาทีระหว่างความเป็นความตาย เขาจะกล้าพูดเท็จได้อย่างไร?

เขาพูดว่า “พ่ะย่ะค่ะ… คนของฝ่าบาทเป็นไส้ศึก”

“ไส้ศึก? ”

“ผู้ใด? ”

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันรอให้คนผู้นั้นพูดออกมา ดูเหมือนตงหลิงหวงจะคิดได้ว่าคือผู้ใด นางผลักองครักษ์ออกไปและกระโดดขึ้นหลังม้า ก่อนจะฟาดแส้และควบออกไปทางประตูตะวันออก

นางประมาทและละเลยเกินไปจริงๆ

นางควรคิดเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว นางควรจัดการตั้งแต่แรก ทว่านางประมาทเลินเล่อ รอจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้

ไม่คาดคิดว่าในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้จะปรากฏเนื้อร้ายที่ใหญ่ที่สุด

นั่นคือฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน ทั้งยังเป็นคนที่เสด็จพ่อใกล้ชิดและไว้วางใจมากที่สุด

ตงหลิงหวงแทบไม่อยากจะเชื่อ หากนางช้าเพียงหนึ่งก้าว นางจะต้องพบเจอกับเรื่องอันใด

เหล่าขุนนางบุ๋น บู๊ และองครักษ์ที่อยู่เบื้องหลังนาง รวมทั้งเหล่านักฆ่าฉานเยวี่ยและฉีเฟิง ต่างติดตามตงหลิงหวงอยู่เบื้องหลัง และมุ่งหน้าไปทางประตูเมืองตะวันออก

ไม่นานนัก ตงหลิงหวงก็มาถึงประตูเมืองตะวันออก

ประตูเมืองเต็มไปด้วยกำลังทหารที่ล้อมรอบอย่างแน่นหนา

แม้จะมีทหารมากมาย ทว่าตงหลิงหวงกลับเห็นตงหลิงไท่ ผู้เป็นบิดาถูกจับเป็นตัวประกัน

เมื่อเห็นการมาถึงของตงหลิงหวงและคนอื่นๆ กำลังทหารจึงหลีกทางให้ทันที ตงหลิงหวงไม่ได้ลงจากหลังม้า ทว่านางขี่ม้าเข้าไปกลางวงล้อม

คนที่จับตัวตงหลิงไท่สวมชุดคลุมสีดำ หมวกสีดำ มีผ้าปกคลุมศีรษะอย่างรัดกุม

เป็นอย่างที่ตงหลิงหวงคาดไว้ก่อนหน้านี้ เขาคือท่านเฟิง ชายลึกลับที่เสด็จพ่อของตนไว้วางใจและเคารพมาโดยตลอด ทั้งยังเชื่อฟังคำสั่งในทุกเรื่อง

ภายใต้หมวกยาวนั้น เมื่อท่านเฟิงเห็นตงหลิงหวงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย

“รัชทายาทตงเฉิน ในที่สุดท่านก็มา ข้ารอท่านอยู่นานแล้ว”

ตงหลิงหวงนั่งอยู่บนหลังม้า แม้ในหัวจะเต็มไปด้วยความคิดมากมาย ทว่าใบหน้ายังคงสงบเยือกเย็นและไม่แยแส ท่าทางที่สงบและเย่อหยิ่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์

“ท่านเฟิง ท่านคิดจะทำอันใด? เสด็จพ่อให้เกียรติท่านมาโดยตลอด ทั้งยังให้เกียรติท่านในฐานะอาคันตุกะอีกด้วย หรือว่า… ท่านต้องการทำเหมือนตงหลิงชางในวันนี้ ทรยศต่อเสด็จพ่อ? ”

เสื้อคลุมสีดำของท่านเฟิงกำลังโบกสะบัดอย่างรุนแรงท่ามกลางสายลม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าการแสดงออกของเขาเป็นอย่างไรภายใต้หมวกยาวนั้น

“ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินกับข้าอยู่ในฐานะขุนนางกับฮ่องเต้ มิตรภาพที่มีมากกว่าธรรมเนียมระหว่างฮ่องเต้กับขุนนาง ทว่าต่างฝ่ายต่างให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน จะกล่าวว่าทรยศได้อย่างไร?

ตงหลิงไท่ พระองค์ว่าใช่หรือไม่? ”

ท่านเฟิงพูดพลางตบหน้าของตงหลิงไท่เบาๆ ด้วยมีดสั้นสีเงินวาวในมือ จากนั้นจึงขยับไปที่ลำคอของตงหลิงไท่

ทุกคนที่มองเหตุการณ์ด้านข้างต่างสูดลมหายใจเย็นเฉียบหนึ่งเฮือก

ผู้ใดก็สามารถมองออกว่า เพียงท่านเฟิงลงมือหนักกว่านี้อีกเล็กน้อย ตงหลิงไท่ต้องเสียชีวิตทันที

ตงหลิงหวงขมวดคิ้ว ดวงตาของนางแจ่มชัดและสดใส ทว่าภายในใจกำลังครุ่นคิด

ทั้งสหายทั้งขุนนางหรือ?

มิตรภาพย่อมมากกว่าธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางหรือ?

นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

หรือว่าเสด็จพ่อทราบที่มาของท่านเฟิงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?

ก่อนหน้านี้ ตงหลิงหวงคัดค้านเรื่องที่ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินใกล้ชิดกับท่านเฟิงผู้นี้มาตลอด นางสงสัยในตัวตนและที่มาของท่านเฟิง ทว่าเสด็จพ่อกลับไม่เคยสงสัย นางยังคิดว่าเสด็จพ่อของตนรู้ภูมิหลังของท่านเฟิงผู้นี้อยู่แล้ว

ตอนนี้เมื่อฟังคำพูดเมื่อครู่ของท่านเฟิง นางก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน

ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินทราบภูมิหลังของท่านเฟิงผู้นี้มานานแล้ว

เช่นนั้น เขาคือผู้ใดกันแน่?

รูปลักษณ์ของคนผู้นี้เป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิง เขาปรากฏตัวอยู่ข้างกายฮ่องเต้แคว้นตงเฉินเพราะมีจุดประสงค์อันใดกันแน่?

มีข้อตกลงอันใดกับฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน?

เหตุใดฮ่องเต้แคว้นตงเฉินจึงถูกจับเป็นตัวประกันในตอนนี้?

ทันใดนั้น ดวงตาสดใสและหลักแหลมของตงหลิงหวงก็มองไปที่เสด็จพ่อของตนเอง และหันไปมองที่ท่านเฟิง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากท่านเฟิงมีสิ่งที่ต้องการพูด ก็ควรปรึกษากับเสด็จพ่อจึงจะถูก ทว่าท่านกระทำเช่นนี้ มีเหตุผลใดกันแน่? รัชทายาทอย่างข้าไม่เข้าใจจริงๆ ”

แม้น้ำเสียงของนางจะมีความปรานีอยู่ในที ทว่าสีหน้า แววตา และการเคลื่อนไหว รวมถึงกระบี่ยาวในมือกลับไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย