ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 53 ความฝัน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพผู้นั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดทิ้งไปก่อนแล้ว อีกฝ่ายค่อนข้างเจียมเนื้อเจียมตัว ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว ผู้บำเพ็ญประเภทนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง มิได้มีความแค้นอันใดต่อกัน เขาก็ย่อมไม่มีทางลงมือกับผู้บำเพ็ญประเภทนี้อยู่แล้ว

 

ส่วน ‘เจ้าเมืองปีกทอง’ และ ‘ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว’ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังสามารถลงมือด้วยได้!

 

เจ้าเมืองปีกทองทำการสังหารชิงสมบัติ ต่อสู้เข่นฆ่า โหดเหี้ยมและเห็นแก่ตัว ถอนรากถอนโคนเพื่อขจัดปัญหาที่จะตามมาในอนาคต เพื่อความแกร่งกล้าของตนเอง วางแผนชั่วร้ายทำการสังหารอันใดก็ย่อมสามารถทำออกมาได้ทั้งสิ้น นับได้ว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าอย่างแท้จริง กับคนพรรค์นี้ ถึงแม้ว่าจะมิได้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ระดับพญามาร’ แต่เมื่อสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจออมมือ

 

ส่วนประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวนั้นตรงกันข้ามกับเจ้าเมืองปีกทองอย่างสิ้นเชิง! เขาทำการเข่นฆ่าอย่างไร้หัวจิตหัวใจ แต่ตระกูลมากมายต่างก็ล่มสลายไปเพราะอิทธิพลของเขา! สิ่งมีชีวิตตายไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวก็นับได้ว่าเป็น ‘พญามาร’ แล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องราวมากมายล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอาศัยอิทธิพลของเขาไปทำทั้งสิ้น!

 

“แต่ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวผู้นี้ก็มิได้เป็นผู้บริสุทธิ์! ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง จะไม่รู้เรื่องที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไปทำได้อย่างไรกัน เพียงแต่ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนนั้นหลอกล่อให้เขาเบิกบานใจ เขาจึงได้หลับตาข้างหนึ่งกับเรื่องนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดใคร่ครวญ

 

“เอาล่ะ”

 

“ก็เป็นเขา ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวนี่แล้วกัน”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการตัดสินใจ

 

ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาผู้เป็นอันดับหนึ่งของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพจะมีพลังป้องกันอันยิ่งใหญ่ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถามตนเองแล้วว่ามิอาจเอาชนะได้ อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา การรักษาชีวิตก็ยังไม่มีปัญหา! ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันดับหนึ่งของโลกเทพ แต่ก็มิได้สำเร็จเคล็ดการเคลื่อนที่ผ่านระยะทางไกลโพ้น ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่สามารถเคลื่อนที่ผ่านระยะทางไกลโพ้นภายในโลกเทพได้ไม่กี่คนนั้นนอกจากผู้เหินทะยานแล้วต่างก็อาศัยจิตสัมผัสสายโลหิตด้วยกันทั้งสิ้น!

 

สายโลหิตบรรพเทวะของเจ้าเมืองหงส์เมฆา เห็นได้ชัดว่าไม่เชี่ยวชาญการเคลื่อนที่ผ่านระยะทางไกลโพ้น เพียงแต่ว่าพลังยุทธ์ของนางแข็งแกร่งเสียจนน่ากลัว

 

“ไปล่ะนะ”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงจ่ายค่าอาหารแล้วก็ไปจากเมืองหลิงเฟิง มุ่งหน้าไปยังเมืองหงส์เมฆาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง

 

******

 

เมืองหงส์เมฆากว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง มีอาณาบริเวณเกือบสิบล้านลี้ และที่กลางเมืองก็มีทิวเขาสูงหมื่นลี้แห่งหนึ่งที่ทอดตัวยาวต่อเนื่องกันหลายแสนลี้อยู่ ยอดเขาก็สูงเหนือเมฆไปเสียแล้ว ตลอดทั้งทิวเขามีหมู่วังทอดตัวยาวต่อเนื่อง และถูกเรียกว่าเป็น ‘จวนหงส์เมฆา’

 

“จวนหงส์เมฆา”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมองทิวเขาที่ทอดตัวยาวต่อเนื่องนั้น สายตามองทะลุผ่านกลุ่มเมฆหมอก มองเห็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่บนยอดเขา “ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งโลกเทพก็อาศัยอยู่บนนั้นนั่นเอง”

 

เหนือจากนางขึ้นไปก็คือบรรพเทวะคละถิ่นสามท่านที่เป็นผู้ก่อตั้งโลกแห่งนี้แล้ว

 

“โชคดีที่ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวไม่สามารถอาศัยอยู่ภายในจวนหงส์เมฆาไปตลอดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา ด้วยอุปนิสัยหยิ่งยโสของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวทั้งยังชอบเสพสุข ถึงขนาดที่เขาก่อตั้ง ‘หอฝานอวิ๋น’ แห่งหนึ่งขึ้นมาด้วยตนเอง เขาเป็นประมุขหอ เรื่องที่สุขสันต์ที่สุดของหอฝานอวิ๋นแห่งนี้

 

เวลาส่วนใหญ่เขาก็อยู่ที่หอฝานอวิ๋น

 

ไปหาความสุขที่สถานที่แห่งอื่นของเมืองหงส์เมฆาบ้างเป็นครั้งคราว

 

สำหรับการออกไปจากปราการเมือง ไปบุกฝ่าหาประสบการณ์ยังสถานที่อื่นๆ ของโลกเทพ เช่นนั้นความเคลื่อนไหวก็คงยิ่งใหญ่เหลือเกิน ตามปกติแล้วผู้ที่คอยอารักขาประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวโดยเฉพาะก็มีจักรพรรดิเทพช่วงท้ายอยู่ถึงสามคนแล้ว! ช่วยไม่ได้ เจ้าเมืองหงส์เมฆาแกร่งกล้าถึงเพียงนี้ จักรพรรดิเทพช่วงท้ายที่สวามิภักดิ์อยู่ภายใต้สำนักของนางก็มีอยู่เกินกว่ายี่สิบท่าน!

 

แต่จักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็ให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญเป็นอย่างยิ่ง ภายในเมืองหงส์เมฆาก็มีจักรพรรดิเทพช่วงท้ายอยู่เพียงคนเดียวที่คอยติดตามประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวผู้นี้ในระยะยาว

 

“หลานชายเพียงคนเดียวของเจ้าเมืองหงส์เมฆา” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง “ได้ยินว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาเคยมีบุตรชายบุตรสาวอยู่คู่หนึ่ง ในระยะเวลาที่นางถูกศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งกักขังเอาไว้นั้นบุตรชายบุตรสาวของนางก็ตายตกไปจนหมด เหลือเอาไว้เพียงแค่หลานชายโทนผู้นี้เท่านั้น”

 

เจ้าเมืองหงส์เมฆาพัฒนาขึ้น ก็ต้องผ่านประสบการณ์ขัดเกลาอันทุกข์ยากมากมายจึงจะมาถึงจุดที่อยู่ในวันนี้ได้

 

“มาถึงหอฝานอวิ๋นแล้ว”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทอดน่องภายในเมืองหงส์เมฆาตามการรับสัมผัสเหตุปัจจัย เพียงไม่นานก็มาถึงเบื้องหน้าหอสูงแห่งหนึ่ง หอสูงมีพื้นที่กว้างขวางยิ่ง ความสูงก็ทะลุเข้าไปในชั้นเมฆ สถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่แสวงหาความสุขอันดับหนึ่งของทั้งเมืองหงส์เมฆา

 

“เขาอยู่ข้างบน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้า

 

……

 

ณ หอฝานอวิ๋น

 

“ท่านประมุขหอ” ชายหนุ่มอาภรณ์ดำคนหนึ่งยิ้มตาหยี นัยน์ตาทั้งคู่ราวกับจิ้งจอกก็มิปาน

 

ด้านหลังของเขามีหญิงสาวติดตามอยู่หกคน แต่ละคนล้วนมีรูปโฉมและบุคลิกอันล้ำเลิศ เพียงแต่ว่าสายตาที่หญิงสาวเหล่านี้มองไปทางเงาร่างด้านหลังของชายหนุ่มอาภรณ์ดำกลับซ่อนเร้นความเกลียดชังสายหนึ่งเอาไว้ แต่พวกนางก็ไร้ซึ่งหนทาง ชีวิตมากมายของคนใกล้ชิดและครอบครัวของพวกนางล้วนอยู่ภายในกำมือของชายหนุ่มอาภรณ์ดำผู้นี้ทั้งสิ้น

 

“เข้ามาเถิด” ด้านในมีเสียงดังลอยออกมา

 

ชายหนุ่มอาภรณ์ดำจึงค่อยผลักประตูเปิดออกอย่างระมัดระวัง

 

ภายในห้องโถงด้านใน

 

บุรุษร่างอ้วนเป็นอย่างยิ่งกำลังนั่งอยู่ที่นั่น ข้างกายมีสาวใช้อาภรณ์ม่วงคนหนึ่งคอยปรนนิบัติอยู่ เขากำลังกินอาหารคำโต บุรุษร่างอ้วนอย่างที่สุดผู้นี้…ก็คือ ‘ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว’ หลานชายโทนของเจ้าเมืองหงส์เมฆานั่นเอง

 

“หืม” ประมุขหออวิ๋นหลิวผู้นี้เงยหน้าขึ้นมอง มองดูสาวน้อยที่มีรูปโฉมและบุคลิกไม่ธรรมดาหกคนที่เดินเข้ามาจากนอกประตู บุคลิกแตกต่างกัน หกคนยืนอยู่ด้วยกันก็ราวกับภาพวาดภาพหนึ่ง เห็นแล้วก็ช่างสุขสันต์ยิ่งนัก

 

“นี่คือ ‘หกดรุณี’ ที่ข้าน้อยต้องลำบากยากเข็ญกว่าจะหามาได้อย่างไรเล่าขอรับ” ชายหนุ่มอาภรณ์ดำเอ่ยอย่างประจบประแจง “รสชาติของพวกนาง ท่านประมุขหอได้สัมผัสแล้วก็จะรู้ได้เองขอรับ”

 

“อืม” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเผยรอยยิ้มออกมา “ดีๆๆ ไม่เลวเลย เฉินฝู เจ้าก็ออกไปก่อนเถิด”

 

ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามีผู้ใต้บังคับบัญชาบางคนที่หน้าเนื้อใจเสือ แต่เพราะว่าปลอบประโลมเขาได้อย่างน่าเบิกบานใจยิ่ง เขาก็ย่อมไม่ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว อย่างเช่นชายหนุ่มอาภรณ์ดำตรงหน้าผู้นี้ก็คือหนึ่งในสามผู้ใต้บังคับบัญชาระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นที่เขารักใคร่ที่สุด ‘จักรพรรดิเทพเฉินฝู’ เชี่ยวชาญในการฝึกฝนหญิงสาวเป็นที่สุด

 

‘จักรพรรดิเทพเฉินฝู’ ชายหนุ่มอาภรณ์ดำก็ถอยออกไปพร้อมรอยยิ้มด้วยความเคารพในทันที ทั้งยังปิดประตูให้อย่างเรียบร้อย

 

ภายในห้องโถงเหลืออยู่เพียงแค่ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว สาวใช้อาภรณ์ม่วง และหญิงสาวหกคนเท่านั้น

 

“เข้ามานี่ให้หมด” มืออวบอ้วนของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวกวักพร้อมส่งเสียงเรียก

 

“เจ้าค่ะ ท่านประมุขหอ”

 

สาวน้อยทั้งหกคนเข้าไปในทันที

 

สาวใช้อาภรณ์ม่วงที่อยู่ด้านข้างก็อมยิ้มมองดูเหตุการณ์ทั้งหมด นางสวามิภักดิ์ต่อเจ้านายด้วยกายและใจทั้งหมด ปรนนิบัติเจ้านาย ทั้งยังเป็นสาวใช้คนสนิทที่ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวไว้ใจมากที่สุดอีกด้วย เรื่องราวมากมายล้วนไม่สามารถรอดพ้นจากสาวใช้ผู้นี้ไปได้ สำหรับประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวแล้วสาวใช้ผู้นี้ก็คือญาติสนิทของเขา! ส่วนจักรพรรดิเทพเฉินฝูและคนอื่นๆ ก็เป็นเพียงแค่สุนัขรับใช้ที่เขาเลี้ยงเอาไว้เท่านั้นเอง!

 

ทันใดนั้น…

 

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวก็รู้สึกว่าวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย

 

“ที่นี่มันที่ไหนกัน”

 

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวมองไปรอบทิศอย่างตื่นตระหนก นี่คือห้องขังอันมืดมนแห่งหนึ่ง

 

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับข้ากัน เหตุใดพละกำลังจึงได้ถูกผนึกไปเสียแล้วเล่า” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวค้นพบอย่างตื่นตระหนกว่าตนเองถูกมัดเอาไว้กับเสาต้นหนึ่ง และด้านข้างก็ยังมีเสาต้นแล้วต้นเล่า บนเสาก็ยังมีคนอื่นๆ มัดเอาไว้ด้วยเช่นกัน

 

“เป็นพวกเฉินฝูนี่” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวมองปราดเดียวก็จำได้ว่าผู้ที่ถูกมัดเอาไว้บนเสาด้านข้างก็คือผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนที่เขารักใคร่มากที่สุด

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนนั้นก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ

 

“นี่มันเรื่องอันใดกัน”

 

“นี่… นี่มัน…”

 

“ท่านประมุขหอก็อยู่ด้วยเช่นกัน”

 

“ท่านประมุขหอ รีบเชิญท่านเจ้าเมืองมาช่วยชีวิตเร็วเข้าสิขอรับ”

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนนั้นต่างพากันตะโกนอย่างตื่นตระหนก

 

“พลังของข้าถูกผนึกเอาไว้ ไม่สามารถส่งสารได้เลย” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวก็ร้อนใจเสียแล้ว

 

“เอี๊ยด”

 

ประตูของคุกอันมืดมนแห่งนี้เปิดออกในทันใด ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่สะพายกระบี่เทพผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา เขากวาดสายตามองพวกเขาทั้งสี่คนอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็งปราดหนึ่ง ทันใดนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่บนร่างของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว “ประมุขหออวิ๋นหลิว ท่านก่อกรรมทำเข็ญไปมากมายนับไม่ถ้วน วันนี้ก็เป็นเวลาที่ท่านต้องจบชีวิตลงแล้ว” พูดพลางดึงกระบี่เทพที่สะพายไว้ด้านหลังออกมา

 

“ข้าเปล่านะ ข้าเปล่า” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง

 

“ยังไม่ยอมรับอีกหรือ ยังต้องให้ข้าพูดออกมาทีละอย่างๆ หรือไร ตระกูลเพลิงเหล็กนั่นก็ถูกผลาญล้างตระกูลเพราะท่าน สำนักกระบี่…” ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวเพิ่งจะเริ่มต้นพูด

 

“มิใช่ข้าเสียหน่อย เป็นพวกเขา เป็นพวกเขา” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวพูด

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนที่ถูกพันธนาการเอาไว้ของเขาต่างก็พากันหวาดหวั่น เพียงแต่ในชั่วขณะนั้นพวกเขาก็มิกล้าบอกปัดเพราะกลัวแต่ว่าจะไปล่วงเกินประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเข้า

 

“วางใจเถิด พวกเขาสามคนก็ต้องตายเหมือนกัน” ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวพูด

 

ทั้งสามคนนั้นสะดุ้งคราหนึ่ง

 

“ไม่เกี่ยวกับพวกเราเลย”

 

“พวกเราเป็นเพียงแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเท่านั้น ล้วนเป็นเพราะท่านประมุขหอชี้นำพวกเราทั้งสิ้น”

 

“พวกเราจะไม่ฟังคำสั่งก็มิได้ ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วยเถิดขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนนี้ถึงกับร้องขอชีวิต ไม่ว่าอย่างไรก็มีชีวิตรอดให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

 

“พวกเจ้า…” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็หายใจสะดุด

 

“อย่าได้โยนกันไปมาอีกเลย ความชั่วร้ายของพวกเจ้าสามคน ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวก็คอยให้ท้ายพวกเจ้า ล้วนสมควรตายด้วยกันทั้งสิ้น” ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวกวัดแกว่งกระบี่ในทันใดแล้วแทงกระบี่หนึ่งไปบนร่างของผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งที่ถูกมัดเอาไว้ ผู้ใต้บังคับบัญชาผุ้นั้นร่างกายสั่นสะท้านในทันที จากนั้นก็กลายเป็นเถ้าธุลี

 

ขวับๆๆ

 

สามกระบี่ต่อเนื่องกัน ผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนล้วนกลายเป็นฝุ่นธุลี

 

ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวเดินไปหาประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว

 

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวหวั่นเกรงเป็นอย่างยิ่ง “อย่าฆ่าข้าเลย อย่าฆ่าข้าเลย เจ้าต้องการสิ่งใดข้าก็จะมอบให้ท่านทั้งหมด! ท่านย่าของข้าคือเจ้าเมืองหงส์เมฆา เจ้ารู้เอาไว้นะ เรื่องราวในวันนี้ข้าสามารถทำเป็นว่ามิได้เกิดขึ้นเลยก็ได้ เจ้าต้องการสิ่งใดข้าก็สามารถช่วยเหลือเจ้าได้ทั้งสิ้น”

 

“สายไปแล้วล่ะ ตอนที่ท่านให้ท้ายผู้ใต้บังคับบัญชาก่อกรรมทำเข็ญ ก็ต้องคิดเอาไว้แล้วสิว่าจะมีวันนี้” ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวกวัดแกว่งกระบี่

 

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเผยสีหน้าหวาดหวั่นและสิ้นหวังออกมา

 

ขวับ

 

……

 

“ไม่ ไม่…” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวพลันลืมตาขึ้นในทันใด ก็พบว่าตนเองยังคงอยู่ภายในห้องโถง สาวน้อยหกคน และสาวใช้อาภรณ์ม่วงที่อยู่ข้างกายก็ทรุดลงบนพื้นเช่นเดียวกัน ขณะนี้พวกนางแต่ละคนต่างก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา แต่ละคนเผยสีหน้าสงสัย

 

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาแล้วก็มองดูตนเองอย่างละเอียด “ข้ายังไม่ตาย ข้ายังไม่ตาย”

 

เขาเผยสีหน้ายินดีออกมา

 

“สมบัติล้ำค่าของข้าเล่า สมบัติล้ำค่าไม่มีแล้วหรือ” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง คลังสมบัติล้ำค่าที่เขารวบรวมเอาไว้และสิ่งของต่างๆ ทั้งหมดล้วนหมดสิ้นไปแล้ว

 

“วันนี้เป็นเพียงแค่การลงโทษเล็กๆ เท่านั้น ถ้าหากประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คราวหน้าก็จะเป็นเวลาที่เจ้าต้องตายจริงๆ แล้ว” เสียงหนึ่งดังก้องสะท้อนอยู่ภายในวิญญาณของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว

 

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวหน้าถอดสี

 

เขาทราบดี

 

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นในความฝันเมื่อครู่นี้ อันที่จริงแล้วก็คือมีผู้แกร่งกล้าลึกลับท่านหนึ่งลงมือทำ สามารถทำให้เขาตกอยู่ในห้วงความฝันได้อย่างไร้สุ้มเสียง หากต้องการจะสังหารเขาก็คงจะไร้สุ้มเสียงเช่นเดียวกัน โดยที่เขาไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย

 

อันที่จริงแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สังหารเขาก็เพราะว่าท่านย่าของเขาก็คือเจ้าเมืองหงส์เมฆาผู้เป็นอันดับหนึ่งของโลกเทพ ถ้าหากสังหารไปแล้วจริงๆ เจ้าเมืองหงส์เมฆาก็ต้องคลั่งขึ้นมาอย่างแน่นอน เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะส่งผลกระทบต่อชีวิตอันสงบสุขของตน ข้อสอง ตัวประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเองยังมิอาจนับได้ว่าเป็นมาร เพียงแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาอาศัยที่เขาหลับตาข้างหนึ่ง ลืมตาข้างหนึ่งเท่านั้น

 

ด้วยสองปัจจัยนี้จึงทำให้ยอมไว้ชีวิตเขา

 

“ปัง” เงาร่างสายหนึ่งกระแทกประตูแล้วพุ่งเข้ามา ซึ่งก็คือชายชราที่ดูน่ากลัวผู้หนึ่ง ชายชราที่ดูน่ากลัวผู้นี้เห็นประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวปลอดภัยไร้เรื่องราวแล้วจึงค่อยวางใจ เขาเอ่ยขึ้นว่า “ท่านประมุขหอ พวกเฉินฝูทั้งสามคนตายกันหมดแล้วขอรับ”

 

………………………………………………