ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 50 แดนนรก (1)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงต้องฆ่าโจวทงด้วยเหตุผลมากมาย เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูซึ่งเริ่มต้นนับตั้งแต่เขาพยายามฆ่าโจวทงครั้งก่อน

ยามที่เขาเดินเข้ามาในลานบ้านหลังนี้ครั้งก่อน คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ ต้นกำเนิดของความเป็นตาย ตอนนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตายไปแล้ว คนอื่นอีกมากก็ตายไปแล้ว สายธารแห่งประวัติศาสตร์เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ท่ว่าโจวทงก็ยังมีชีวิตอยู่ดี ดีกว่าชีวิตที่เคยมีเสียอีก เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าเป็นสิ่งถูกต้องที่เขาต้องจบเรื่องนี้ลง

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าโจวทงอยู่ที่ไหนในตอนนี้

จากนั้นเขากับเสี่ยวเต๋อก็ก้มหน้าลงในเวลาเดียวกัน มองไปที่เศษหิมะบนพื้นของลานบ้าน

หิมะนั้นสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับว่ามีการสั่นสะเทือนเบาๆ อยู่ในส่วนลึกของพื้นดิน

ขุนนางกรมอาญาหลายคนสบตากันด้วยสีหน้าประหลาดใจ ความตกใจในดวงตาเปลี่ยนเป็นความเด็ดเดี่ยว พวกขุนนางกำกระบี่แน่น หันไปหาเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงไม่ได้มองไปที่เขา ดวงตายังคงจับจ้องไปที่หิมะ

ทันใดนั้นประกายกระบี่สิบกว่าสายก็ส่องสว่างทั่วลานบ้านฟาดลงกับพื้น

หิมะปลิวอย่างบ้าคลั่งเจตจำนงกระบี่รวดเร็วรุนแรง แผ่นหินแหลกไปในทันที ดินดำลอยขึ้น ในชั่วขณะหลุมลึกครึ่งฉื่อก็ปรากฏขึ้นบนพื้นดิน

ขุนนางพวกนั้นคำรามอย่างฉุนเฉียว ต่างคนต่างใช้เพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาพยายามหยุดเฉินฉางเซิงเอาไว้

เสี่ยวเต๋อพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและแสงโหดเหี้ยมส่องออกมาจากดวงตา หมัดทั้งสองทุบลงราวกับภูเขาถล่มใส่กระบี่หลายร้อยเล่มในอากาศ

……

……

ลานบ้านนี้เคยมีต้นไห่ถัง แต่ถูกเฉินฉางเซิงทำลายไป หลังจากนั้นต้นไห่ถังต้นใหม่ก็ถูกย้ายเข้ามา แทบจะเหมือนต้นเดิมไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่ขุนนางกรมอาญาที่เลือดเย็นและโหดเหี้ยมที่ไม่สนใจความงามยังต้องเดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อได้เห็น แน่นอนต้นไห่ถังนี้ก็ถูกทำลายไปเช่นกัน ด้วยมือของเฉินฉางเซิงเช่นเคย

ขุนนางกรมอาญาได้รับความเจ็บปวดอย่างมากและจำเป็นต้องใช้เวลาไปไม่น้อยในการหาต้นไห่ถังที่เหมือนเดิม ใช้เวลาไม่น้อยขุดหลุมริมกำแพงลานบ้าน มีคืนหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงที่ฝนทำให้หลุมนั้นกลายเป็นบ่อน้ำเล็กๆ แต่ก่อนจะเช้าน้ำในนั้นได้ซึมลงไปในดินและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

กรมอาญาตั้งอยู่ในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งและผู้คนยังเรียกที่แห่งนั้นว่าคุกโจว อย่างไรก็ตาม น้อยคนนักที่รู้ว่าคุกโจวที่แท้จริงนั้นอยู่ใต้หลุมที่ขุดไว้เพื่อปลูกต้นไม้นั้นลงไปสิบเจ็ดจั้ง ถ้ำใต้ดินก่อตัวเป็นห้องขังห้าห้อง รอบผนังหินเป็นดินที่ถูกอัดแน่นและหินขรุขระ และยังมีค่ายกลป้องกันนับไม่ถ้วน

ที่แห่งนี้ถูกฝังอยู่ลึกลงไปในดิน คุ้มกันด้วยค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่า เร้นงำเอาไว้อย่างที่สุด ไม่มีคนนอกเคยเข้าไปมาก่อน ที่แห่งนี้แข็งแกร่งมาก ไม่ว่าจะเป็นประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนและเจตจำนงดาบที่รุนแรงตอนที่เฉินฉางเซิงบุกมาคุกโจวครั้งแรก หรือเจตจำนงกระบี่ที่บินฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศในตอนนี้ก็ไม่ส่งผลกระทบแม้แต่น้อย ไม่สะเทือนเลยสักนิด

ในส่วนลึกของห้องขัง โคมไฟสลัวแต่มั่นคง ส่องสว่างโต๊ะเล็กภายในห้อง

บนโต๊ะมีถั่วจานหนึ่ง สุราสองไห ตะเกียบสองคู่

คนที่นั่งอยู่ทางตะวันออกของโต๊ะเป็นชายวัยกลางคนร่างกายสูงใหญ่กำยำ แม้ว่าชุดนักโทษจะเปื้อนไปด้วยเลือดที่เปลี่ยนเป็นสีดำ ผมยุ่งเหยิงพาดผ่านบ่า แม้แขนขาดไปข้างหนึ่ง ก็ไม่อาจปกปิดความกล้าหาญองอาจเอาไว้ได้ เขาก็คือขุนพลเทพเซวียเหอที่ถูกไล่ล่าและนำตัวกลับมาเมื่อหลายวันก่อน ผู้ที่นั่งตรงข้ามเขานั้นคือชายวัยกลางคนอีกคน คนผู้นี้ไม่ได้สวมชุดขุนนาง ทว่าสวมเสื้อผ้าธรรมดา มีร่างผอมบางแก้มตอบหน้าซีดดวงตาลึกและสงบ เขาดูประดุจภูตผี

มีคนมากมายตายในคุกโจว แต่ไม่รู้ว่าคุกนี้ถูกผีสิงหรือไม่ ต่อให้ถูกสิง พวกผีก็คงถูกคนผู้นี้ทรมานจนเกินจะบรรยายได้และไปเกิดใหม่นานแล้ว

เขาก็คือนายแห่งคุกโจว ในที่แห่งนี้แม้แต่ผีก็ยังกลัวเขา

กระบี่อันน่าทึ่งก่อนหน้านี้ได้แทงผ่านตัวเขาบนเก้าอี้นั้นแต่ก็เพียงแค่แทงใส่ชุดคลุมขุนนางสีแดงของเขาเท่านั้น นับจากนั้นเฉินฉางเซิงและคนมากมายก็คาดเดาว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน หลายคนคิดว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในวังหลวง ในขณะที่บางคนเชื่อว่าเขาเสียขวัญและหนีไปจากจิงตูแล้ว

ไม่มีใครคาดคิดได้ว่าเขายังคงอยู่ที่นี่ ภายในลานบ้านแห่งนี้ แค่อยู่ลึกลงไปด้านล่าง

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขากับเฉินฉางเซิงนั้นอยู่ห่างกันเพียงสิบเจ็ดจั้งเท่านั้น

เขาไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขากินถั่วดื่มสุราอย่างใจเย็น ราวกับห่าฝนกระบี่ด้านบนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ว่ามันจะเกรี้ยวกราดเพียงใด

เซวียเหอมองไปในดวงตาเขาและกล่าว “เจ้ากลัว”

เขาเป็นขุนพลเทพที่มีชื่อเสียงไปทั่วต้าโจวในฐานะน้องชายของเซวียสิ่งชวน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไร้ความสามารถ ในสนามรบแดนเหนือ เขาได้นำทหารต่อสู้กับพลหมาป่าเผ่ามารซึ่งมีความขัดแย้งกันมาหลายสิบปี เขาเข้าใจถึงความตายและความกลัวอย่างลึกซึ้ง

ในยามที่ผู้คนหวาดกลัวที่สุด มักยืนกรานที่จะอยู่ในที่ที่พวกเขาคุ้นเคยที่สุด แม้ว่าจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดที่สุดก็ตาม โจวทงตัดสินใจเลือกอยู่ที่นี่แทนที่จะไปยังวังหลวง นี่อาจทำให้คนอื่นอ้าปากค้างด้วยความชื่นชมในความฉลาดและสงบ แต่ในสายตาของเซวียเหอ มันเป็นเพียงข้อพิสูจน์ว่าโจวทงกลัว

คุกโจวซ่อนอยู่ลึกลงไปใต้ดิน เป็นที่ซึ่งโจวทงคุ้นเคยที่สุด ในที่แห่งนี้เขาได้ฆ่าทั้งคน ทั้งเผ่าปีศาจ ทั้งเผ่ามาร ไปมากมาย ทรมานทั้งคน ทั้งเผ่าปีศาจ ทั้งเผ่ามาร ไปมากยิ่งกว่า

โจวทงไม่ได้ไปที่วังหลวงเพราะว่าลางสังหรณ์ในส่วนลึกของหัวใจและความไม่ไว้วางใจในตัวนักปราชญ์คนนั้น อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจอธิบายกับเซวียเหอ เซวียเหอเป็นนักโทษดังนั้นไม่มีสิทธิ์ได้รับคำอธิบาย ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ต้องการให้มีแม้แต่คนเดียวได้รู้ว่าความภักดีที่เขามีต่อนักปราชญ์คนนั้นไม่ได้เด็ดเดี่ยวอย่างที่คนอื่นคิดกัน

คุกใต้ดินนี้ชื้นแฉะมืดมัวเกินไป จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้สึกสะดวกสบาย แม้แต่ตัวโจวทงเองก็ตาม ห้องขังที่เซวียเหออยู่นั้นแห้งที่สุด หยดน้ำที่หยดลงจากเพดานห้องทิ้งระยะห่างยาวนานที่สุด น้ำไม่ตกลงบนโต๊ะหรือที่นอนซึ่งทำจากฟาง

นี่นับว่าเป็นการดูแลที่ดีทีเดียว แม้แต่เข็มทองบนร่างเซวียเหอที่ใช้สะกดการบำเพ็ญเพียรก็เป็นโจวทงปักด้วยตัวเอง

“อย่าได้พยายามทำให้ข้าโกรธ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ถึงอย่างไรเขาก็เคยบอกว่าพวกเราล้วนเป็นพี่น้องกัน” โจวทงพูดอย่างสุขุม

โจวทงกับเซวียสิ่งชวนเป็นพี่น้องกัน เซวียสิ่งชวนก็ยังเป็นพี่น้องกับเซวียเหอด้วย

มีแค่สามพี่น้องกับเซวียฮูหยินที่รู้เรื่องนี้

ในอดีตเซวียสิ่งชวนหวังมาเสมอว่าเซวียเหอกับโจวทงจะกลายเป็นพี่น้องกันจริงๆ

เซวียเหอไม่ชอบโจวทงแต่เขาก็ไม่เคยพูดอะไร

ตอนที่เขาพบว่าโจวทงเป็นคนวางยาพิษพี่ชายจนตายด้วยตัวเอง เขาก็ตัวแข็งไปด้วยความโกรธแค้นเดือดดาล อย่างไรก็ตาม เขายังคงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้เพราะเขาไม่เคยนับโจวทงเป็นพี่น้อง นอกจากนี้เขายังรู้ว่าโจวทงเป็นคนแบบไหน อย่างไรก็ตาม ตอนที่เขาได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป ถ่มน้ำลายที่มีเลือดปนใส่โจวทง

โจวทงหันหลบแต่เขาไม่หันกลับไป

เขารักษาท่าที จ้องมองไปที่ผนังทางตะวันตกเฉียงใต้ของคุก

เขาสัมผัสได้ว่ามีการสั่นสะเทือนแผ่วเบาอย่างมากมาจากด้านหลังของผนังหิน

มีคนกระตุ้นค่ายกล