สามพี่น้องตระกูลหลี่แบกหลี่เหล่าฮั่นออกไปอย่างรีบร้อน พากันลืมเศรษฐีหวังที่สลบไปและถูกบ่าวรับใช้แบกเอาไปไว้อีกห้องหนึ่ง รวมไปถึงลี่ชุ่ยฮวาที่พักอยู่ในอีกห้องหนึ่งด้วยเช่นกัน
หลี่ชุ่ยฮวาที่ไม่ทราบเหตุการณ์ใดๆ ก็นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องพัก ภายในสมองก็ครุ่นคิดถึงแต่รูปลักษณ์ของเมิ่งชิงในวันนี้
จั่งกุ้ยโรงเตี๊ยมที่ต้องการให้พวกเขาจากไปโดยเร็ว ก็ไม่ได้รั้งพวกเขาเอาไว้
แต่คนที่ออกจากโรงเตี๊ยมไป ถูกลมพัดใส่วูบหนึ่งจึงได้สติขึ้นมา ต่างคนต่างมองหน้ากันแล้วหยุดเดิน
หลี่เหล่าซานเอ่ยลิ้นพันกัน “พี่ พี่ใหญ่ พวกเราจะไปที่ใดกัน”
เมืองหลวงใหญ่โตถึงเพียงนี้ ในมือของพวกเขามีแค่ห้าสิบตำลึงที่น่าสงสาร เมื่อแยกจากเศรษฐีหวังก็คงมีแต่ตายสถานเดียว
หลี่เซิ่งเหลือบตาเห็นถนนอันกว้างใหญ่ในเมืองหลวงแล้วก็ถึงกับอ้าปากค้าง คิดอยากจะเอ่ยว่าไปที่ใดก็ได้ ขอเพียงแค่เมิ่งเชี่ยนโยวหาไม่พบก็พอแล้ว แต่เมื่อนึกถึงเงินห้าสิบตำลึงที่จะต้องถูกผลาญจนหมดก็เจ็บปวดหัวใจราวกับโดนมีดกรีด
หลี่เหล่าเอ้อร์มองไปที่หลี่เซิ่ง หยั่งเชิงถามอย่างระมัดระวังว่า “เช่นนั้นพวกเรารอให้เศรษฐีหวังฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยไปด้วยกันไหม”
สถานการณ์ในตอนนี้ การหาตำแหน่งขุนนางในเมืองหลวงให้กับหลานทั้งสองคนของเศรษฐีหวังคงพึ่งพาเมิ่งชิงไม่ได้แล้ว เขาจะยังสนใจพวกเราด้วยหรือ หลี่เซิ่งสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีหนใดทางแล้ว ในเมืองหลวงที่มีการผลาญเงินเหมือนละลายแม่น้ำเช่นนี้ ต่อให้คนจนเช่นพวกเขาไปขอข้าวผู้อื่นกิน ก็ไม่เห็นว่าจะขอได้
หลี่เซิ่งกัดฟันฝืนใจ และกระทืบเท้า “ไป กลับไปกัน ในเมื่อเขาเป็นคนพาพวกเรามา ก็ต้องพาพวกเรากลับไปเช่นกัน!”
หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานผงกศีรษะ สองคนที่แบกหลี่เหล่าฮั่นหมุนกายเดินกลับไป
จั่งกุ้ยเพิ่งจะโล่งอกเมื่อเห็นพวกเขาจากไป แต่ยังไม่ทันจะเดินกลับไปถึงโต๊ะคิดเงิน ก็ได้ยินเสียงจากข้างหลัง เมื่อหันกลับไปดูก็เห็นพวกเขาเดินกลับมา จึงมีสีหน้าทะมึนขึ้นมา รีบยื่นมือมาขวางไว้ด้านหน้าทันที “นี่ พวกท่านน่ะ…”
“ห้องพักของพวกเราตั้งสองร้อยตำลึง พวกเราคิดดีแล้ว ต่อให้ต้องตายอยู่ที่นี่ก็คุ้มค่า!”
เมื่อเห็นจั่งกุ้ยขวางอยู่ด้านหน้า หลี่เหล่าซานก็โวยวายเสียงดังใส่จั่งกุ้ย
จั่งกุ้ยอยากจะต่อยปากพวกเขาสักครั้ง โรงเตี๊ยมของตนเอง ห้องที่ดีที่สุดก็แค่ห้าสิบตำลึง พวกเขาที่พักห้องธรรมดาก็แค่ยี่สิบตำลึง ตอนนี้โวยวายอยู่หน้าประตูว่าสองร้อยตำลึง เพราะมีเจตนาไม่อยากให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเข้าพักที่นี่หรือ
สามพี่น้องตระกูลหลี่โวยวายเสร็จก็หลบหลีกจั่งกุ้ย แบกหลี่เหล่าฮั่นเดินตึงตังขึ้นไปชั้นบน
จั่งกุ้ยโมโหจนเกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ใครใช้ให้เขาหลวมตัวยอมให้พวกเขาเข้าพักกันเล่า
เศรษฐีหวังที่ตกใจหมดสติไปถูกบ่าวรับใช้ประคองพามายังห้องนอน บ่าวรับใช้ยังไม่ทันได้ส่งเสียงเรียก เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้ว
บ่าวรับใช้ดีใจ “นายท่าน ท่านฟื้นแล้วหรือขอรับ”
เศรษฐีหวังมองมาที่เขา ยืดตัวนั่งตรง “ฟื้นเช่นนั้นหรือ ข้าไม่ได้หมดสติไปเลยต่างหากเล่า”
อา!
บ่าวรับใช้ตกใจ
ใบหน้าเศรษฐีหวังปรากฎรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก แม้เมิ่งเชี่ยนโยวจะเป็นถึงพระชายาซื่อจื่อ แต่อย่างไรก็เป็นหญิงบ้านนอกที่อ่อนต่อโลกภายนอก ต่อให้โชคดีเป็นที่รักและทะนุถนอมของซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี จนได้ตำแหน่งพระชายาซื่อจื่อก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับเขาที่อาบน้ำร้อนมาก่อนหลายสิบปีก็ยังห่างชั้นกันอยู่มาก ดูสิ ข้าแค่แกล้งหมดสติไป นางก็ไม่รู้ว่าจะลงมือจากที่ใดและต้องจากไปอย่างน่าเศร้า หลังจากนี้…รอยยิ้มตรงมุมปากของเขาก็กดลึกมากยิ่งขึ้น ในเมื่อเขามาถึงเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่มีทางยอมกลับไปทั้งแบบนี้หรอก
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากโรงเตี๊ยม ขึ้นรถม้า ออกเดินทางมาได้ระยะหนึ่งก็เลิกม่านขึ้น และเอ่ยกับเมิ่งเสียนว่า “พี่ใหญ่ ท่านให้คนส่งจดหมายถึงชิงเอ๋อร์ บอกเขาว่าวันนี้ให้มาพบข้าที่จวนที”
เมิ่งเสียนผงกศีรษะ ขี่ม้าไปยังโรงหัตถกรรม สั่งให้คนไปส่งจดหมายให้กับชิงเอ๋อร์
เมื่อเมิ่งชิงได้รับจดหมายแล้ว ช่วงเวลากลางคืนหลังจากกลับจากค่ายทหาร ก็รุดหน้าไปพบเมิ่งเชี่ยนโยวที่จวนอ๋องฉีทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอันใดให้มากความ ถามตรงประเด็น “เจ้าคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องที่แม่ของเจ้ามาที่นี่”
“ข้าไม่มีแม่ แม่ข้าเสียไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนหน้านี้แล้ว”
น้ำเสียงเมิ่งชิงแฝงไปด้วยความรู้สึกโกรธเกลียด
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ยกถ้วยชาขึ้นช้าๆ จิบไปคำหนึ่ง และเอ่ยเนิบๆ ว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นถึงรองแม่ทัพ อย่างไรเสียเรื่องมันก็ต้องเกิดขึ้น ตอนนี้พวกเขาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแล้ว เจ้าบอกว่านางตายไปแล้ว นั่นไม่เท่ากับว่าหลอกลวงใต้หล้าหรอกหรือ”
“จะทำเช่นไรดีเล่า”
เมิ่งชิงโมโห ลุกขึ้นยืน เดินวนไปวนมาหลายรอบและมาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ระงับอารมณ์เอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “หรือจะให้ข้ายอมรับพวกเขาเช่นนั้นหรือ ท่านพี่ลืมไปแล้วหรือว่าตอนนั้นนาง…”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้แล้วก็เอ่ยต่อไปไม่ได้ เขากำหมัดแน่นฟาดลงบนโต๊ะอย่างแรง ถ้วยชาของเมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ในมือไม่ได้กระฉอกแต่อย่างใด แต่ถ้วยชาของเขากลับกระเด็นหกออกมา ไหลไปตามร่องโต๊ะ ก่อนจะหยดลงบนพื้นทีละหยดๆ ด้วยแรงสั่นสะเทือนจากโต๊ะน้ำชา
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อนว่า “โต๊ะตัวนี้ พี่เขยเจ้าชอบมากที่สุดเชียวนะ ตอนนี้เจ้าฟาดหมัดลงไป ไม่แตกก็โชคดีแล้ว ดูสิว่าเขาจะกลับมาจัดการกับเจ้าเช่นไร”
เมื่อนึกถึงวิธีการจัดการคนของหวงฟู่อี้เซวียนแล้ว เมิ่งชิงก็ตัวสั่น อารมณ์โกรธพลันเลือนหาย เหลือแต่ความคิดที่ว่าตัวเองตายแน่ๆ เขาก้มตัวต่ำลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาใจ “ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว เมื่อพี่เขยกลับมา ท่านพี่บอกไปว่าท่านเป็นคนทำได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวชายตามองเขา “เหตุผลเล่า”
“ก็กล่าวว่า ก็กล่าวว่า ก็กล่าวว่า…” เมิ่งชิงตาเป็นประกาย “ก็กล่าวว่าถูกคนบ้านตระกูลหลี่ทำให้โมโห!”
“แล้วอย่างไรต่อเล่า”
เมิ่งชิงกระพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไร “แล้วอย่างไรต่อ อันใดคือแล้วอย่างไรต่อ”
ป๊อก
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปเคาะหัวเขาอย่างแรง “ผลของการโกหกพี่เขยเจ้าคืออะไร เจ้ารู้หรือไม่”
เมิ่งชิงกุมศีรษะไม่พูดจา มองดูนางด้วยความน้อยใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวตีเขาไปทีหนึ่งด้วยความโกรธ “นั่นก็คือ เจ้าจะถูกจัดการหนักยิ่งกว่าเดิม”
มือทั้งสองข้างของเมิ่งชิงกุมไปที่ศีรษะ ร้องโวยวาย “ท่านเป็นพี่สาวแท้ๆ ของข้าหรือไม่ เอะอะก็เคาะหัวข้า เคาะโง่ไปจะทำเช่นไรเล่า”
“เคาะให้โง่ไปเลยยิ่งดี ข้าจะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วง!”
เมิ่งชิงจุกจนพูดไม่ออก
“อี้เอ๋อร์!”
เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนเรียกคนด้านนอก
หวงฝู่อี้เดินเข้ามาตามเสียงเรียก
“ไปเอาผ้าขี้ริ้วมาให้จอหงวนฝ่ายบู๊ของเราเช็ดคราบน้ำทั้งบนโต๊ะและใต้โต๊ะให้สะอาด!”
หวงฝู่อี้เดินออกไปตามคำสั่ง ส่งผ้าขี้ริ้วที่นำมาให้เมิ่งชิงอย่างเห็นใจ และสาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“หากไม่อยากโดนพี่เขยจัดการก็รีบเช็ดให้สะอาดเสีย อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เขาก็จะกลับมาแล้ว”
เมิ่งชิงได้ฟังแล้วก็รีบหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดคราบน้ำจนสะอาด ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่นิดเดียว
เขาเพิ่งเช็ดเสร็จ เสียงของหวงฝู่อี้ก็ดังมาจากในสวน “ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้ว?”
หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงตอบไปคำหนึ่ง และเดินเข้าจวนไป เมื่อเห็นว่าเมิ่งชิงก็อยู่ด้วย จึงหรี่ตาลง
เมิ่งชิงตัวสั่นระริก รีบเอ่ยเรียกอย่างเอาใจ “ท่านพี่เขย!”