ทันใดนั้น แววตาเย็นชาก็พุ่งเป้าไปยังฮ่องเต้หลู่ที่กำลังหายใจรวยริน
นางออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จับตงหลิงชางขังไว้ในคุกหลวง”
“พ่ะย่ะค่ะ! ” ทหารองครักษ์หลายคนก้าวไปข้างหน้า จากนั้นจึงลากฮ่องเต้หลู่ออกไป
ผู้ที่ติดตามฮ่องเต้หลู่และต่อสู้กับตงหลิงหวง ต่างถูกองครักษ์และองครักษ์เงาที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตงหลิงหวงควบคุมตัวไว้
ดวงตาที่เฉียบคมของตงหลิงหวงกวาดมองพวกเขาทีละคน สายตาที่มองนั้น ทำให้หลายคนถึงกับแข้งขาไร้เรี่ยวแรงและล้มลงกับพื้น
“รัชทายาท โปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด! รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด! ”
“จับกุมตัวไว้ สอบปากคำให้ละเอียด”
ตงหลิงหวงไม่มีทางปล่อยผู้ต้องสงสัยไป ทว่านางจะไม่กล่าวโทษผู้บริสุทธิ์อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เข้าใจและรู้จักตงหลิงหวงย่อมรู้ดีว่าวิธีสอบสวนของรัชทายาทตงเฉินนั้นรุนแรงเพียงใด แต่ละคนจะถูกลงโทษด้วยวิธีการทรมานมากมาย คนที่ถูกคุมตัวไปยังกรมอาญา มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้
ทันทีที่พวกเขาได้ยินคำว่า ‘สอบปากคำ’ บางคนถึงกับเป็นลมเลยทีเดียว
จากนั้น ตงหลิงหวงจึงหยิบพลุสัญญาณออกมาจากแขนเสื้อและส่งให้นักฆ่าที่อยู่ด้านข้าง นักฆ่าจึงทำการจุดพลุไฟ พลุไฟพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เปลวเพลิงระเบิดอยู่บนท้องฟ้า กลายเป็นดอกไม้ไฟที่สวยงามอย่างมาก
ขณะเดียวกัน แทบทุกคนในเมืองหลวงของแคว้นตงเฉินต่างเห็นดอกไม้ไฟนี้
แน่นอน คนที่สังเกตเห็นเป็นคนแรกคือคนที่อยู่ทางประตูทิศตะวันตกและประตูทิศตะวันออก
แม่ทัพหลี่และฮั่วจีที่ประตูทิศตะวันตกเห็นพลุสัญญาณนั้นพร้อมกัน
แม่ทัพหลี่ยังคงไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น จึงขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย ทว่าเขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว
“แม่ทัพฮั่ว ท่านเห็นสัญญาณดอกไม้ไฟเมื่อครู่แล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่? หรือว่า… หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นในวังหลวง”
การแสดงออกของฮั่วจีนั้นลึกซึ้งจนไม่อาจมองออกว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่ในใจ จากนั้น เขาจึงค่อยๆ เดินไปข้างกายแม่ทัพหลี่ และมองขึ้นไปยังแสงสว่างบนท้องฟ้า พลางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ข้าคิดว่า… มีความเป็นไปได้แปดส่วนว่าฮ่องเต้หลู่พ่ายแพ้แล้ว”
แม่ทัพหลี่เครากระตุกอย่างรุนแรง
“ฮั่วจี เจ้าพูดจาโอหังยิ่งนัก พูดจาหยาบช้า สาบแช่งฝ่าบาทอย่างโจ่งแจ้ง หรือว่าเจ้าอยากตาย? ”
ฮั่วจีมองแม่ทัพหลี่ด้วยแววตามีเลศนัย
“ข้า ฮั่วจีเป็นชาวแคว้นจงหนิง ระหกระเหินมายังแคว้นตงเฉิน เป็นฝ่าบาททรงเมตตาให้ที่พักอาศัยและฐานะแก่ข้า ฮั่วจีรู้สึกขอบพระทัยฝ่าบาทยิ่งนัก จะสาปแช่งฝ่าบาทได้อย่างไร? ”
คำพูดของฮั่วจีมีความหนักแน่นอย่างมาก
สกุลฮั่วจากแคว้นจงหนิงมายังแคว้นตงเฉิน ผู้ที่ให้โอกาสสกุลฮั่วได้ลงหลักปักฐานคือตงหลิงไท่ ไม่ใช่ตงหลิงชาง หลายคนต่างรู้เรื่องนี้ดี ทว่าในเวลาอันสั้น แม่ทัพหลี่ไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้
“ฮั่วจี เจ้ารู้ดีว่าฝ่าบาทให้ที่พักพิงลงหลักปักฐานแก่สกุลฮั่ว ทว่าสิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่นี้ หากไม่ใช่การสาปแช่งฝ่าบาท แล้วมันคืออันใด? ”
“สาปแช่งฝ่าบาทหรือ? โอ้ ใช่ ตอนนี้แคว้นตงเฉินมีฝ่าบาทสองพระองค์ ทว่าข้ากลับไม่รู้ว่าแม่ทัพหลี่หมายถึงพระองค์ใดกันแน่? ”
ในที่สุด แม่ทัพหลี่ก็เหมือนจะเข้าใจอันใดบางอย่าง
แต่กว่าจะรอให้ความสงสัยในใจของเขาค่อยๆ กระจ่างชัดเจนขึ้น เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่เอวแล้ว
ทันใดนั้น แม่ทัพหลี่ก็มองผ่านใบหน้าของฮั่วจีไปที่เอวของตนเองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ เขาค่อยๆ หันหลังกลับมา และเห็นมีดสีเงินที่เต็มไปด้วยเลือด จึงหันไปมองใบหน้าฮั่วจีอีกครั้ง
“เจ้า… ฮั่วจี… เจ้า… เจ้าคิดก่อกบฏหรือ? ”
ฮั่วจีดึงมีดพกออกมาด้วยท่าทางเคร่งขรึม ก่อนจะแทงท้องของแม่ทัพหลี่อีกครั้ง
“ตงหลิงชางฉวยโอกาสที่ฝ่าบาทเสด็จไปชายแดนทางทิศตะวันออกเพื่อก่อกบฏและพยายามสังหารหมู่ขุนนาง สกุลหลี่ร่วมมือกับตงหลิงชางก่อกบฏต่อราชวงศ์ สกุลฮั่วของข้าช่วยเหลือฝ่าบาทและรัชทายาทเพื่อจัดการพวกกบฏ ก็สมเหตุสมผลแล้ว ไม่ทราบว่ากบฏที่แม่ทัพหลี่พูดถึงนั้น… เป็นข้า สกุลฮั่ว หรือเป็นผู้ใด? ช่างเป็นการกล่าวหาที่ไร้ความยุติธรรมจริงๆ ! ”
เสียงของฮั่วจีนั้นแผ่วเบา ไร้พลัง ทว่าเต็มไปด้วยความเย็นชา ทำให้คนที่ได้ยินหวาดกลัวจนตัวสั่นเทา
ทันใดนั้น แม่ทัพหลี่ก็ล้มลงบนพื้นเสียงดัง ‘ตุบ’ เหล่าทหารในกองทัพสกุลหลี่ที่ปกป้องกำแพงเมืองพลันเล็งหอกยาวและกระบี่ยาวไปที่ฮั่วจี
ทว่าในไม่ช้า เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากระยะไกล ทหารสกุลหลี่ถูกล้อมด้วยกำลังทหารของสกุลฮั่ว ผู้คุ้มกันประตูเมืองทิศตะวันตกก็ถูกโจมตีโดยกองทัพของฮั่วจี
เมื่อศัตรูมีจำนวนมากกว่า มีเพียงผู้ที่ฉลาดจึงจะเข้าใจว่าหากพวกเขาต่อต้าน ย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใด ดังนั้นพวกเขาจึงทิ้งอาวุธในมือ และยกมือไปทางทหารของสกุลฮั่วเพื่อแสดงท่าทียอมจำนน
ในขณะเดียวกัน ทางประตูเมืองทิศตะวันออก
ฮั่วซืออวี่ยืนอยู่เหนือประตูเมืองเพียงผู้เดียว เขาเหลือบมองไปด้านนอกประตูเมืองที่เงียบสงบ จากนั้นจึงเหลือบมองไปทางวังหลวง ทว่าเขาไม่เห็นกองทหารของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินหรือสัญญาณของตงหลิงหวง จึงกังวลใจอย่างมาก
หลังจากที่หลี่มู่เฟิงลงมาจากหอสังเกตการณ์ เขาก็ไปพักผ่อนที่ห้องเล็กๆ ใต้หอสังเกตการณ์
ในห้องมีเตาผิง เมื่อเข้าไปด้านใน ลมร้อนก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างมาก
ผู้ดูแลเฝิงและแม่ทัพช่ายเดินตามหลังหลี่มู่เฟิงเข้าประตูมาติดๆ
“แม่ทัพน้อยหลี่ เห็นได้ชัดว่าฮั่วซืออวี่ผู้นั้นมีปัญหาด้านสมอง ท่านอย่าไปคบค้ากับคนเช่นนั้น ไม่คุ้มที่จะทำให้ตนเองอารมณ์เสีย”
“ใช่ ใช่ ใช่ แม่ทัพน้อยหลี่ ท่านมีสถานะเช่นไร! ไปเทียบกับคนประเภทนั้น มีแต่จะทำตนเองให้ด้อยค่าลงเท่านั้นเอง”
ทั้งสองคนยกยอหลี่มู่เฟิงอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำให้หลี่มู่เฟิงรู้สึกว่าตนเองสูงส่งและมีเกียรติ ฮั่วซืออวี่ไม่ใช่คนที่คู่ควรอันใด จากนั้นจึงเชิดหน้าและวางเท้าลงบนเตาผิง
ดวงตาเผยให้เห็นความเย็นชา
“หึ ฮั่วซืออวี่ อวดดีโอหังไปเถิด! ข้าจะให้เจ้าอวดดีได้อีกสองสามวัน ต้องมีสักวันที่ข้าจะตัดศีรษะเจ้าด้วยมือของข้า และเอามาเตะเป็นลูกหนัง”
“ใช่ ใช่ ใช่ ฮั่วซืออวี่ เจ้าเด็กเมื่อวานซีน โอหังอวดดีได้อีกไม่นาน แม่ทัพน้อยหลี่คือผู้ใด? บิดาคือผู้บัญชาการกองทัพสูงสุดของแคว้นตงเฉิน ท่านอาเป็นพระชายาหยี่ ในราชสำนักนี้จะมีผู้ใดสูงศักดิ์ไปกว่าแม่ทัพน้อยหลี่ของเราอีก? ”
ผู้ดูแลเฝิงพูดพลางคุกเข่าข้างกายหลี่มู่เฟิงอย่างตั้งใจ พร้อมทั้งบีบนวดขาให้เขา
แม่ทัพช่ายเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม พลางหยิบจานไก่ย่างจากตู้ข้างๆ มอบให้หลี่มู่เฟิง
“แม่ทัพน้อยหลี่ลองชิมนี่ เมื่อเช้าข้าเพิ่งซื้อมาจากประตูทางใต้ ไก่สูตรดั้งเดิมจากสกุลหยาง รสชาติอร่อยมาก”
ยังไม่ทันได้เอาเข้าปาก ทว่าเพียงได้กลิ่นก็รู้ว่าอร่อยอย่างแน่นอน หลี่มู่เฟิงหรี่ตาและชี้ไปที่แม่ทัพช่ายด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เจ้านี่มัน เห็นปกติทำเหมือนคนโง่ไร้สมอง ที่แท้ก็ใช้การได้ดีทีเดียว”
แม่ทัพช่ายพยักหน้าและโค้งคำนับ จากนั้นจึงเดินไปข้างกายหลี่มู่เฟิงและนวดไหล่ให้เขา
“ขอบคุณในคำชมของแม่ทัพน้อยหลี่ ขอบคุณที่แม่ทัพน้อยหลี่กล่าวชมเชย หวังว่าแม่ทัพน้อยหลี่จะกล่าวคำชมดีๆ ต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ด้วยนะขอรับ! ”
หลี่มู่เฟิงคว้าน่องไก่มากัดเข้าปาก
“ตกลง ข้าจะรอให้สกุลฮั่วตาย นายน้อยอย่างข้าจะพูดกับท่านพ่อ ให้เจ้าอยู่เหนือกว่าตาเฒ่าสกุลฮั่วที่ไร้ประโยชน์นั่น”
แม้ฮั่วจีพ่อลูกจะเป็นที่เคลือบแคลงในแคว้นตงเฉินมาโดยตลอด ทว่าตำแหน่งราชการของพวกเขาไม่ได้ต่ำต้อย เบี้ยหวัดประจำปีของพวกเขาก็ค่อนข้างสูงเช่นกัน อย่างน้อยก็อยู่ในระดับแม่ทัพ
ตำแหน่งของฮั่วจีถือเป็นตำแหน่งที่โดดเด่น สำหรับคนอย่างแม่ทัพช่ายซึ่งมีหน้าที่เฝ้าประตูเมือง
เขาแย้มยิ้มอย่างลิงโลดและมือบีบแรงขึ้น
“เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าน้อยต้องขอขอบคุณท่านแม่ทัพน้อยหลี่ ขอบคุณท่านแม่ทัพน้อยหลี่”
ทั้งสามคนมัวแต่คุยโวโอ้อวดเรื่องสนุกอยู่ภายในห้อง พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าสถานการณ์ด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง?
นอกประตูเมือง ฮั่วซืออวี่กำลังเดินอยู่บนหอสังเกตการณ์ ทันใดนั้น เขาก็หันศีรษะมองไปยังพลุส่งสัญญาณที่ส่งเสียงดัง ‘ฟี้วว’ มาจากวังหลวงที่อยู่ในระยะไกล เขาขมวดคิ้วทันที
ร้อนใจอยู่พักใหญ่ ในที่สุดจิตใจก็สงบลง ที่แท้องค์รัชทายาทยังไม่สิ้นพระชนม์ ในที่สุดพระองค์ก็ทำสำเร็จ
ในเวลาเดียวกัน เสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับอยู่ด้านนอกกำแพงเมือง กองทัพคนและม้าจากระยะไกลเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ฝุ่นตลบอลอวล แม้พวกเขาทั้งหมดจะสวมชุดลำลอง ทว่าฮั่วซืออวี่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้นำคือตงหลิงไท่ ฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน
หัวใจของฮั่วซืออวี่มีความมั่นใจเหมือนได้รับยาบำรุง
“เฮ้ย นั่นอันใด? ผู้ใด? ”
ทหารที่คุ้มกันเมืองต่างชี้ไปที่ด้านนอกกำแพงเมือง และตะโกนเสียงดัง
ฮั่วซืออวี่ขมวดคิ้วดุดัน เขาดึงมีดพกออกมาจากเอวและปาดคอทหารรักษาการณ์หลายคนที่อยู่ใกล้เคียง หลังจากนั้น องครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่หลายสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นบนกำแพงเมือง สับเปลี่ยนทหารองครักษ์ที่เฝ้าหอสังเกตการณ์อย่างเงียบงัน โดยเปลี่ยนเป็นคนของสกุลฮั่วทั้งหมด
“อ้าก… แย่แล้ว แย่แล้ว… ”
ผู้คุมคนหนึ่งที่หลุดรอดออกไปตะโกนเสียงดังขณะที่วิ่งลงบันไดไปยังด้านล่างของหอสังเกตการณ์
ฮั่วซืออวี่คล่องแคล่วว่องไวราวกับกระต่าย เขามาถึงด้านหลังของหอสังเกตการณ์อย่างรวดเร็ว และร่อนลงมาราวกับค้างคาว
“แย่… แล้ว… ” ชายผู้นั้นยังพูดไม่ทันจบ เมื่อหันกลับมามองก็พบว่าร่างของตนได้แยกจากศีรษะแล้ว
ฮั่วซืออวี่ยืนนิ่งราวกับปีศาจ
แม้การกระทำของฮั่วซืออวี่จะรวดเร็วและว่องไว ทว่าวันนี้มีคนจำนวนมากคอยปกป้องประตูเมือง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อื่นจะไม่ตกใจ
เวลาเพียงเสี้ยววินาที ทหารองครักษ์ของสกุลหลี่ก็รวมตัวกัน และรีบวิ่งไปห้อมล้อมฮั่วซืออวี่