“ที่แท้สหายเป่าฮวาก็มีวิธีรับมือแล้ว เช่นนั้นการเข้าไปในจุดผนึกอีกครั้งก็น่าจะมั่นใจขึ้นสินะ แต่ไม่ทราบว่าการรวมตัวกันในครั้งนี้ นอกจากคนจากทั้งสองแดนอย่างพวกเรา ยังมีกองทัพสนับสนุนจากแดนอื่นๆ อีกเท่าไหร่” ชายร่างใหญ่หัวโล้นกลอกตาไปมากลับเอ่ยถามขึ้น

“จนถึงยามนี้นอกจากแดนเพลิงทมิฬแล้ว แดนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราล้วนส่งคนมาช่วยเหลือ แม้ว่าจะไม่อาจเทียบกับจำนวนที่ส่งมาครั้งแรกได้ แต่ก็มีมากกว่าสี่สิบคน หนึ่งในนั้นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือแดนอีกาสวรรค์ แม้กระทั่งส่งระดับมหายานมาทีเดียวเก้าคน แม้แต่ผู้เฒ่าถงหยาในตำนานก็ยังลงมาจุติที่แดนของเราด้วยตนเอง” เซี่ยเหลียนตอบกลับพร้อมกับหัวเราะอย่างแผ่วเบา

“ผู้เฒ่าถงหยา หรือว่าเป็นอีกาทองแดงหนึ่งในสี่วิหคที่มีชื่อเสียง! เหตุใดเขาถึงมาด้วยตนเอง” ชายร่างใหญ่หัวโล้นได้ยินกลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง

“ดูแล้วพี่จินเองก็คงเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านผู้เฒ่า นั่นมันก็ใช่ ชื่อเสียงของสหายถงหยาในแดนต่างๆ เหนือกว่าแม้กระทั่งบรรพชนแรกเริ่มทั้งสามจากแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา สหายเคยได้ยินก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด ทว่าสาเหตุที่ลงมายังแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยตนเอง ว่ากันว่าหนึ่งในผู้แข็งแกร่งจากแดนอื่นที่เข้าไปในจุดผนึกก่อนหน้า มีชนรุ่นหลังสายตรงที่ผู้เฒ่าถงให้ความสำคัญ ถึงได้จำใจออกลงโรงด้วยตนเอง” เซี่ยเหลียนกลับเผยรอยยิ้มเยาะขณะเอ่ย

“ผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับผู้เฒ่าถงหยา คาดไม่ถึงว่าจะยอมเสี่ยงเพื่อชนรุ่นหลังคนหนึ่ง ช่างน่าเหลือเชื่อนัก” ชายร่างใหญ่หัวโล้นตะปบมือข้างหนึ่งไปที่ศีรษะใสแจ๋ว คาดไม่ถึงว่าจะถอนหายใจออกมาขณะเอ่ย

“ว่ากันว่าผู้เฒ่าถงหยามีชนรุ่นหลังสายตรงเพียงคนเดียว ไม่รู้ว่าเสียเลือดเนื้อและวัตถุดิบล้ำค่าไปตั้งเท่าไหร่ ถึงได้ดันให้ผู้นั้นไปอยู่ในระดับมหายานได้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจนิ่งดูดายมองเขาตกอยู่ในอันตรายได้” ครั้งนี้เซี่ยเหลียนกลับเอ่ยอย่างราบเรียบ

“นั่นมันก็ใช่ หากคิดให้ดีๆ หากผู้แซ่จินมีชนรุ่นหลังระดับมหายานคนหนึ่ง ก็ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมากอยู่แล้ว” จินชากะพริบตาปริบๆ หัวเราะร่า

“ในเมื่อสหายเซี่ยเหลียนบอกทุกอย่างๆ ชัดเจนแล้ว เช่นนั้นการรวมตัวกันหลังจากนี้ ข้าและพี่เซี่ยก็ต้องเข้าร่วมอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลาก็รบกวนสหายเซี่ยเหลียนรายงานด้วย” หานลี่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ชั่วครู่ แล้วเอ่ยพร้อมกับพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว รอจนถึงวันออกเดินทาง ข้าจะส่งหนังสือไปบอกสหายทั้งสาม” เซี่ยเหลียนตอบรับอย่างไม่ต้องขบคิด

“เช่นนั้นเราสามคนก็ไม่รบกวนสหายแล้ว ผู้แซ่หานขอตัวลาก่อน” หานลี่พยักหน้า ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

นักพรตเซี่ยและอิ๋นเย่ว์เห็นเช่นนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นเช่นกัน ท่าทางให้หานลี่เป็นผู้นำ

“เหตุใดพี่หานต้องรีบร้อนปานนั้น ยอดเขาสู่สวรรค์ของข้ามีผลไม้วิญญาณประจำถิ่นอยู่สองสามชนิด สหายทั้งสามลองชิมดูก่อนค่อยไปก็ไม่สาย” หญิงสาวสวมชุดชาววังกลับหัวเราะคิกคักขณะเอ่ย

“ไม่ต้องหรอก ชิมผลไม้วิญญาณ วันหลังค่อยหาโอกาสก็ได้” หานลี่หัวเราะหึๆ ประสานมือคารวะสะบัดแขนเสื้อ รัศมีลำแสงสีทองบินออกมาม้วนทั้งสามคนเข้าไปข้างใน และกลายเป็นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไปในชั่วพริบตา แค่กะพริบวาบก็หายวับไปที่ด้านนอกประตูห้องโถง

เซี่ยเหลียนเห็นเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยปากรั้งอันใด แต่คิ้วดำขลับก็อดที่จะขมวดมุ่นไม่ได้

“ฮ่าๆ ดูแล้วสหายหานผู้นี้คงไม่อยากคบค้าสมาคมกับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แดนมารอย่างเจ้าเท่าใดนัก นั่นก็ไม่แปลก แดนมารของพวกเจ้าเพิ่งจะทำสงครามกับแดนวิญญาณ กำแพงกั้นนี้ไหนเลยจะละลายได้ง่ายๆ!” ชายร่างใหญ่หัวโล้นกลับหัวเราะร่าออกมา

“แดนศักดิ์สิทธิ์และแดนวิญญาณมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ไม่ใช่สิ่งที่สหายจินจะซักถามได้ ยามนี้สหายหานตัดสินใจเข้าร่วมการชุมนุมแล้ว แต่ไม่ทราบว่าพี่จินคิดอย่างไร” เซี่ยเหลียนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย

“นี่ยังต้องถามอีกหรือ แน่นอนว่าต้องเข้าร่วม ทว่าข้าสองคนไม่สนใจจะนอนกลางดินกินกลางทราย เกรงว่าคงต้องพักอยู่ที่พักของสหายชั่วคราว” ชายร่างใหญ่หัวโล้นหัวเราะร่า แล้วเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

“เยี่ยม ในเมื่อพี่จินและพวกทั้งสองเองก็ยอมไป ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ส่วนเรื่องพักแรมที่นี่นั้นยิ่งไม่มีปัญหา สหายทั้งสองยอมพักอยู่ที่ๆ มอซอเช่นนี้ กลับเป็นเกียรติของข้าแล้ว” เซี่ยเหลียนได้ยินในที่สุดก็เผยรอยยิ้มออกมาขณะตอบกลับ

ชายร่างใหญ่หัวโล้นและพวกทั้งสองคนได้ยิน ย่อมเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา

ยามนี้หญิงสาวสวมชุดชาววังสองสามคนที่เดินเข้ามาจาประตูห้องโถง ก็ถือผลไม้วิญญาณและชาวิญญาณที่มีกลิ่นหอมโชยเตะจมูกเข้ามา…

ยามนี้หานลี่และพวกกลับบินอยู่กลางอากาศ

หลังจากนั้นไม่นานทั้งสามก็ร่อนลำแสงหลีกหนีลงบนยอดเขารกร้างแห่งหนึ่งในเทือกเขาหมื่นบุปผา

หานลี่ยกมือขึ้นปล่อยหุ่นเชิดวานรยักษ์สองสามตัวออกไป สร้างถ้ำพำนักชั่วคราวแห่งหนึ่งขึ้นตรงกำแพงภูเขาด้านหนึ่งของยอดเขา

ทั้งสามคนเข้าไปในถ้ำพำนักชั่วคราว แล้วต่างเข้าไปในห้องลับของตนเอง เริ่มนั่งสมาธิพักผ่อนอยู่เงียบๆ

ก่อนที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์และผู้แข็งแกร่งจากแดนอื่น ทั้งสามย่อมไม่มีอันใดต้องปรึกษาแผนการณ์ต่อไปกันอีก

แน่นอนว่าอิ๋นเย่ว์ย่อมอดคิดถึงบรรพชนเอ๋าเสี้ยวไม่ได้

แต่นางรู้ว่าในขณะที่ทุกคนถูกกักอยู่ในจุดผนึก ย่อมไม่มีอันตรายถึงชีวิตชั่วขณะ จึงทำให้รู้สึกผ่อนคลายลง

เวลาหนึ่งเดือนสำหรับหานลี่ที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรย่อมผ่านไปภายในพริบตา

วันนี้หานลี่กำลังนั่งสมาธิอยู่เงียบๆ ภายในห้องลับ หน้าเปลี่ยนสี ขยับแขน คาดไม่ถึงว่าจะตะปบไปกลางอากาศเบื้องหน้า

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น!

แผ่นหยกสีขาวโปร่งใสแผ่นหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะถูกเขาตะปบไว้กลางอากาศ

เขาปล่อยแผ่นหยกในมือออกไปโดยไม่ปริปาก สองมือร่ายไปมา

ชั่วขณะนั้นแผ่นหยกพลันปริแตก ระเบิดเปลวเพลิงสีเขียวออกมา

“พี่หานถึงเวลาแล้ว เชิญไปที่ยอดเขาสู่สวรรค์ วันนี้ข้าจะออกเดินทางแล้ว” ลำแสงสีเขียวมีเสียงราบเรียบของเซี่ยเหลียนดังออกมา ราวกับตัวจริงมาอยู่ตรงหน้าก็ไม่ปาน

หานลี่ได้ยินพลันหัวเราะ สองมือร่ายอาคมอีกครั้ง เปลวเพลิงสีเขียวสลายหายไป ตนพลันหยัดกายลุกขึ้น

ครึ่งวันต่อมาหานลี่พานักพรตเซี่ยและอิ๋นเย่ว์มาปรากฏตัวที่ในห้องลับขนาดไม่ใหญ่ในตำหนักสีเขียวขจีของยอดเขาสู่สวรรค์

ที่นั่นเซี่ยเหลียนและศิษย์หญิงหน้าตางดงามอีกสองคนรวมทั้งจินชาและพวกทั้งสองก็อยู่ที่นั่น

ตรงใจกลางตำหนักลับเขตอาคมสีเงินอ่อนขนาดสองสามจั้งเปล่งแสงสว่างวาบขึ้น

“เขตอาคมของข้าสามารถส่งตัวไปยังเมืองที่อยู่กับจุดรวมตัวที่สุดได้ จากนั้นขอแค่ใช้เวลาเดินทางอีกครึ่งเดือน ก็จะไปถึงที่หมายตามเวลา พี่จิน สหายหานเชิญเถิด” เซี่ยเหลียนเอ่ยกับคนอื่นอย่างราบเรียบ

“ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้แซ่จินและพวกทั้งสองก็จะไปก่อน” จินชาหัวเราะหึๆ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่าไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิดพลางเดินเข้าไปในเขตอาคมตรงหน้าพร้อมกับชายร่างใหญ่ผมเผ้ายุ่งเหยิงที่อยู่ข้างกาย

ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างระดับมหายานของแดนลำแสงสีขาวทั้งสองก็หายวับไปจากเขตอาคมส่งตัว

หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ ร้องเรียกนักพรตเซี่ยและอิ๋นเย่ว์ และเดินเข้าไปในเขตอาคมสีเงินอย่างไม่เกรงใจ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วถูกส่งตัวไปเช่นกัน

เซี่ยเหลียนเห็นทุกอย่างก็หัวเราะอย่างเย็นชา พาศิษย์หญิงทั้งสองที่อยู่ด้านหลังก้าวเข้าไปในเขตอาคมสีเงินเช่นกัน

ครึ่งเดือนต่อมาใจกลางทะเลทรายสีเหลืองที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตาก็สั่นเทา ท่ามกลางเม็ดทรายจำนวนนับไม่ถ้วนที่หมุนวน คาดไม่ถึงว่ามีเมืองโบราณสีเหลืองปรากฏขึ้นจากใต้ดิน

เมืองดินแห่งนี้มีขนาดแค่สองสามลี้ แต่กำแพงเมืองรอบด้านกลับสูงสิบจั้งเศษ และยิ่งไปกว่านั้นท่ามกลางเสียงอึกทึก นักรบชุดเกราะต่างก็กรูกันขึ้นไปที่กำแพงเมือง

นักรบชุดเกราะเหล่านั้นล้วนมีสีหน้าราบเรียบ สวมชุดเกราะหลากสีสัน มือถืออาวุธต่างๆ เอาไว้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะจำนวนเกือบหมื่นตน

ใจกลางของเมืองแห่งนี้ ตำหนักสีทองเรืองรองตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น

ตำหนักวิจิตรงดงามเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงตัวตำหนักจะดูเหมือนสร้างมาจากทองคำ ผิวยังมีลวดลายมารลึกลับต่างๆ ปกคลุม ส่วนยอดฝังผลึกศิลาหลากสีสันขนาดเท่ากำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ แผ่รัศมีลำแสงที่งดงามเป็นอย่างยิ่งออกมา

หลังจากนั้นไม่นานท้องฟ้าก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น จากนั้นลำแสงสีขาวที่กว้างไกลจนสุดขอบฟ้าพลันปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีรถอสูรสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกบินออกมา

รถอสูรความยาวสิบจั้งเศษ รูปทรงวิจิตรงดงาม ตัวรถโปร่งแสง ด้านหน้ามีมังกรวารีสีขาวสี่ตัวพ่นเมฆหมอกออกมาอย่างรวดเร็วปานลมกรด

และบนรถอสูรกลับมีบุรุษคนหนึ่งหญิงสาวคนหนึ่งยืนเคียงไหล่กันอยู่

บุรุษท่าทางอายุสี่สิบปีเศษ ใบหน้าเป็นสีเขียวอ่อน สวมชุดคลุมยาวสีขาว แต่มีผลึกลำแสงไหลวนโคจรไปมาลางๆ

หญิงสาวกลับเป็นฮูหยินอายุยี่สิบปีเศษ ผมสูงตระหง่าน สวมชุดเกราะหนังสีฟ้าอ่อน หน้าตาหมดจดเป็นอย่างยิ่ง

รถอสูรแค่กะพริบวาบๆ มังกรวารีสีขาวสี่ตัวก็ลากรถมาอยู่เหนือเมือง

บุรุษใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ รถอสูรและมังกรวารีสีขาวหายวับไป

ลำแสงหลีกหนีของบุรุษและสตรีเปล่งแสงสว่างวาบ ต่างกลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งจมหายเข้าไปในตำหนักสีทองด้านล่าง

ตำหนักเงียบสงัด ไม่มีเสียงใดดังออกมาเลยสักนิด

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ขอบฟ้าทั้งสองด้านของเมืองก็มีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีดำและสายรุ้งสีเงินพุ่งแหวกอากาศมาพร้อมกัน หลังจากกะพริบวาบก็ร่นระยะทางร้อยลี้มาอยู่ใกล้เมือง และเปล่งแสงสว่างวาบเข้าไปในประตูตำหนัก

หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ท้องฟ้าอีกด้านพลันมีเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังออกมา จากนั้นรัศมีลำแสงเจ็ดสีก็เปล่งแสงสว่างวาบ กองกำลังนับพันคนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ

กองกำลังมีบุรุษและสตรีอย่างละครึ่ง บ้างก็สวมชุดเกราะหมวกสีทอง มือถือขวาน กระบี่ ง้าว บ้างก็สวมชุดหลากสีสัน เป่าขลุ่ย ดีดพิณ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนเทพเซียนก็ไม่ปาน

ใจกลางคนเหล่านั้นกลับมีรัศมีลำแสงเจ็ดสีขนาดสองสามหมู่ รัศมีลำแสงหมุนวนไปมาไม่หยุด

กลางรัศมีลำแสงมีเก้าอี้ยักษ์อยู่ลางๆ ด้านบนมีเงาร่างสูงใหญ่สวมชุดคลุมยาวนั่งอยู่คนหนึ่ง

กองกำลังนี้บินมาอยู่เหนือเมืองอย่างไม่รีบร้อน รัศมีเจ็ดแสงร่อนลงมาตรงหน้าตำหนัก ลำแสงหม่นแสงลง ชั่วขณะนั้นชายชราหน้าตาเคร่งขรึมสวมชุดคลุมยาวเจ็ดสี ศีรษะสวมมงกุฎจักรพรรดิพลันปรากฏขึ้น

ชายชราผู้นี้กระแอมไอเบาๆ มองไปยังตำหนักด้านหน้าแวบหนึ่ง แล้วเดินไปที่ประตูตำหนักด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

แทบจะในเวลาเดียวกันนักรบชุดเกราะและเซียนสวมชุดหลากสีกลางอากาศกลับเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นดวงลำแสงสลายหายไป คาดไม่ถึงว่าจะหายไปราวกับฟองสบู่

เช่นนั้นภายในเวลาสองสามชั่วยามต่อมา ด้านนอกทะเลทรายพลันมีไอสีดำ ไม่ก็เปลวเพลิงรุนแรงพุ่งแหวกอากาศมา คนรูปร่างแปลกประหลาดปรากฏขึ้นที่เมืองตามลำดับ และเข้าไปในตำหนักสีทองโดยไม่ปริปาก