ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 52 อันดับหนึ่งของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

“การต่อสู้เมื่อครู่ก็คงจะมีคนไม่น้อยที่พบเห็นกระมัง” บุรุษอ้วนพีพูดยิ้มๆ

“อืม” ประมุขวังทะเลปีศาจพยักหน้า

ทันใดนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็แผ่ปกคลุมลงไป แผ่ไปทั่วทุกทิศทุกทาง แทรกซึมไปยังวิญญาณประชากรโลกเทพกว่าหมื่นคนในบริเวณรอบๆ ที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว ประชากรโลกเทพกว่าหมื่นคนนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นเพียงแค่ระดับจ้าวเทพช่วงกลางเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้แกร่งกล้าระดับ ‘จักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์’ ความแตกต่างของพลังยุทธ์ก็มากมายเกินไปเสียแล้ว สามารถตรวจตราวิญญาณของพวกเขาและพลิกดูความทรงจำได้อย่างง่ายดาย

ประชากรกว่าหมื่นคนนี้ก็มีอยู่หนึ่งร้อยกว่าคนที่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ชั้นสองของหอสุรากับตาตนเอง

ถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่ผู้เปล่งประกายจับตาที่สุดของทั้งเมืองหลิงเฟิงถูกจับตัวไป ชาวเมืองที่อยู่ใกล้ๆ ในบริเวณรอบๆ จำนวนมากก็ย่อมลนลานอยู่แล้ว และมองดูอยู่ห่างๆ! ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้ารั้งอยู่ในที่เกิดเหตุ ผู้คนมากมายต่างก็พากันหลบกลับไปยังที่พักอาศัยของตนเอง แต่จะรู้เสียที่ไหนกันว่าผู้ที่หลบอยู่ในบ้านก็ต้องถูกตรวจตราวิญญาณเช่นเดียวกัน

ไม่เพียงแค่ประมุขวังทะเลปีศาจเท่านั้น ‘เจ้าเมืองวายุดารา’ บุรุษอ้วนพีผู้นี้ก็กำลังตรวจตราวิญญาณอยู่เช่นเดียวกัน

“อะไรกัน!” ประมุขวังทะเลปีศาจหน้าถอดสี

“นี่…” เจ้าเมืองวายุดาราก็ตกตะลึงไปเสียแล้ว

พวกเขาพลิกดูความทรงจำมากมาย ภาพเหตุการณ์การต่อสู้ที่ได้เห็นล้วนเป็นว่าบุรุษอาภรณ์ขาวขยับนิ้วมืออยู่ห่างๆ ห้วงอากาศรอบกายจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็บิดเบี้ยวและสั่นสะเทือนน้อยๆ แล้วจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นไปในทันใด

“กระบวนท่าเดียวหรือ”

“แค่กระบวนท่าเดียวนี่น่ะหรือ นอกจากนี้ยังผ่อนคลายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

ประมุขวังทะเลปีศาจสีหน้าไม่น่าดู

ก่อนหน้านี้เมื่อดูจากที่อีกฝ่ายหลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เขายังคิดว่าอีกฝ่ายเกรงกลัวเขา ‘ประมุขวังทะเลปีศาจ’ แต่ตอนนี้ภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นคืออีกฝ่ายสามารถปลิดชีพจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งได้ภายในกระบวนท่าเดียว

“กระบวนท่าเดียวเท่านั้นเอง” เจ้าเมืองวายุดาราอุทานประโยคหนึ่ง “ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย ผู้ที่สามารถสังหารจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งได้ภายในกระบวนท่าเดียว เกรงว่าก็คงมีอยู่เพียงแค่สามคนห้าคนเท่านั้นกระมัง ที่น่ากลัวที่สุดก็คือบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นี้มิได้เข้าประชิดตัวเลย หากแต่ขยับนิ้วเพียงนิ้วเดียวอยู่ห่างๆ … ยังมีระยะห่างของห้วงอากาศอยู่ ก็ปลิดชีพจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งได้แล้ว ทำได้อย่างสบายๆ เช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะต้องเป็นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์อย่างแน่นอน”

“ไม่แน่หรอก ยังมีความเป็นไปได้ว่ามือสังหารผู้นี้เปลี่ยนแปลงภาพเหตุการณ์โดยรอบ เจตนาทำให้ประชากรโลกเทพธรรมดาทั่วไปเหล่านั้นมองเห็น” ประมุขวังทะเลปีศาจขบกรามพูด “เป็นไปได้ว่านี่ล้วนเป็นภาพเหตุการณ์ที่ปลอมแปลงขึ้นมาทั้งหมด มิใช่ความจริงเลย”

“สิ่งที่พี่ทะเลปีศาจพูดก็มีความเป็นไปได้อยู่ แต่ดูจากร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ในบริเวณรอบๆ หอสุรา ดูจากความเสียหายที่การหมุนบิดห้วงอากาศก่อให้เกิดขึ้นกับผนังกำแพงและโต๊ะเก้าอี้แล้วก็มีความเป็นไปได้เกินกว่าแปดส่วนว่าภาพเหตุการณ์นี้จะเป็นความจริง ถ้าหากปลอมแปลงขึ้นมา ก็พูดได้เพียงว่าภาพเหตุการณ์ที่เขาปลอมแปลงขึ้นมานี้สมบูรณ์แบบเหลือเกิน” เจ้าเมืองวายุดาราพูด

“ท่านช่วยข้าดูที ในเมืองนี้อาจมียอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพอยู่” ประมุขวังทะเลปีศาจพูด

“ได้สิ”

เจ้าเมืองวายุดาราพยักหน้า

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงถือจอกสุรา จิบสุราอยู่ที่นั่น ทันใดนั้นบริเวณรอบๆ ก็มีแสงดาวน้อยๆ ปรากฏขึ้น แสงดาวน้อยๆ นี้แผ่กระจายปกคลุมไปทั่วทั้งปราการเมือง

“อาณาบริเวณของเขตพลังนี้ยิ่งใหญ่น่าดูเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าตื่นตกใจ แสงดาวนี้คงจะเป็นเจ้าเมืองวายุดาราที่สามารถสำแดง ‘เคล็ดเคลื่อนที่แสงดาว’ ได้ ผู้นั้นกระมัง แสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังตรวจตราพลังยุทธ์ของทุกดวงวิญญาณ แต่ทว่าดวงวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้มาถึงระดับขั้นเช่นนี้แล้ว ปลอมแปลงขึ้นมา ต่อให้การตรวจตราของเจ้าเมืองวายุดาราร้ายกาจกว่านี้อีกสักสิบเท่าก็ไร้ประโยชน์

“พวกเขาสองคน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมอง

เขามองเห็นประมุขวังทะเลปีศาจและเจ้าเมืองวายุดาราเหินออกมาจากหอสุราแล้วบินทะยานไปกลางเวหา พวกเขาสองคนต่างก็กำลังสังเกตการณ์ทั่วทั้งปราการเมือง

“มีเจ้าเมืองวายุดาราอยู่ ประมุขวังทะเลปีศาจก็ไม่น่าจะระบายความโกรธกับผู้บริสุทธิ์กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เจ้าเมืองวายุดารานิสัยค่อนข้างดี ผูกไมตรีกับทุกฝ่าย แต่กลับมิได้มีนิสัยชอบเข่นฆ่าผู้อ่อนแอ ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของเจ้าเมืองวายุดาราจะอ่อนแออยู่สักหน่อย เป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! แต่เพราะความเหนือธรรมดาของเคล็ดเคลื่อนที่แสงดาวทำให้สถานะสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง เรียกหาเป็นพี่เป็นน้องกับระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์มากมาย สามตระกูลราชันย์ก็ยังต้องรักษามารยาทเป็นอย่างมาก

มีเจ้าเมืองวายุดาราอยู่ ประมุขวังทะเลปีศาจก็ต้องสำรวมสักหน่อย

“กล้าสังหารลูกศิษย์ข้า! แต่กลับมิกล้าเปิดเผยตัวตนอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นอริเสียงหนึ่งดังกึกก้องไปทั่วทั้งปราการเมือง ประชากรโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งเมืองหลิงเฟิงต่างพากันตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน ทั่วทั้งปราการเมืองต่างก็เงียบสงบลง เสียงของประมุขวังทะเลปีศาจยังคงก้องสะท้อนไปทั่วทั้งเวหาของปราการเมืองต่อไป “ความแค้นในวันนี้ ข้า ทะเลปีศาจ จดจำเอาไว้แล้ว”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายหยุดลง

ประมุขวังทะเลปีศาจกวาดตามองไปรอบๆ แล้วรอคอยอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงพูดกับเจ้าเมืองวายุดาราที่อยู่ข้างๆ หลายประโยค

พรึ่บ!

แสงดาวปรากฏขึ้นอีกครั้ง คนทั้งสองที่อยู่ท่ามกลางแสงดาวก็หายลับไปมิอาจเห็นได้อีก ไปจากเมืองหลิงเฟิง

ความจริงแล้วถึงแม้ว่าประมุขวังทะเลปีศาจจะเป็นพญามาร แต่ก็เพียงแค่ทำเรื่องการสังหารล้างตระกูลเท่านั้น ส่วนเรื่องอย่างการ ‘ทำลายเมือง’ นั้นหาได้ยากยิ่ง! บวกกับครั้งนี้มือสังหารคือตงป๋อเสวี่ยอิง เป้าหมายของประมุขวังทะเลปีศาจก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง ถ้าหาก ‘เจ้าเมืองหลิงเฟิง’ จักรพรรดิเทพช่วงต้นผู้นั้นยังอยู่ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกจับไป เพียงแต่ว่าตอนนี้ภายในเมืองล้วนแล้วแต่เป็นผู้อ่อนแอด้วยกันทั้งสิ้น เจ้าเมืองวายุดาราสหายผู้นี้ยังอยู่ข้างๆ เขาก็ย่อมมิอาจเปิดฉากสังหารได้โดยง่ายอยู่แล้ว

“ความแค้นนี้ จดจำเอาไว้ดีแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ

ตอนนั้นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็เคยเอ่ยวาจานี้เช่นเดียวกันกระมัง

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มแล้วก็ดื่มกินสุราอาหารอย่างสบายใจยิ่ง เขาย่อมไม่กลัวประมุขวังทะเลปีศาจผู้นั้นอยู่แล้ว ปลอมแปลงตัวตน เคลื่อนไหวอย่างเจียมตัวก็เพราะว่าเขามาจากโลกอีกแห่งหนึ่งต่างหาก! ไม่ว่าจะเป็นเขา หรือว่า ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ที่เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็มาจากโลกอีกแห่งหนึ่ง เมื่ออยู่ที่โลกแห่งนี้ก็ย่อมต้องเจียมตนอย่างสุดกำลังอยู่แล้ว!

เมื่อใดที่ทำตัวโดดเด่นดึงดูดสายตาของทุกฝ่าย ผู้แกร่งกล้าธรรมดาทั่วไปก็ยังดี กลัวก็แต่บรรพเทวะคละถิ่นสามท่านนั้นเท่านั้น! นั่นก็คือผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่สรรสร้างโลกใบนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเป่ยเหอ ใครจะไม่หวั่นเกรงบ้างเล่า

ยามที่ทำตัวโดดเด่น…

ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าแรงดึงดูดของโลกใบนี้มีขีดจำกัด ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว!

……

อิ่มหมีพีมันแล้ว

“ได้ใบไม้โลกเฉามาไว้ในมือแล้ว ขาดก็แต่ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองแล้วสินะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด ถึงอย่างไรก็ยังนับว่าในโลกเทพมีใบไม้โลกเฉาอยู่ค่อนข้างมาก การรวบรวมมานั้นก็ยังง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง ยามที่สังหารมารก็เก็บไประหว่างทางก็ได้ ผ่อนคลายยิ่งนัก แต่ ‘ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง’ นั้นจึงจะยากเย็นเป็นที่สุด เพราะว่าทั่วทั้งโลกเทพมีอยู่ทั้งหมดเพียงแค่สามเม็ดเท่านั้น!

ต่างก็มีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่กันทั้งสิ้น

ท่านหนึ่งคือเจ้าเมืองปีกทอง ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย จัดเป็นแถวหน้าในบรรดาจักรพรรดิเทพช่วงท้าย เขาจัดเป็นลำดับที่สามสิบเก้าใน ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ อย่างน่าตกใจ! ปะทะกับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์หรือระดับยอดเคารพขึ้นมา ก็มิได้แตกต่างกันมากสักเท่าใดนัก

ท่านหนึ่งคือผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ ‘จักรพรรดิเทพฉุนอวี๋’ จักรพรรดิเทพช่วงกลาง เป็นถึงผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ เขาก็จัดเป็นลำดับที่หนึ่งร้อยหกสิบสองในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ!

ส่วนอีกท่านหนึ่งคือ ‘ประมุขหออวิ๋นหลิว’ จักรพรรดิเทพช่วงกลาง เขามิใช่ผู้เหินทะยาน มีพลังยุทธ์เพียงแค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางเท่านั้น ก็มิได้ดีไปกว่าจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งสักเท่าใดนัก แต่ว่าเขามีไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายมากมายเท่าใดต่างพากันอิจฉาตาร้อน แม้กระทั่งผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ก็ยังต้องใจสั่นสะท้านน้อยๆ เต็มใจจะไปทำการแย่งชิงเพื่อคนรุ่นหลัง แต่ไม่มีผู้ใดช่วงชิง เพราะเหตุใดกันเล่า

เพราะว่าประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวผู้นี้ก็คือหลานชายของ ‘เจ้าเมืองหงส์เมฆา’ เอาอกเอาใจเขาเป็นอย่างยิ่ง และเจ้าเมืองหงส์เมฆา…ก็คือบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นที่จัดเป็นอันดับหนึ่งในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพนั่นเอง!

“ทั้งสามท่านล้วนมิอาจยั่วยุได้โดยง่าย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

“เจ้าเมืองปีกทองมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด เป็นถึงประชากรโลกเทพ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้าย แต่พลังยุทธ์กลับดูเหมือนว่าไปถึงระดับยอดเคารพ! แต่เขาอาศัยวัตถุภายนอกอย่าง ‘ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง’ ส่งเสริม ถ้าหากไม่มีสมบัติล้ำค่าหลายชิ้นนี้ เกรงว่าพลังยุทธ์ก็คงลดลงไปเหลือเพียงแค่ลำดับที่แปดเก้าสิบในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพเท่านั้นกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดผู้นี้ก็เป็นผู้ที่เขาไม่หวั่นเกรงเลย

อาศัยสมบัติล้ำค่า อาศัยพลังสายโลหิต การจัดการนั้นช่างง่ายดายยิ่งนัก ภายใต้ท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมของตน สมบัติล้ำค่าพลังสายโลหิตล้วนไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น! อีกฝ่ายสามารถประคองสติตื่นรู้เอาไว้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว

“ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ จักรพรรดิเทพช่วงกลาง ทางด้านปณิธานวิญญาณของเขาก็ต้องร้ายกาจเป็นที่สุดอย่างแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าหากข้ามิได้คิดค้นท่าไม้ตายที่สามออกมา เกรงว่าก็คงยากที่จะจับตัวเขามาได้อย่างง่ายดาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “แต่ตอนนี้การจัดการเขาก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด”

“ผู้ที่ยุ่งยากที่สุดกลับเป็นประมุขหออวิ๋นหลิวผู้นี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว

ประมุขหออวิ๋นหลิวนั้นพำนักอยู่ที่เมืองหงส์เมฆา! ที่นั่นมีผู้แกร่งกล้าน่าหวาดหวั่นที่จัดเป็นอันดับหนึ่งของโลกเทพอยู่ สามารถจัดเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ได้ อ้างอิงจากบันทึกการต่อสู้แล้ว นางก็คือผู้ที่เคยสังหารระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์คนหนึ่งมาแล้วในประวัติศาสตร์ สำหรับการเอาชนะระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ซึ่งๆ หน้านั้นก็เกินกว่าสิบท่าน! โดยเฉพาะระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ก็ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันเพื่อขัดเกลาตนเองจึงสามารถก่อให้เกิดเป็นบันทึกอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้

ผู้ที่ถูกสังหารนั้นก็คือผู้ที่มั่นใจในตนเองจนเกินไปว่าสามารถยั่วยุเจ้าเมืองหงส์เมฆาได้

“สามารถสังหารจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “หรือว่าพลังยุทธ์ของเจ้าเมืองหงส์เมฆาผู้นี้จะเทียบเคียงได้กับผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ ‘จักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์’ เล่า”

ผู้เหินทะยานแต่สามารถต่อสู้ข้ามชั้นได้

ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย ก็สามารถเทียบเคียงได้กับชาวเมืองระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์! ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์นั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด

โลกเทพนี้…

ในประวัติศาสตร์ อ้างอิงจากข้อมูลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรวบรวมมาได้ อนุมานจากร่องรอยที่ปรากฏ! ก็น่าจะเคยมีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ปรากฏตัวขึ้นอย่างน้อยสองคน ทว่าต่างก็สูญหายไปหมดแล้ว!

“อ้างอิงจากที่อธิบายเอาไว้ในข้อมูล พวกเขาสามคน ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวนั้นค่อนข้างหยิ่งยโสเพราะถูกตามใจมากจนเกินไป บาปกรรมที่ก่อเอาไว้หนาหนักที่สุด แต่เขาก็เพียงแค่หยิ่งยโสเท่านั้น อุปนิสัยที่แท้จริงก็มิได้นับว่าเลวร้ายจนเกินไปนัก! หรือแม้กระทั่งบาปกรรมหลายครั้งที่ก่อก็ล้วนเป็นเพราะถูกหลอกใช้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวมีผู้หนุนหลังที่ยิ่งใหญ่เกินไป ก็ย่อมมีคนใช้เขาเป็นบันได้ หลอกใช้เขาอยู่แล้ว

“บาปกรรมของเจ้าเมืองปีกทอง น่าจะเป็นลำดับถัดมา จัดว่าเป็นผู้แกร่งกล้าในโลกเทพที่ใจคอโหดเหี้ยมคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็มิได้ถึงระดับพญามาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เจ้าเมืองปีกทองผู้นี้โหดเหี้ยมต่อศัตรู ไม่ไว้ไมตรีเลยแม้แต่น้อย ถือเป็นเรื่องปกติของผู้แกร่งกล้าในโลกเทพแห่งนี้ เพียงแต่ว่าเจ้าเมืองปีกทองมีส่วนเกี่ยวข้องในการต่อสู้ต่างๆ อยู่บ่อยๆ ทำการสังหารค่อนข้างมากเท่านั้นเอง

“ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพคนสุดท้าย เป็นผู้ที่เจียมเนื้อเจียมตัวมากที่สุด ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว น้อยนักที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องในการต่อสู้”

“ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองสามเม็ด ข้าต้องการเม็ดหนึ่ง ควรทำเช่นไรดีเล่า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด

……………………………………