บทที่ 1458 : กลับตระกูลฉิน
“มองจากท้องฟ้าลงไปเช่นนี้ภูเขาเพลิงช่างดูราวกับมังกรพ่นไฟยิ่งนัก..”
ระหว่างทางที่เหาะไปนั้นหลิงหยุนยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องเทือกเขาที่มีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมา
“กว้างกว่าสิบกิโลเมตรและยาวนับร้อยกิโลเมตร ช่างเป็นเส้นเลือดมังกรที่ทั้งยาวแล้วก็ใหญ่ยิ่งนัก.. ”
แม้หลิงหยุนจะมาที่นี่กับไป๋เซียนเอ๋อถึงสองครั้งสองคราแต่เพราะมีภารกิจรัดตัว เขาจึงไม่ได้มีเวลาสำรวจอย่างละเอียดนัก
แต่นับว่ายังโชคดีที่ภูเขาเพลิงแห่งนี้มิได้หนีหายไปไหนตราบใดที่หลิงหยุนมีเวลามากพอ เขาก็สามารถกลับมาสำรวจได้ตลอดเวลา แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มั่นใจได้ว่า ยังมีแหล่งพลังชีวิตธาตุไฟที่ยิ่งใหญ่อยู่ในภูเขาเพลิงแห่งนี้! “ผืนดินใต้ภูเขาเพลิงแห่งนี้จะต้องมีหินพลังชีวิตธาตุไฟอยู่อย่างมากมายเป็นแน่!”
ระหว่างที่เหาะไปด้วยความเร็วนั้นหลิงหยุนได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น เมื่อคิดว่า ‘และหากที่มีคือซากศพของมังกรไฟจริง ย่อมต้องมีลูกแก้วไฟอยู่เป็นแน่..’
หลิงหยุนได้แต่หัวเราะร่วน“เห็นทีข้าคงต้องเร่งฝึกฝนวิชาใต้ปฐพี เพื่อที่จะได้สามารถลงไปเก็บหินพลังชีวิตธาตุไฟที่อยู่ใต้ภูเขาเพลิงแห่งนี้ได้!”
“กลับไปครานี้ข้าคงต้องศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาเพลิงนี้ให้มากขึ้น!”
จากนั้น..หลิงหยุนจึงได้หยิบเครื่องมือสื่อสารของตนออกมาเปิดสัญญาณนำทาง และเหาะไปตามเส้นทางที่ระบุนั้น
ในการเหาะไปด้วยความเร็วขนาดนี้หลิงหยุนต้องใช้เสินหยวนไปอย่างสิ้นเปลือง แต่เขาหาได้รู้เสียดายไม่ เพราะเวลานี้เขาเข้าสู่ระดับกลางขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) แล้ว ในหนึ่งวันจึงสามารถกลั่นเสินหยวนได้ถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นหยด และเวลานี้จุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของเขาก็มีเสินหยวนอยู่นับล้านหยด เขาจึงมิได้รู้สึกกังวลที่จะใช้หยดเสินหยวนไปกับการเหาะเช่นนี้
ด้วยความเร็วขนาดนี้เพียงแค่ยี่สิบนาที หลิงหยุนก็สามารถเหาะไปถึงเมืองซีอานได้แล้ว..
แต่เมื่อเขาเหาะไปได้เพียงแค่เก้าร้อยกิโลเมตรจากภูเขาเพลิงหลิงหยุนก็ต้องชะลอความเร็วลง และหยุดอยู่กลางอากาศเช่นนั้น..
นั่นเพราะเขาเห็นภูเขาไฟลูกใหญ่ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากตนไปราวสิบกว่ากิโลเมตรนั้น กำลังเกิดระเบิดขึ้น!
“สวรรค์!!”
ภาพที่หลิงหยุนเห็นอยู่เวลานี้ทำให้เขาถึงกับต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจนั่นเพราะดวงไฟลูกใหญ่กำลังปะทุออกมา และความทรงจำที่หลอมรวมหลังจากฝันอันยาวนานในครั้งนั้น ก็ได้ทำให้หลิงหยุนพอจะคาดเดาได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
มันคือการปล่อยจรวด!
“ที่นั่นคือที่ใดกัน..จิ่วเฉวียนใช่หรือไม่”
หลิงหยุนเหลือบมองระบบนำทางบนหน้าจอในเครื่องมือสื่อสารของตนจึงยิ่งมั่นใจว่าที่นั่นก็คือศูนย์ส่งดาวเทียมจิ่วเฉวียนนั่นเอง
“จรวดมีความรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ…!’
หลิงหยุนที่เหาะอยู่เหนือพื้นดินกว่าหนึ่งเมตรและกำลังจ้องมองลูกไฟที่พุ่งขึ้นท้องฟ้าด้วยความรวดเร็วนั้น พบว่าเพียงแค่ไม่ถึงสองวินาที จรวดนั่นก็พุ่งผ่านความสูงที่เขาเหาะอยู่ไปอย่างรวดเร็ว..
“แปดพันเมตรต่อวินาที..เร็วกว่าความเร็วของข้าในเวลานี้ถึงสี่เท่า นี่.. เทียบเท่ากับความเร็วของผู้บ่มเพาะในขั้นแก่นปราณทองคำ..”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่าแม้เขาจะเข้าสู่ระดับกลางขั้นลิ่วเฉิงชี่แล้ว แต่ก็ยังนับว่าห่างไกลเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของโลกมนุษย์มากนัก..
“นี่คงจะเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงของโลกใบนี้..ไม่แปลกใจที่หลิงยู่เลือกเรียนด้านธรณีฟิสิกส์..”
จู่ๆหลิงหยุนก็นึกถึงหนิงหลิงยู่ขึ้นมาแต่แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะสะบัดหน้าไปมา..
สองนาทีต่อมา..กลุ่มไฟที่โชติช่วงนั่นก็ค่อยๆเหาะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เหลือเพียงควันสีขาวเป็นเส้นให้เห็นอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น ก่อนจะจางหายไปในที่สุด
“ด้วยความเร็วในการฝึกวรยุทธบ่มเพาะของข้าเวลานี้คงอีกสองปีกว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นแก่นปราณทองคำได้..”
“ข้าคงต้องเพียรฝึกฝนให้มากกว่านี้แล้ว!”
หลิงหยุนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าและแววตามุ่งมั่นเขาเหาะไปยังเส้นทางที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป ……
สิบนาทีผ่านไปหลิงหยุนก็เหาะไปถึงเทือกเขาชิงหลิงในเวลาหนึ่งทุ่มตรง ก่อนจะร่อนลงบนเขาแห่งหนึ่ง และออกเดินทางมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านตระกูลฉินต่อไป
ในบริเวณนี้จิตหยั่งรู้ของเขาจะถูกสะกัดกั้นไว้และในขั้นพลังบ่มเพาะปัจจุบัน จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะมีรัศมีเพียงแค่หกร้อยเมตรเท่านั้น
“พี่หลิงหยุนกลับมาแล้ว!”
เมื่อหลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าหมู่บ้านตระกูลฉินเขาก็พบว่าฉินเหว่ย ฉินลี่ ฉินเชียง และคนอื่นๆ ต่างก็มารอเขาอยู่ที่หน้าทางเข้าแล้ว และทุกคนต่างก็พากันโห่ร้องเรียกชื่อเขากันอย่างดีอกดีใจ
“ฉินเหว่ย..”
ในบรรดาทายาทรุ่นเล็กของตระกูลฉินนั้นฉินเหว่ยนับว่าอายุมากที่สุด และอยู่ในขั้นที่สูงที่สุดซึ่งก็คือขั้นเซียงเทียน-2 ฉะนั้นเขาจึงนับเป็นหัวโจกของเหล่าทายาทรุ่นเดียวกัน
“กลับมาแล้วเหรอหลิงหยุน..พวกเรามารอเจ้าตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว!” ฉินเหว่ยวิ่งเข้าไปทักทายหลิงหยุนด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ฉินเหว่ยอายุมากกว่าหลิงหยุนสองปีเขาจึงสามารถเรียกชื่อหลิงหยุนเฉยๆได้..
หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยตอบว่า“เจ้ามาคอยข้าทำไมกัน ข้าย่อมรู้ว่าประตูทางเข้าอยู่ทีใด”
“พวกเราก็ต้องออกมาตอนรับท่านน่ะสิ!”
ฉินเชียงเองก็วิ่งเข้ามาหาหลิงหยุนเช่นกันพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่แพ้หลงเหว่ย
“ท่านปู่เล่าให้ฟังว่าท่านเป็นวีรบุรุษของตระกูลฉินเรา และเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลฉิน หากพวกเราไม่กลับเข้าบ้านพร้อมกับท่าน พวกเราก็จะไม่ได้กินข้าว..”
“ฮ่าๆๆๆ”
หลิงหยุนหัวเราะร่วนพร้อมกับตบบ่าเฉินเชียง“เอาล่ะ.. ถ้าเช่นนั้นก็กลับเข้าบ้านไปกินข้าวได้แล้ว!”
แต่ในระหว่างนั้น..ผู้คนอีกมากมายต่างก็กำลังเดินมุ่งหน้ามายังประตูทางเข้าหมู่บ้านตระกูลฉินเช่นกัน
มีทั้งฉินฉางชิงฉินตงเฉวี่ย ฉินชุนเฟิง ฉินเซี่ยฮัว.. ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของเหล่าทายาทรุ่นเล็ก จึงได้ตามออกมา..
“หลิงหยุนเจ้ากลับมาแล้วรึ! พวกเรารอคอยเจ้ากันอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว!”
ฉินฉางชิงพุ่งเข้ามาจับไม้จับมือหลิงหยุนไว้พร้อมกับร้องตะโกนออกมาเสียงดัง ดวงตาทั้งสองข้างรื้นไปด้วยน้ำตา และน้ำเสียงที่พูดนั้นปนสะอื้น
“ท่านตาฉิน..เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า พวกเราล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน..”
หลิงหยุนย่อมรู้ดีว่าเหตุใดคนตระกูลฉินจึงพากันออกมาต้อนรับเขาอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้! นั่นเพราะการเดินทางไปเขาเทียนซานในครั้งนี้หลิงหยุนมิเพียงช่วยฉินจิวยื่อกลับมาได้ แต่เขายังได้ทำลายสำนักกระบี่เทียนซานจนสิ้นชื่อ สังหารตี๋เสี่ยวเจิน แม้กระทั่งตี๋เฮ่อหมิงและตี๋เฮ่ออี้ อีกทั้งยังทำลายวรยุทธของคนตระกูลตี๋ที่เหลืออีกด้วย สำหรับตระกูลฉินแล้ว นี่คือการสะสางหนี้เลือดที่คั่งค้างมานานถึงสิบแปดปี และยังเป็นการล้างความอัปยศของตระกูลฉิน ซึ่งเสมือนเป็นภาระที่หนักอึ้งของผู้นำตระกูลฉินมาตลอดหลายปี!
ในเมื่อตี๋เสี่ยวเจินตายไปแล้วสำนักกระบี่เทียนซานยังถูกทำลายล้างจนสิ้นชื่อเช่นนี้ สัญญาเมื่อสิบแปดปีก่อนยังจะมีความหมายอันใดอีกเล่า
นี่จึงนับเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง!
เมื่อได้ข่าวว่าหลิงหยุนจะกลับมาในวันนี้แต่มิรู้ว่าเวลาไหน ฉินฉางชิงก็เฝ้ารอการกลับมาของเขาด้วยความตื่นเต้น
“หลิงหยุน..งานเลี้ยงต้อนรับเจ้าได้จัดเตรียมไว้แล้ว ไปกับข้าเร็วเข้า!” ฉินฉางชิงคว้ามือหลิงหยุนไว้และรีบพาเขาเดินเข้าไปโดยเร็ว ไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้เขาได้กล่าวทักทายสมาชิกตระกูลฉินคนอื่นๆเลยแม้แต่น้อย ฉินฉางชิงยกมือขึ้นโบกพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ..พวกเจ้าทุกคนก็ตามหลิงหยุนเข้าไปข้างในได้แล้ว!”
“ฮ่าๆๆดูท่านลุงสองทำเข้า..”
ฉินเซี่ยฮัวต้องการจะกล่าวทักทายหลิงหยุนเสียหน่อยแต่กลับถูกฉินฉางชิงลากตัวไปเช่นนั้น จึงได้แต่บ่นพึมพำออกมา
“เจ้าหุบปากได้แล้ว!”
ฉินฉางชิงหันไปดุฉินเซี่ยฮัวในขณะที่ยังคงจูงมือหลิงหยุนเดินเข้าไปด้านใน..
“ท่านตา..หลังจากท่านแม่กลับมาแล้ว มิมีสิ่งใดน่าเป็นห่วงใช่หรือไม่”
ระหว่างทางที่เดินเข้าไปนั้นหลิงหยุนได้แอบกระซิบถามถึงเรื่องของฉินจิวยื่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาห่วงใยและเป็นกังวลมากที่สุด “อืมม..”
ฉินฉางชิงตอบกลับไปด้วยสีหน้าคลายกังวลขึ้นเล็กน้อย“จะพูดเช่นใดดี.. เอาเป็นว่าตั้งแต่นางกลับมาก็ยังคงนิ่งเงียบ ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลาพักผ่อนก็พักผ่อน ในเวลาอื่นๆก็ฝึกวรยุทธตามปกติ”
“แต่เรื่องภายในใจนั้นของนางนั้นแม้แต่ข้าผู้เป็นพ่อ ยังมิอาจคาดเดาได้..”
หลิงหยุนพยักหน้าและตอบกลับด้วยสีหน้าคลายกังวลขึ้นเล็กน้อย“เพียงแค่นั้นก็นับว่าดีแล้ว แม้จะล่วงเลยมาเจ็ดวันแล้วนับตั้งแต่ที่ท่านลุงหนิงเสียชีวิต แต่นี่นับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับท่านแม่มาก คงต้องให้เวลานางปรับใจอีกสักระยะ..”
ฉินฉางชิงเองก็เห็นด้วยกับหลิงหยุนเช่นกัน“อืมม.. เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง!”
“แล้วโม่วู๋เตาเล่าท่านตา..เวลานี้เข้าเป็นเช่นใดบ้าง”
ในเมื่อสามารถช่วยฉินจิวยื่อกลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้วอีกทั้งเวลานี้ยังอยู่ภายในความดูแลของตระกูลฉิน ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่หลิงหยุนเป็นห่วงในเวลานี้ก็คือเรื่องของโม่วู๋เตา..
“ข้าจะพาเจ้าไปดูด้วยตัวเองดีกว่า..”
ฉินฉางชิงรู้ดีว่าหลิงหยุนย่อมต้องเป็นห่วงโม่วู๋เตามากระหว่างทางจึงได้เล่าให้เขาฟังว่า “ตลอดเจ็ดแปดวันมานี้นับแต่เจ้าจากไป โม่วู๋เตาก็ยังมิมีอาการดีขึ้นเลย อีกทั้งยังมิมีท่าทีว่าจะรู้สึกตัวด้วย ดูแล้วช่างน่าเป็นห่วงยิ่งนัก!”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องของโม่วู๋เตาสีหน้าของฉินฉางชิงกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที..
หลิงหยุนได้ฟังจึงรีบเอ่ยถามขึ้นว่า“ตลอดหลายวันมานี้มิได้มีอาหารตกถึงท้องของเขาเลยใช่หรือไม่”
ฉินฉางชิงรีบตอบกลับทันที“เรื่องนั้นเจ้ามิต้องกังวลใจไป สิ่งใดที่เจ้ากำชับก่อนออกเดินทาง ข้าได้ทำตามอย่างเคร่งครัด ในสามวันแรกมิมีผู้ใดแตะต้องตัวเขาเลยแม้แต่น้อยในวันที่สี่จึงเริ่มมีคนเข้าไปป้อนน้ำให้กับเขา และในวันที่ห้าก็เริ่มให้อาหารด้วยวิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบัน..”
“น้องชายอีกคนของเจ้าที่เพิ่งมาถึงตระกูลฉินตอนบ่ายตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็เอาแต่นั่งเฝ้าโม่วู๋เตาอยู่ในห้องมิยอมออกไปไหนเลย..”
หลังจากได้ฟัง..หลิงหยุนก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้