ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 54 พร้อมเพรียงกันหมดแล้ว

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

“พวกเขาตายกันหมดแล้วหรือ” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวฟังแล้วก็ใจสั่น เขาสัมผัสรับรู้ดูเล็กน้อย เขาสัมผัสเหตุปัจจัยของพวกเฉินฝูทั้งสามคนไม่ได้แล้วจริงๆ เสียด้วย

“ภาพในฝัน ภาพในฝันปรากฏขึ้นในความจริงแล้ว” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวตื่นตระหนกเหลือแสน ในความฝันนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสามของเขาสิ้นใจไปแล้ว เขาก็สิ้นใจไปแล้วเช่นกัน! แต่ในความเป็นจริง มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมบัติล้ำค่าทั้งร่างของเขาก็หมดเกลี้ยงแล้ว สามารถเอาสมบัติล้ำค่าที่เขาพกติดตัวไปได้จนหมด เช่นนั้นการสังหารเขาก็ยิ่งง่ายดายขึ้นไปอีก

ต้องรู้ไว้ว่า เขาหลอมแปรสมบัติล้ำค่าไปตั้งมากมายแล้ว ถึงขั้นสามารถบรรจุเอาไว้ในโลหิตหยดหนึ่งได้ สามารถนำสมบัติล้ำค่าไปได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าสามารถควบคุมชีวิตของเขาได้อย่างสิ้นเชิง

ฝ่ายตรงข้ามจัดการผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสามคนนั้นไปแล้ว เรื่องนี้ทำให้ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวตื่นตระหนกจนล้นใจ เกรงว่าครั้งหน้าก็คงจะถึงคราวเขาแล้ว

“รีบแจ้งให้ท่านย่าของข้าทราบเร็วเข้า บอกว่าข้ามีอันตรายถึงชีวิต” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเร่งเร้า

“ให้ข้ารายงานท่านเจ้าเมืองหรือ” ชายชราท่าทางเยียบเย็นเผยสีหน้างุนงงเล็กน้อย เหตุประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวจึงไม่แจ้งด้วยตนเองเล่า ไหนเลยเขาจะรู้ว่า สมบัติล้ำค่าทั้งหมดของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวไม่เหลือเสียแล้ว แม้แต่วัตถุส่งสารก็ไม่เหลือแล้ว

“เร็วเข้า!”

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเร่งเร้า

“ขอรับ” ชายชราท่าทางเยียบเย็นรับคำ

ไม่นานนัก

ตู้มมม…

กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งร่อนลงมา สตรีรูปโฉมงดงามผมยาวสีขาวเดินเข้ามา กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากกายนางราวกับโลกอันไร้ขอบเขต ในฐานะที่ชายชราท่าทางเยียบเย็นเป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย ยามนี้ก็เกรียงไกรนัก เนื่องจาก ‘เจ้าเมืองหงส์เมฆา’ สามารถสังหารเขาซึ่งเป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายได้ในกระบวนท่าเดียว เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นซึ่งเคยสังหารจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์กับมือ ในทั้งรายนามจักรพรรดิเทพ มีเพียงเจ้าเมืองหงส์เมฆาเท่านั้นที่สามารถทำได้

แน่นอนว่าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์บางคน ดังเช่นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ‘จ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว’ ร่างเดิมก็เป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พลังชีวิตแข็งแกร่งเย้ยฟ้า เจ้าเมืองหงส์เมฆาก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็สามารถ ‘ใช้พลังกดดัน’ ได้

ข้างกายเจ้าเมืองยอดเมฆายังมีสตรีผมแดงนางหนึ่งติดตามมาด้วย กลิ่นอายของสตรีผมแดงไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ‘จักรพรรดิเทพหงส์อัคคี’ ซึ่งมีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ นางและเจ้าเมืองหงส์เมฆารักกันดั่งพี่น้อง

“อวิ๋นหลิว เป็นอะไรไปน่ะ” เจ้าเมืองหงส์เมฆามองดูหลานของตน น้ำเสียงก็นุ่มนวลขึ้นเป็นอันมาก เมื่อมองเห็นหลาน นางก็นึกถึงบุตรชายหญิงคู่หนึ่งที่สิ้นใจไปแล้ว

“คนอื่นๆ ถอยไปให้หมด ถอยไปให้หมด” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวกลับแค่นเสียงเฮอะออกมา

ทันใดนั้นคนภายในโถงก็ถอยไปทีละคนๆ

เหลือเพียงเจ้าเมืองหงส์เมฆา จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีและประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว

“ท่านย่า ข้าเกือบสิ้นใจแล้ว” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวพูดด้วยความตื่นตระหนก

“หา…ไหนเล่ามาสิ” เจ้าเมืองหงส์เมฆาฟังแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แววเหี้ยมเกรียมผุดขึ้นมา

“ขอรับ” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเล่าเรื่องทั้งหมดโดยละเอียด

เจ้าเมืองหงส์เมฆาฟังแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “สามารถทำให้เจ้าตกเข้าสู่เขตลวงได้อย่างไร้วี่แวว  ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง จักรพรรดิเทพช่วงกลางที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนใต้บังคับบัญชาของเจ้าที่สิ้นใจไปล้วนไม่มีแรงต้านทานแม้แต่น้อย! พวกเขาทั้งสามคนวิญญาณสลายไป…หอฝานอวิ๋นมีคนไปมาหาสู่มากมาย ข้ายังจัดยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายมาประจำการอยู่ที่นี่ แต่กลับตรวจสอบไม่พบความเคลื่อนไหว”

“เขตลวงเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีซึ่งอยู่อีกข้างหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “แต่เขตลวง อันร้ายกาจที่ปกคลุมไปทั่วทั้งโลกเทพเช่นนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเสียด้วยซ้ำ การบำเพ็ญเขตลวงนั้นยากมาก นี่นับว่าเป็นทิศทางวิญญาณแล้ว”

“อื้ม” เจ้าเมืองหงส์เมฆาพยักหน้า “หนึ่ง อาจจะมียอดฝีมือทางด้านวิญญาณอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนถือกำเนิดขึ้นมา สอง อาจจะเป็นชาวโลกเทพคนใดคนหนึ่งซึ่งเข้าถึงสายเลือดด้านเขตลวงที่ร้ายกาจอย่างยิ่งก็เป็นได้ สาม ก็อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดหน้าใหม่สักคนที่มายังโลกของพวกเรา ไม่แน่ว่าอาจจะมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่เชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงก็เป็นได้”

“ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน หากกล้ามายังเมืองหงส์เมฆาและลงมือกับหลานข้า ก็ช่างบังอาจแท้ๆ” เจ้าเมืองหงส์เมฆาพูดเสียงเย็นชา “ไม่ว่าเขาจะแค่ตักเตือน มิได้ทำร้ายหลานของข้า ในภายหน้าข้าก็จะลงโทษคนผู้นั้นให้หนักสักตั้งหนึ่งค่อยค่อยปล่อยเขาไปก็แล้วกัน”

เจ้าเมืองหงส์เมฆากล่าวพลางโบกมือคราหนึ่ง

เขาเริ่มย้อนเวลารอบด้าน ทำให้ภาพที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นมา เพียงแต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเขตลวงโลกเทียม ภาพในขณะนั้นจึงไม่มีทางปรากฏขึ้นมาได้เลย!

“มิอาจย้อนเวลาได้หรือ”

เจ้าเมืองหงส์เมฆายิ้มเย็น

นางโบกมือเบาๆ คราหนึ่ง มีเมฆหมอกรวมตัวขึ้นเป็นกระจกบานหนึ่ง บนกระจกเริ่มมีภาพของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นมาให้เห็น

บนกระจกสะท้อนให้เห็นว่า…ภายในโถง ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว สาวใช้ และพี่น้องทั้งหกต่างก็ล้มลงและตกเข้าสู่ห้วงนิทราทั้งสิ้น

ประตูถูกผลักออกมา

หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งซึ่งสะพายกระบี่เทพเอาไว้บนหลังเดินเข้ามาเช่นนี้เอง นอกประตูมีคนหลายคนล้มระเนระนาด ในจำนวนนั้นก็มีจักรพรรดิเทพเฉินฝูอยู่ด้วย หลังจากหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวเดินเข้ามาแล้ว โบกมือคราหนึ่ง สมบัติล้ำค่าต่างๆ บนร่างของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวก็ลอยออกมา แล้วตกมาอยู่ในมือหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวจนสิ้น

“แคว่ก” จากนั้นรอยแยกสีดำสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวสาวเท้าเข้าไปในนั้นก่อนจะหายวับไป

“เอ๊ะ” เจ้าเมืองหงส์เมฆาและจักรพรรดิเทพหงส์อัคคีต่างพากันสะดุ้ง

แม้พวกนางทั้งสองจะแข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่ผู้ที่สามารถทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นในโลกเทพได้นั้นมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้

“เป็นเขตลวงอันน่าหวาดหวั่นชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่แท้แล้วผู้ที่สำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นผู้นี้คือใครกัน” เจ้าเมืองหงส์เมฆาก็รู้สึกว่าหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นี้เป็นภัยคุกคามที่สูงยิ่งนัก อย่างน้อยหากจะลอบสังหารหลานชายของนาง นางก็ไม่มีปัญญาจะปกป้องเอาไว้ได้ เพราะถึงอย่างไรนางก็มิอาจช่วยหลานชายสกัดกั้นเขตลวงได้

“รูปลักษณ์เป็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่สะพายกระบี่เทพเอาไว้ เป็นผู้ใดกันหนอ ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดในโลกเทพ ไม่มีผู้ที่เป็นเช่นนี้เสียหน่อย” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีสงสัย “เป็นผู้เหินทะยาน เป็นชาวโลกเทพหรือว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดหนอ”

มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ ก็อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดได้เช่นเดียวกัน

เช่นนาง จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีก็เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่กลายร่างเป็นมนุษย์เพื่อเคลื่อนไหวอยู่ภายนอก

“รู้แล้วกระมัง” เจ้าเมืองหงส์เมฆามองไปทางประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวหลานชายของตน “ข้าก็มิอาจช่วยเจ้าสกัดกั้นศัตรูทั้งปวงได้ หากยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้จะสังหารเจ้า ก็สามารถสังหารได้อย่างไร้ร่องรอย จากนี้ไป เจ้าจงจำเอาไว้ ว่าจะต้องเข้มงวดกับผู้ใต้บังคับบัญชาพวกนั้น ว่าอย่าได้ทำเช่นนี้ต่อไปอีก”

“ข้ารู้ ข้ารู้” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวกล่าว เมื่อใกล้ความตายเช่นนี้ เขาจะปล่อยปละละเลยต่อไปได้อย่างไรกัน เพราะถึงแม้เขาจะไม่แยแสสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ แต่ลึกๆ ในใจก็มิได้สนใจการเข่นฆ่าหรือล้างสังหารแต่อย่างใด สิ่งที่เขาชมชอบก็คือ ‘การดื่มด่ำ’

“อื้ม”

เจ้าเมืองหงส์เมฆาลอบถอนหายใจ อีกฝ่ายมิได้สังหารหลานชายของนาง เห็นได้ชัดว่าเพราะมิอยากผูกความแค้นด้วย ครั้งนี้จึงมิได้สังหาร ขอเพียงฝ่ายหลานชายเข้มงวดกับผู้ใต้บังคับบัญชาเสียหน่อย ในภายหน้าเขาก็จะไม่สังหารอีก

หรือว่าครั้งนี้ นับว่าเป็นการ ‘ตักเตือน’ หลานชายนางกระมัง เพื่อให้หลานของนางเข้าใจว่า ในโลกเทพแห่งนี้ก็มีภัยคุกคามที่สามารถเอาชีวิตเขาได้เช่นกัน

“ทว่าที่แท้แล้วคนผู้นี้เป็นใครกันแน่” แม้เจ้าเมืองหงส์เมฆาจะมิได้สัมผัสถึงภัยคุกคามใดๆ แต่นางก็เข้าใจดีว่า ยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้เป็นภัยคุกคามต่อจักรพรรดิเทพคนอื่นๆ มากทีเดียว

“ท่านพี่ พลังเช่นนี้ไม่มีทางไร้ชื่อเสียงไปตลอดกาลแน่ หากเวลาผ่านไปนานหน่อก็ต้องเปิดเผยออกมาแน่นอน” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีพูดยิ้มๆ “ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยไปประลองกับเขาเสียหน่อย”

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงยังเมืองมังกรเหล็กแล้ว

“ในที่สุดก็รวบรวมได้ครบเสียที” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงเฝ้ารอคอย ใบไม้โลกเฉาและไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองครบหมดแล้ว พวกสิ่งที่มีส่วนช่วยชาวโลกเทพเป็นอย่างมากนั้น ตัวเขาเองมิได้ใส่ใจสักนิด แต่เขากลับปรารถนาซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ‘ทางสายอากาศ’ ตนนั้นเป็นอันมาก อย่างทางดินแดนจิตโลกา แม้หุบเขาเขี้ยวหักจะมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเช่นเดียวกัน แต่มีจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก ทางสายอากาศก็ยิ่งไม่มีเลยแม้แต่ตนเดียว

โลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดมากมาย แต่มีทางสายอากาศเพียงสามตนเท่านั้น

ได้มาสักตนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว

เพราะถึงอย่างไรก็เป็นทางสายอากาศ…ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนี้ ร่างกายส่วนใหญ่ล้วนแปรมาจากวิถีอากาศ นี่มิใช่สัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้น โดยทั่วไปแล้วร่างกายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดล้วนแต่ใหญ่โตหาใดเปรียบ เกล็ดแต่ละเกล็ดล้วนแต่ต้องค้นคว้าโดยละเอียดทั้งสิ้น ลำพังแค่ค้นคว้าทั้งหมดสักรอบหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่แล้ว จะต้องเป็นวัตถุสำหรับบำเพ็ญทางด้าน ‘วิถีอากาศ’  ที่ดีที่สุดของตนอย่างแน่นอน ล้ำค่ากว่าคัมภีร์ใดๆ ทั้งมวล

หน้าประตูจวนมังกรเหล็ก

ทหารคุ้มกันมองดูบุรุษอาภรณ์ขาวผู้สะพายกระบี่เทพเอาไว้บนหลังที่กำลังเดินเข้ามาแล้วก็อดตกตะลึงมิได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่นานนัก จักรพรรดิเทพเมฆาเขียวผู้นี้เพิ่งจะมาเยี่ยมเยียน

“จักรพรรดิเทพเมฆาเขียว” ทหารคุ้มกันสอบถาม “ไม่ทราบว่าท่านจักรพรรดิเทพมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใดหรือขอรับ”

“ได้โปรดรายงานให้ด้วย ข้าอยากพบคุณชายใหญ่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

……………………………