ตอนที่ 2,101 : จ้าวแท่นบูชามังกรคราม!
“ไม่จริง…เรื่องพรรค์นี้มันเป็นไปมิได้!!”
“คะ…ความเร็วในการบ่มเพาะของข้า ไฉนถึงได้เชื่องช้าขนาดนี้ เป็นไปได้อย่างไร?!”
ในห้องเล็กๆของคฤหาสน์บนเกาะลอยส่วนตัวแห่งหนึ่ง ร่างปู้หง ทรุดลงกับพื้นอย่างหมดสภาพ สองตาของมันเลื่อนลอย ใบหน้าริมฝีปากซีดเซียวไร้สีเลือด กล่าวพึมพำออกมาไม่หยุด
บางครั้งก็เลื่อนลอยบางครั้งก็คำรามออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ร้าย ปานคนเสียสติ
เมื่อไม่นานมานี้หลังจากที่มันถูกอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ที่พึ่งผงาดขึ้นมาในเวลาอันสั้นอย่างต้วนหลิงเทียนซัดจนสลบ ในที่สุดมันก็ได้ฟื้นขึ้นมา
ด้วยความซึมเซาเพราะรู้ตัวว่าพ่ายแพ้ ปู้หง จึงหม่นหมองไปพักหนึ่ง แต่ในที่สุดมันก็ฮึดสู้อีกครั้ง และหมายล้างอายให้ไดโดยเร็ว!
ต้วนหลิงเทียนเอาชนะมันไม่ว่า แต่อีกฝ่ายซัดมันจนสิ้นสติฟุบไปต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนั้น ทำให้มันอับอายไม่น้อย!!
มันต้องล้างแค้นให้จงได้!
กระทั่งยังจะท้าต้วนหลิงเทียนประลองเป็นตายและฆ่าอีกฝ่ายให้ตายคามือกลางสังเวียนเป็นตาย! ใช้เลือดต้วนหลิงเทียนล้างความอัปยศอดสู ที่ทำให้มันต้องทุกข์ระทมขมขื่นใจ!!
ทว่าพอปู้หงเริ่มตั้งมั่นว่าจะฝึกปรืออย่างหนัก มันกลับพบว่ามันไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณฟ้าดินอีกต่อไป!
หลังจากพยายามอยู่นานในที่สุดมันก็สัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินได้อีกครั้ง ทว่าสัมผัสของพลังวิญญาณฟ้าดินกลับบางเบาเหลือเกิน!
อีกทั้งความสามารถในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าปานหอยทากคืบคลาน…
‘ความเร็วในการบ่มเพาะเช่นนี้ กระทั่งยังด้อยกว่าผู้มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีแดงด้วยซ้ำ!’
นี่คือความคิดในหัวของปู้หงตอนนั้น
ตอนแรกปู้หงคิดว่าการที่มันยากสัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินและไม่อาจดูดซับพลังวิญญาณได้ดินได้ดีเหมือนเดิม คงเป็นเพราะผลกระทบจากการถูกทำร้ายและสิ้นสติ มันจึงคิดว่าสมควรพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายให้หายดี เพียงไม่กีวันก็คงกลับสู่ปกติ
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่งจนมันรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงดีแล้ว แต่ความเร็วในการฝึกปรือทั้งความไวต่อพลังวิญญาณฟ้าดินยังคงน้อยนิดไม่แปรเปลี่ยน ใจปู้หงก็จมดิ่งลงทันที
และในที่สุดวันนี้ปู้หงก็ตระหนักถึงปัญหาร้ายแรง
รากวิญญาณของมันถูกทำลาย!
ยังสลายหายไปหมดสิ้น!!
“ต้วนหลิงเทียนมันทำอะไรกับข้า! มันทำอะไรกับข้ากันแน่!!”
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด แต่ในที่สุดปู้หงก็ดึงสติกลับมาจากอาการเลื่อนลอย ลูกตากลับมามีประกายฉายชัดถึงโทสะ ความเยียบเย็นที่พุ่งวาบออกมาในแววตาช่างเอ่อล้นไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ราวกับอยากสับร่างต้วนหลิงเทียนให้แหลกเป็นพันหมื่นชิ้น!
“ท่านอาจารย์! ต้องไปหาท่านอาจารย์!!”
หายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ในที่สุดปู้หงก็นึกถึงอาจารย์ขึ้นมา และอาจารย์ของมันก็คือจ้าวแท่นบูชามังกรคราม!
เหล่าศิษย์ที่แท้จริงที่ถูกเสียงหวีดร้องก่อนหน้าของปู้หงดึงดูดความสนใจ ในที่สุดก็ได้เห็นร่างปู้หงทะยานออกมาจากเกาะ ก่อนที่คนจะพุ่งหายไปด้วยความเร็วสูงจนแทบมองตามไม่ทัน
อย่างไรก็ตามพวกมันยังพอจับร่องรอยทิศทางของปู้หงได้อยู่บ้าง
“ศิษย์พี่ปู้หง…ดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปยังแท่นบูชามังกรคราม”
ไม่นานศิษย์ที่แท้จริงบางคนก็คืนสติ มันเหม่อมองทิศทางที่ปู้หงพุ่งไปพักหนึ่งด้วยคิ้วยู่ย่น ค่อยกล่าวคาดออก
“หรือศิษย์พี่จะไปหาอาจารย์กัน?”
ศิษย์ที่แท้จริงอีกคนคาดเดา
“เหอะๆ…ถึงกับต้องไปขอให้อาจารย์ช่วยล้างแค้นเลยหรือ?”
ศิษย์ที่แท้จริงอีกคนส่ายหัวไปมา แววตาที่มองแผ่นหลังปู้หงที่หายไปไวๆยังฉายความดูแคลนออกกมาเล็กน้อย
อย่างไรก็เป็นศิษย์ที่แท้จริงดุจเดียวกัน แต่พอแพ้ผู้อื่นเข้าหน่อยกลับวิ่งโร่ไปหาอาจารย์ นี่ใยมิใช่เหมือนเด็กน้อยวิ่งโร่ไปฟ้องบิดา?
การกระทำเช่นนี้ช่างน่ารังเกียจนัก!
ลัทธิบูชาไฟมีกฏอันเข้มงวดกฏหนึ่ง
เหล่าศิษย์ฝ่ายในของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ชั้นยอดก็ดี ศิษย์ที่แท้จริงก็ดี เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก 1 ใน 4 จ้าวแท่นบูชจตุรลักษณ์ พวกมันไม่มีสิทธิ์ล่วงล้ำเข้าไปในแท่นบูชาจตุรลักษณ์เด็ดขาด ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษสถานหนัก!
อย่างไรก็ตามกฏนี้สำหรับบางคนแล้วก็ไร้ประโยชน์
บางคนที่ว่าก็คือศิษย์ส่วนตัวของจ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์!
ศิษย์ส่วนตัวของจ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์ แม้จะล่วงล้ำเข้ามาในเขตแท่นบูชาจตุรลักษณ์โดยไม่กล่าวแจ้งล่วงหน้า แต่ในฐานะอาจารย์แล้ว ทั้งหมดย่อมไม่มีใครคิดเอาผิดศิษย์ตัวเอง
และ ปู้หง ในฐานะศิษย์ส่วนตัวของจ้าวแท่นบูชามังกรครามย่อมได้รับอภิสิทธิ์ดังกล่าวเช่นกัน
ปู้หงที่เหินร่างออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทิบูชาไฟ ก็เข้าสู่แท่นบูชาจตุรลักษณ์ทันที ยังมุ่งหน้าไปยังสถานที่บ่มเพาะของอาวุโสระดับสูงของแท่นบูชามังกรคราม
พื้นที่บ่มเพาะฝึกปรือของเหล่าอาวุโสระดับสูงของแท่นบูชามังกรคราม ก็เป็นเหมือนๆกับแท่นบูชาจตุรลักษณ์อื่นอีก 3 แห่ง มันเงียบสงบทั้งยังเป็นเขตหวงห้ามของแท่นบูชามังกรครามเช่นกัน
“ปู้หง?”
การบุกเข้ามาของปู้หงย่อมทำให้เหล่าอาวุโสเพลิงเงินตกใจไม่น้อย
ตอนแรกพวกมันยังโมโหไม่น้อยว่าใครหน้าไหนที่กล้าบุกรุกเข้ามา แต่พอเห็นว่าคนที่มาที่แท้เป็นปู้หง สีหน้าไม่พอใจพลันมลายหายกลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสเต็มไปด้วยความประจบบสอพลอทันที
ปู้หงเป็นศิษย์ส่วนตัวของจ้าวแท่นบูชามังกรคราม แถมยังเป็นศิษย์เอกอีกด้วย!
ด้วยศักยภาพและพรสวรรค์แต่กำเนิดของปู้หง วันหน้าย่อมต้องก้าวข้ามจ้าวแท่นบูชามังกรครามของพวกมันไปได้แน่ เช่นนั้นไม่ต้องกล่าววถึงเรื่องที่อีกฝ่ายอาจจะกลายเป็น อาวุโสเพลิงทองเลย เผลอๆอาจจะได้เป็นถึงชนชั้นรองจ้าวลัทธิด้วยซ้ำ!
ตัวตนเช่นนี้ย่อมมีค่ามากเกินพอให้พวกมันประจบสอพลอตีสนิทตั้งแต่เนิ่นๆ!
ทว่าเหล่าอาวุโสเพลิงเงินทั้งหลายก็สามารถค้นพบได้อย่างรวดเร็ว
ว่าปู้หงคล้ายกำลังรับร้อนนัก อีกทั้งสีหน้าก็ไม่ค่อยจะสู้ดี ไม่แยแสมันแม้แต่น้อย
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน?”
เห็นดังนั้นไม่เพียงเหล่าอาวุโสเพลิงเงินจะไม่โกรธและไม่พอใจอะไร ยังขมวดคิ้วเป็นปมขึ้นมาด้วยความจริงจัง ต่างหันมองหน้ากันด้วยสายตาตกใจและสงสัยไม่น้อย
ปู้หงในฐานะศิษย์เอกจ้าวแท่นบูชามังกรครามของพวกมัน ยังเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่เป็นถึงอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ ไฉนถึงมีสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากคร่ำเคร่งได้ขนาดนั้น?
“หรือเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนอีกแล้ว?”
เหล่าอาวุโสเพลิงเงินเริ่มนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นเรื่องราวที่ปู้หงแพ้พ่ายไปอย่างน่าตื่นตกใจ “หลังจากเกิดเรื่องนั้นปู้หงก็เงียบไปเลย…คราวนี้กลับรีบร้อนมาหาใต้เท้าจ้าวแท่นบูชามังกรคราม หรือต้วนหลิงเทียนไปยั่วยุอันใดเข้าอีก?”
คิดถึงจุดนี้ สีหน้าของเหล่าอาวุโสเพลิงเงินก็อึมครึมลงทันที
“จะอย่างไรก็แล้วแต่ ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นช่างร้ายกาจยิ่ง…ข้าล่ะอยากรู้นักว่าที่แท้มันหลุดออกมาจากเขาลูกใดกันแน่ เพียงเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟเราได้ไม่ถึงปีก็กลายเป็น อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของศิษย์รุ่นเยาว์พวกเราแล้ว”
พอคิดถึงเรื่องราววีรกรรมที่ผ่านมาไม่ถึงปีของต้วนหลิงเทียน และการผงาดขึ้นมาอย่างน่ากลัวปานดาวหาง เหล่าอาวุโสเพลิงเงินของแท่นบูชามังกรครามก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
เส้นทางการผงาดขึ้นมาของต้วนหลิงเทียนนับว่าไร้ผู้ใดเสมอเหมือน มองผ่านไปทั้งประวัติศาสตร์ของลัทธิบูชาไฟ ตัวตนเช่นนี้หามีไม่!
“ท่านอาจารย์!”
ปู้หงที่เร่งรุดเดินทางออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์มายังแท่นบูชามังกรคราม 1 ใน 4 แท่นบูชาจตุรลักษณ์ ในที่สุดก็บรรลุถึงที่พักของจ้าวแท่นบูชามังกรครามผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของมัน เร่งกล่าวกทายตั้งแต่ด้านนอกทันที
“เข้ามา”
ไม่นานนักเสียงห้วนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านใน
เพียงฟังจากเสียงก็เผยให้รู้แล้วว่าเจ้าของเสียงสมควรเป็นคนดุร้ายคนหนึ่ง เพราะเสียงกล่าวไม่เพียงดังห้วน ยังฟังดูหยาบกระด้างนัก
ปู้หงเร่งรุดเข้าไปในคฤหาสน์ทันที ไม่นานก็เดินไปถึงลานอันคุ้นเคย ค่อยไปหยุดยืนหน้าศาลาหนึ่งด้วยทีท่าสุภาพมากเคารพ
ภายในศาลาปรากฏร่างชายวัยกลางคนที่แลดูกำยำแข็งแกร่ง เนื้อตัวบึกบึนแลเห็นกล้ามเป็นมัดๆ ด้วยเสื้อคลุมที่ค่อนข้างรัดรูปทำให้เห็นรูปร่างอันแข็งแกร่งของมันชัดเจน คนคล้ายปั้นขึ้นจากเหล็กแกร่ง!
ชายวัยกลางคนผู้นี้เพียงยืนอยู่เฉยๆ กลับให้สภาวะเหี้ยมหาญแกร่งกร้าวปานหอคอยเหล็ก! คิ้วที่ดุร้ายดั่งพยัคฆ์กับริมฝีปากหนา กอปรกับหว่างคิ้วแผ่พุ่งความน่าเกรงขามรวมถึงแววตาคมกล้าดุดัน ก่อเกิดเป็นพลังสภาวะขู่ขวัญผู้คนตามธรรมชาติประการหนึ่ง
จ้าวแท่นบูชามังกรคราม หลูเถี่ย
ตุบ!
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น เป็นปู้หงทิ้งตัวลงคุกเข่ากับพื้น คุกเข่าให้แก่หลูเถี่ย
“ศิษย์ไม่เอาไหน ปู้หง ทำให้ท่านอาจารย์ต้องอับอาย!”
หลังคุกเข่าปู้หงก็ก้มหน้าลงไปกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ลุกขึ้น”
หลูเถี่ยกล่าวออกเสียงห้วน ในน้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
“ท่านอาจารย์”
วาจาของหลูเถี่ยปู้หงไม่กล้าไม่เชื่อฟัง มันลุกขึ้นยืนทันที หากแต่ศีรษะยังก้มลงคล้ายไม่กล้าสู้หน้าอาจารย์
“เรื่องราวที่เกิดขึ้น ข้าได้ยินจากหยานเอ๋อหมดสิ้นแล้ว…”
น้ำเสียงของหลูเถี่ยสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน กล่าวออกอย่างใจเย็น “เจ้าแพ้ต้วนหลิงเทียนนั่นมิได้มีใดน่าอาย อย่างไรก็ตามด้วยพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์รวมถึงพรสวรรค์รากวิญญาณสีครามของเจ้า…”
“ตราบใดที่ขยันบ่มเพาะฝึกปรือ อีกมินานพลังฝีมือของเจ้าย่อมต้องไล่ตามต้วนหลิงเทียนนั่นทัน กระทั่งก้าวข้ามมันได้แน่ เช่นนั้นแล้วเรื่องคิดล้างความอัปยศที่ต้วนหลิงเทียนยัดเยียดให้ก็นับเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น…”
หากแต่ผิดคาดนัก คราวนี้วาจาที่หลูเถี่ยกล่าวออกไม่เพียงไม่มีการตำหนิ ยังกลายเป็นอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย!
นอกจากนี้ยังมีคำปลอบ และให้กำลังใจอีกด้วย!!
หลูเถี่ยย่อมพึงพอใจในตัวศิษย์เอกเบื้องหน้าคนนี้ของมันนัก เพราะตอนแรกหากไม่ใช่เพราะมันโชคดีแล้วล่ะก็ คงไม่อาจรับตัวปู้หงมาเป็นศิษย์ได้
พรสวรรค์รากวิญญาณของปู้หงคือรากวิญญาณสีคราม!
ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณดังกล่าว ไม่ต้องเอ่ยถึงพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์หรือไหวพริบปฏิภาณอันใด คิดเป็นศิษย์ส่วนตัวของหนึ่งในรองจ้าวลัทธิ ชนชั้นผู้พิทักษ์ หรือแม้แต่ตัวจ้าวลัทธิเองก็ไม่ใช่เรื่องยาก
และในบรรดาผู้อาวุโสเพลิงทองของลัทธิบูชาไฟในปัจจุบัน ก็มีมันเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่มีศิษย์รากวิญญาณสีคราม!
อาวุโสเพลิงทองคนอื่นเพียงศิษย์ที่มีรากวิญญาณสีน้ำเงินก็เป็นดั่งสมบัติแล้ว
นับประสาอะไรกับมัน!
“ท่านอาจารย์…วันหน้าเกรงว่าข้าคงมิมีโอกาสอีกแล้ว”
อย่างไรก็ตาม ได้ยินวาจากล่าวปลอบและให้กำลังใจของหลูเถี่ย ร่างปู้หงสะท้านไปคล้ายถูกไฟดูด ร่างมันสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว น้ำเสียงยิ่งมายิ่งแหบแห้ง
ขณะเดียวกันหมัดของปู้หงก็กำแน่นจนข้อขาว เล็บจิกเข้าเนื้อกลางฝ่ามือ
บริเวณขมับยังปรากฏเส้นเลือดเขียวคล้ำปูดโปนออกมา เผยให้เห็นว่าตอนนี้อารมณ์ของมันเดือดดาลรุนแรงเพียงใด
“เจ้าหมายความว่าอะไร?”
ได้ยินวาจาดังกล่าวของปู้หง หน้าหลูเถี่ยจมลงโดยพลัน ยังเผยความดุร้ายเอาเรื่องทั้งธาตุอำมหิตออกชัด “กับอีแค่ความล้มเหลวเพียงครั้งเดียว กลับทำให้เจ้าหมดอาลัยในชีวิตแล้ว? ศิษย์ของข้ากลับจิตใจอ่อนแอ ยอมรับชะตากรรมง่ายๆเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด!?”
“ยอมรับชะตากรรมหรือ?”
ปู้หงเผยยิ้มขื่นขมที่มุมปาก หากตอนนี้มันยังไม่ยอมรับชะตากรรม แล้วจะให้มันทำอย่างไรได้อีก
อาศัยความเร็วในการบ่มเพาะที่ว่องไวประดุจเต่าป่วย มันจะเอาปัญญาที่ไหนไปล้างแค้นต้วนหลิงเทียนได้อีก?
ช่องว่างระหว่างมันกับต้วนหลิงเทียนรังแต่จะห่างออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายอีกฝ่ายก็ต้องทิ้งมันไว้ด้านหลังอย่างที่มันไม่มีโอกาสแลเห็นแม้แต่ฝุ่น…
“เกิดอันใดขึ้น?”
ทันใดนั้นเองหลูเถี่ยพลันตระหนักได้ว่าเรื่องราวสมควรผิดท่า ศิษย์มันต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่! สีหน้าของมันมืดลงทันใด!!
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปู้หงก็ไม่กล้าที่จะปิดซ่อนอะไร เล่าเรื่องราวและสถานการณ์ของมันตอนนี้ให้หลูเถี่ยฟังทันที
“เช่นนั้น…พรสวรรค์รากวิญญาณแต่กำเนิดของเจ้า…มันหายไปในเวลาชั่วข้ามคืน?”
สีหน้าหลูเถี่ยเปลี่ยนไปเป็นร้ายแรง คิ้วขมวดเป็นปม เร่งกล่าวออกเสียงเข้ม “ข้าจักแผ่สำนึกไปส่องภายในเพื่อตรวจสอบพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าอย่าได้ต่อต้าน!”
หลังปู้หงพยักหน้ารับคำ สำนึกเทวะอันเปี่ยมล้นไปด้วยพลังวิญญาณกล้าแข็งของหลูเถี่ย ก็แผ่กำจายออกมา ก่อนที่จะพุ่งเข้าร่างปู้หง มุ่งหน้าสู่ดวงจิตดั่งน้ำเชี่ยว หมายล่วงลึกลงไปสำรวจพรสวรรค์รากวิญญาณของปู้หงทันที!