บทที่ 1459 : วิญญาณออกจากร่าง
ปกติแล้วโม่วู๋เตากับตี้เสี่ยวอู๋มักจะต่อล้อต่อเถียงและหักหน้ากันเสมอเมื่อมีโอกาส แต่ในยามที่โม่วู๋เตาบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ตี้เสี่ยวอู๋กลับยอมละทิ้งการฝึกฝนวรยุทธของตนเพื่อมาดูแลเขาไม่ห่างเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามิตรภาพระหว่างพวกเขาทั้งคู่ได้หยั่งรากลึกลงไปมาก
มิตรภาพของพวกเขาทั้งคู่หาได้อยู่ที่วาจาแต่อยู่ที่จิตใจ นี่ต่างหากจึงเรียกว่าพี่ชายที่ดี!
เมื่อเดินไปถึงประตูหน้าบ้านบรรพชนตระกูลฉินฉินฉางชิงซึ่งได้ยินทายาทรุ่นเล็กสองสามคนที่อยู่ด้านหลัง ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นนั้น จึงได้หันหลังกลับไปดุด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ฉินหลี่ฉินเชียง พวกเจ้าสองคนลืมที่ข้าสั่งแล้วรึ หยุดส่งเสียงดังกันได้แล้ว!”
ฉินหลี่ฉินเชียงและคนอื่นๆต่างก็พากันหุบปากและภายในบริเวณนั้นก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงบขึ้นมาทันที
จากคำบอกเล่าของฉินฉางชิงนั้นเห็นได้ชัดว่าตลอดระยะเวลาแปดวันมานี้ ตระกูลฉินได้ดูแลเอาใจใส่โม่วู๋เตาเป็นอย่างดี
หลิงหยุนรู้สึกพึงพอใจยิ่งนักจึงได้แต่ยิ้มและเอ่ยออกไปว่า “ท่านตา มิเป็นไร เสียงของพวกเขามิได้รบกวนโม่วู๋เตาเลยแม้แต่น้อย”
เมื่อหลิงหยุนมาถึงหน้าประตูบ้านบรรพชนตระกูลฉินเขาก็ได้ทำการเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจไปยังห้องนอนด้านหลังก่อนแล้ว เพื่อสังเกตอาการในตอนนี้ของโม่วู๋เตา
โม่วู๋เตายังคงนอนอยู่บนเตียงไม่ไหวติงสภาพภายนอกไม่ต่างจากก่อนที่หลิงหยุนจะออกเดินทางมากนัก ศิลากลั่นวิญญาณก้อนใหญ่ยังคงวางอยู่บนศรีษะของเขา ในขณะที่ฝ่ามือทั้งสองข้างมีศิลากลั่นวิญาณก้อนเล็กสองก้อนวางอยู่ แต่กลับมีสีแดงระเรื่อ มิได้ซีดเซียวเหมือนก่อน อีกทั้งยังดูอ้วนขึ้นเล็กน้อยด้วย
ส่วนข้างเตียงก็มีอุปกรณ์ทางการแพทย์แผนปัจจุบันสำหรับช่วยในการป้อนอาหารเหลวเข้าไปในร่างของเขา
นอกเหนือจากนั้นที่หน้าประตูห้องของโม่วู๋เตาทั้งซ้ายและขวา ยังมีชายชุดดำรูปร่างสูงใหญ่สองคนยืนอยู่ ทั้งคู่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-3 และสายตาของพวกเขายังดูระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา
ตี้เสี่ยวอู๋นั่งนิ่งเงียบอยู่บนโซฟาภายในห้องสายตาทั้งคู่จับจ้องอยู่ที่ร่างของโม่วู๋เตา คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันบ่งบอกถึงความเป็นห่วงเป็นใย
หลังจากที่สำรวจเหตุการณ์ทั้งหมดภายในห้องแล้วในที่สุดหลิงหยุนก็จ้องลึกลงไปในดวงตาของโม่วู๋เตา
สำหรับผู้ที่นอนนิ่งเป็นผักเช่นนี้สิ่งเดียวที่พอจะสังเกตได้ก็คือดวงตาทั้งสองข้าง..
“อืมม..ลูกนัยน์ตามิได้กรอกไปมาดังเช่นก่อนหน้า แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถปรับตัวเข้ากับเหตุการณ์ที่เผชิญได้แล้ว ไม่เลวทีเดียว!” หลิงหยุนพยักหน้าด้วยความโล่งอกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยจากนั้นจึงหันไปพูดกับฉินฉางชิงว่า
“ท่านตา..ข้าจะไปดูเขาก่อน!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ก้าวเท้าเดินผ่านประตูเข้าไปในบ้านทันที..
หลิงหยุนขยับเขยื้อนร่างกายไม่กี่ครั้งก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่สวนด้านหลังแล้ว นักรบตระกูลฉินทั้งสองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูห้องนั้น รู้สึกคล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อหันหลังกลับเข้าไปในห้อง ก็พบว่ามีคนอยู่ในห้องเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว
“พี่หยุน!”
ตี้เสี่ยวอู๋เห็นหลิงหยุนเข้ามาจึงรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องเรียกทันที
“อืมม..”
หลิงหยุนเพียงแค่ทำเสียงรับรู้อยู่ในลำคอเท่านั้นเขาเดินเข้าไปที่เตียงพร้อมกับก้มหน้าลงมองโม่วู๋เตาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถามขึ้นว่า
“เสี่ยวอู๋..ดวงตาของโม่วู๋เตากรอกไปมารวดเร็วเพียงใด และนานแค่ไหน”
ตี้เสี่ยวอู๋ตอบกลับทันที“พี่หยุน.. ข้ามาถึงที่นี่เวลาบ่ายโมงครึ่ง และจนถึงตอนนี้ ดวงตาของโม่วู๋เตากรอกไปมาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ดูเหมือนจะเป็นเวลาสี่โมงเย็นพอดี แล้วก็เป็นอยู่เช่นนั้นร่วมสองชั่วโมง”
เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋เข้าสู่ระดับกลางขั้นอู่เฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-5) แล้ว ประสาทสัมผัสทั้งห้าย่อมต้องรับรู้ได้ละเอียดและชัดเจนกว่าคนปกติ และเขาก็ได้เฝ้าสังเกตอาการของโม่วู๋เตาอย่างละเอียด
“อืมม..”
หลิงหยุนพยักหน้าในขณะที่ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งพร้อมกับพึมพำออกมาว่า “เพียงแค่ครั้งเดียว.. ตั้งแต่สี่โมงเย็น เป็นเช่นนั้นอยู่สองชั่วโมง ก็ถึงหกโมงเย็นพอดี.. ” ตี้เสี่ยวอู๋เห็นท่าทางของหลิงหยุนจึงได้แต่กระซิบถามเสียงเบาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พี่หยุน.. โม่วู๋เตาจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ แล้วเขาจะกลายเป็นคนที่ต้องนอนเป็นผักงั้นรึ?”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มและถามตี้เสี่ยวอู๋กลับว่า “แล้วเวลานี้เขาไม่ได้นอนเป็นผักหรืออย่างไร”
“สิ่งที่แตกต่างจากคนที่นอนเป็นผักดูเหมือนจะมีเพียงดวงตาคู่นั้นที่สามารถกรอกไปกรอกมาได้ต่างหาก..”
ดวงตาของตี้เสี่ยวอู๋ถึงกับเปลี่ยนเป็นแดงก่ำในขณะที่ร้องถามเสียงเครือ“เช่นนี้แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี”
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้ตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นตบบ่าของเขาเบาๆ“ใยต้องตื่นตระหนกเช่นนั้นด้วยเล่า อย่าได้กังวลใจไป เหตุการณ์มิได้เลวร้ายดังที่เจ้าคิดแน่..”
หลิงหยุนอธิบายต่อ“เจ้าเคยได้ยินเรื่องวิญญาณออกจากร่างหรือไม่ เวลานี้สิ่งที่โม่วู๋เตากำลังประสบอยู่ ก็คล้ายๆเช่นนั้น..”
ตี้เสี่ยวอู๋ถึงกับนิ่งอึ้งไป“ถอดจิตงั้นรึ!”
“หาใช่เช่นนั้นไม่!วิญญาณออกจากร่างเป็นเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกินจะทน วิญญาณจึงแยกออกจากร่างนี้ไป และมิสามารถกลับเข้าร่างได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง.. ”
“เมื่อแปดวันก่อนโม่วู๋เตาแอบดูความลับสวรรค์ และถูกสวรรค์ลงโทษอย่างรุนแรง จนวิญญาณของถึงกับแยกเขาออกจากร่าง..”
“มนุษย์ที่สมบูรณ์จะต้องมีสามจิตเจ็ดวิญญาณแต่เวลานี้โม่วู๋เตาเหลือเพียงแค่หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ อีกสองจิตหกวิญญาณนั้นมิรู้ว่าโบยบินไปในที่แห่งหนใด”
หลิงหยุนอธิบายสภาพของโม่วู๋เตาในเวลานี้ให้ตี้เสี่ยวอู๋ฟัง..
“ห๊ะ!”
ตี้เสี่ยวอู๋ถึงกับตกตะลึงก่อนจะเอ่ยถามออกมาว่า“แล้วสองจิตที่ว่าหายไปไหนรึพี่หยุน!”
หลิงหยุนส่ายหน้าและตอบกลับไปว่า“มิมีผู้ใดสามารถบอกได้.. โดยปกติทั่วไปหากวิญญาณของผู้ใดออกจากร่างชั่วคราว มันจะไม่หนีไปไหนไกล และคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆร่าง ไม่นานก็จะสามารถเข้าร่างได้ แต่กรณีของโม่วู๋เตาแตกต่างกัน เขาถูกสวรรค์ลงโทษ จึงมิรู้ว่าวิญญาณถูกนำไปทิ้งไว้ที่ใด”
ตี้เสี่ยวอู๋เอ่ยถามขึ้นทันที“พี่หยุน.. พี่แน่ใจรึว่าเขามิได้อยู่แถวๆนี้”
“เพ้อเจ้อ..หากโม่วู๋เตาอยู่แถวนี้จริง ข้ายังต้องรอให้ถึงวันนี้ จึงค่อยมานำวิญญาณของเขาเข้าร่างงั้นรึ”
หลิงหยุนหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งพร้อมกับกวาดสายตาไปทั่วห้องจากนั้นจึงเอ่ยถามตี้เสี่ยวอู๋ผ่านทางจิต
–มิได้อยู่ในโลกนี้ด้วย..-
ตี้เสี่ยวอู๋ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนถึงกับแทบบ้าแม้หลิงหยุนจะกล่าวเพียงแค่สั้นๆ แต่เขาก็สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน จึงได้ร้องตะโกนถามเสียงดังด้วยความตกใจ..
“ไม่ได้อยู่ในโลกนี้..แล้วอยู่ที่ใดกัน!”
หลิงหยุนส่งสายตากำชับให้ตี้เสี่ยวอู๋สงบสติก่อนจะตอบเสียงเบาว่า “อาจอยู่ในโลกวิญญาณ ยมโลก หรือแม้แต่กลับมาเกิดใหม่..”
ระหว่างที่พูดนั้นดวงตาของหลิงหยุนก็หรี่เล็กลง พร้อมกับเหม่อมองออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี..
โม่วู๋เตานั้นมีกายศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เขาสามารถมองเห็นและสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ ซึ่งแตกต่างจากร่างกายที่ล้ำเลิศของหลิงหยุนอย่างชัดเจน
แม้ในขณะที่วิญญาณอยู่ในกายเนื้อเขายังสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ จึงแทบไม่ต้องคิดว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่างไปแล้วจะเป็นเช่นใด! สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีนั้นเป็นสถานที่ที่มีพลังหยินรุนแรงยิ่งอีกทั้งหมู่บ้านตระกูลฉินเองก็อยู่ใกล้กับสุสานมาก ไม่แน่ว่าเมื่อวิญญาณของโม่วู๋เตาออกจากร่าง อาจถูกดูดเข้าไปในค่ายกลของสุสานทันทีก็เป็นได้
แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของหลิงหยุนเท่านั้นมันน่ากลัวเกินกว่าที่จะกล่าวออกมา เขาจึงได้แต่เก็บไว้ในใจตนเอง..
“พี่หยุน..พี่ต้องหาทางช่วยเขาให้ได้นะ!”
ตี้เสี่ยวอู๋ร้องบอกหลิงหยุนด้วยความกระวนกระวายใจในขณะเดียวกันก็ชี้ไปที่ร่างของโม่วู๋เตาพร้อมกับพูดต่อว่า
“หวังว่าเขาจะไม่นอนเช่นนี้ไปตลอดนะ”
หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“มันไม่หนักหนาอย่างที่เจ้าคิดหรอก..”
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้กับตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับถามขึ้นว่า“เสี่ยวอู๋ เจ้าลืมไปแล้วรึว่านักพรตน้อยนี่มาจากที่ใด”
“เอ่อ..เหมาซาน.. อาชีพหลักของเขาคือจับผี!!”
หลิงหยุนจ้องมองตี้เสี่ยวอู๋ด้วยแววตาชื่นชม“ถูกต้อง.. เขาเป็นนักพรตเต๋า! และที่สำคัญย่อมคุ้นเคยกับภูติผีวิญญาณ พวกเราไม่จำเป็นต้องห่วงเขานัก..”
“ข้อที่สอง..เจ้าจำได้หรือไม่ว่าบนเขาเทียนซาน หลังจากท่านลุงหนิงตาย ท่านแม่ของข้าต้องเก็บร่างของลุงหนิงไว้เจ็ดวัน เพราะมีความเชื่อว่าดวงวิญญาณจะกลับมาที่ร่างของตนเองภายในเจ็ดวัน”
“แต่โม่วู๋เตายังไม่ตาย..ดวงวิญญาณของเขาเพียงแค่หลุดออกจากร่างเท่านั้น หากพวกเราทำพิธีกรรมเรียกเขามาเข้าร่าง อาจจะมิใช่การช่วยเขา แต่กลับทำให้เขาพลาดโอกาสบางอย่างไปอย่างน่าเสียดาย..”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้..ดวงตาของหลิงหยุนกลับเป็นประกายด้วยความมั่นใจ และบ่งบอกถึงการตัดสินใจที่แน่วแน่!
เวลานี้แม้จะมิรู้ว่าดวงวิญญาณของโม่วู๋เตาจะอยู่ที่ใดหรือเผชิญกับสิ่งใดอยู่ แต่สภาพกายเนื้อของเขาเวลานี้ เลือดในกายยังคงสูงฉีด สีหน้ายังคงแดงระเรื่อ มิได้มีสิ่งใดบ่งบอกถึงความอ่อนแอลงเลยแม้แต่น้อย..
หลิงหยุนจึงมิต้องการที่จะรีบเร่งมากนัก..
โม่วู๋เตาอาจกำลังอยู่ที่ใดสักแห่งหรือไม่ก็กำลังต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่างอยู่ และอาจจะกำลังมองหาหนทางกลับร่าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาจะต้องแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง..
ตี้เสี่ยวอู๋ทำท่าจะถามขึ้นมาอีกครั้งแต่เมื่อเห็นหลิงหยุนยกมือห้าม เขาจึงได้แต่นิ่งเงียบไป..
นั่นเพราะเวลานี้ลูกนัยน์ตาของโม่วู๋เตากำลังกรอกไปมาเบาๆอยู่ใต้เปลือกตาอีกครั้ง..
จู่ๅหลิงหยุนเอ่ยปากพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก แต่แน่นอนว่าแทงทะลุเข้าสู่ดวงจิตของโม่วู๋เตาอย่างแน่นอน
“โม่วู๋เตา..ข้าหลิงหยุนกำลังยืนอยู่ข้างกายเนื้อของเจ้า ข้าสามารถช่วยให้เจ้าฟื้นขึ้นมาได้ เจ้าตอบข้ามาว่า ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่”
ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงพูดของหลิงหยุนดี..
ตี้เสี่ยวอู๋ก็ถึงกับตกใจอย่างมากเมื่อเห็นลูกนัยน์ตาของโม่วู๋เตาทั้งสองข้างกรอกไปทางซ้ายทีขวาที และศรีษะก็เริ่มส่ายไปมาเบาๆ
“เจ้าดูสิ..”หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับยักไหล่เบาๆ
“เฮ้อ..ข้าเป็นห่วงเขาแทบแย่!”
ตี้เสี่ยวอู๋ถึงกับร้องออกมาด้วยความโล่งใจ..
“เอาล่ะ..ไปกันได้แล้ว ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลใจ หรือเป็นห่วงเขาอีก!”
หลิงหยุนคลายกังวลลงไปมากและเอื้อมมือไปโอบไหล่ตี้เสี่ยวอู๋พาเดินออกจาห้องไปทันที
“พี่หยุนอีกนานหรือไม่กว่าหมอนั่นจะฟื้นขึ้นมา” “สี่สิบเก้าวัน..”