ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 49 จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ก็คือการฆ่า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ดังนั้นวิชาของเจ้าจึงไร้ประโยชน์เมื่อใช้กับข้า” เสี่ยวเต๋อกล่าวต่อเฉินฉางเซิงอย่างจริงจัง

เติมน้ำร้อนใส่อ่างไม้ไม่ได้ทำให้น้ำเดือด กองโคลนสูงเท่าสุสานเทียนซูไม่ได้แข็งไปกว่าหิน ต่อให้เฉินฉางเซิงกลายเป็นเฉินฉางเซิงหมื่นคนจริงๆ ก็ไม่อาจอาศัยจำนวนก้าวข้ามขั้นไปได้

เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยากนัก

การบำเพ็ญเพียรเป็นสิ่งที่ไร้ความรู้สึกที่สุดในโลก ไม่มีใครเชื่อว่าความขยันสามารถชดเชยการขาดพรสวรรค์ได้ หรือการเพิ่มปริมาณจะสามารถเพิ่มคุณภาพได้

ในตอนนี้เขาสามารถสู้กับพวกยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นหรือแม้แต่ขั้นกลางได้หลายคนพร้อมกัน แต่ก็ยากที่จะสังหารพวกเขาได้หมด ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ต่อหน้ายอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นสูงสุดอย่างเสี่ยวเต๋อหรือเซียวจาง ระยะห่างของระดับการบำเพ็ญเพียรลดความได้เปรียบจากจำนวนของเขาไปมาก

ในสวนโจวเขาสามารถสู้กับมหาวิหคปีกทองไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่งเพียงนั้น หากแต่เพราะหมื่นกระบี่ที่ตื่นขึ้นจากสระกระบี่ได้เปลี่ยนความโหยหาที่พวกมันสะสมมาหลายศตวรรษเป็นเจตจำนงในการต่อสู้ มีแต่ทางนี้พวกมันถึงจะสามารถใช้วิชากระบี่ขั้นสุดยอดที่สะเทือนฟ้าดินได้

ตอนนี้สวนโจวแน่นิ่งและกระบี่เลื่องชื่อกลับคืนสู่สำนัก กระบี่ที่เหลืออยู่ข้างกายเขาได้รับการหล่อเลี้ยงอยู่ในทะเลของซ่อนคม ค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้สะสมเจตจำนงต่อสู้เช่นนั้น พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือภาพอันลึกลับของหมื่นกระบี่กลายเป็นมังกรไม่อาจปรากฏขึ้นในโลกนี้ได้อีก

“แน่นอนเจ้ายังน่ากลัวอยู่มาก” เสี่ยวเต๋อที่เศร้าโศกกับปัจจุนับหวาดหวั่นต่ออนาคตกล่าวกับเขา “หากข้าปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป เจ้ากับกระบี่ของเจ้าจะสร้างสถานการณ์เช่นใดตอนที่เจ้าถึงจุดสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาว”

หากเป็นจริงอย่างเสี่ยวเต๋อพูด อนาคตของเฉินฉางเซิงคนเดียวสามารถสู้ได้กับทั้งกองทัพ สามารถยึดเมืองทำลายอาณาจักร

“ในตอนนั้นคนอย่างพวกเราคงไม่มีความสามารถจะต่อต้านเจ้าได้แม้แต่น้อย ถูกเจ้าทุบตีราวสุนัข”

เสี่ยวเต๋อหยุดไปครู่หนึ่งจากนั้นก็กล่าวกับเฉินฉางเซิงต่อ “และนั่นไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเรา”

ทั้งหมดยังอยู่ในลานบ้าน ต้นไห่ถังแหลกสลายตายไปแล้ว แม้แต่ลมก็ไม่พัดผ่านกระบี่ที่ลอยอยู่ ไม่กล้าที่จะกระทบแตะต้อง

ตอนที่ยอดฝีมือจากราชสำนักได้ยินคำพูดของเสี่ยวเต๋อ พวกเราก็จมอยู่ในความคิด อารมณ์ทั้งหลายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

เฉินฉางเซิงไม่ตอบ เขาเม้มปากจนเป็นเส้นบาง

เฉกเช่นเส้นนับร้อยที่เกิดจากกระบี่ในหิมะ

ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนใดยินดีเห็นอนาคตเช่นนั้น ยินดีเป็นสุนัขที่ถูกกระบี่ของสุดยอดฝีมือทุบตี และพวกเขายังเป็นศัตรูกัน

เพื่อป้องกันไม่ให้อนาคตที่น่ากลัวนี้เกิดขึ้น พวกเขาทั้งหมดต้องทำสิ่งที่ต้องทำ ฆ่าเฉินฉางเซิง

เสี่ยวเต๋อยังจ้องมองเฉินฉางเซิงอย่างใจเย็น ทันใดนั้นแสงสีน้ำตาลอ่อนก็พุ่งออกจากดวงตาเขาและปราณที่น่าหวาดกลัวพุ่งออกมาจากร่างเขา

ปราณนี้เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่และป่าเถื่อน ต่อให้เส้นใยที่เล็กที่สุดก็เปี่ยมไปด้วยเลือดของสัตว์อสูรที่ไหลเวียน

เสื้อผ้าของเขาบวมเป่งเพราะกล้ามเนื้อภายในขยายตัวขึ้น จากนั้นก็มีขนที่แข็งดุจเหล็กและถี่ยิบแทงผ่านเสื้อผ้าออกมา

บนอกเขามีแผลลึก เกิดจากกระบี่สันดาปที่เฉินฉางเซิงโจมตีออกไปในตอนแรกที่ปะทะกัน มีเลือดไหลออกมาตลอดเวลา แต่ตอนนี้ก็พลันสมานปิและเลือนหายไป

เฉินฉางเซิงกำด้ามกระบี่แน่น รู้ว่าเสี่ยวเต๋อได้ใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา

เผ่าปีศาจมีข้อได้เปรียบเหนือเผ่ามนุษย์มากมาย อย่างเช่นความเร็ว ความแข็งแกร่งและความทนทานของร่างกายตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตามความได้เปรียบที่สุดของยอดฝีมือเผ่าปีศาจก็คือสามารถเปลี่ยนร่างได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ ยืมเลือดของบรรพบุรุษที่อยู่ในวงล้อแห่งชะตากรรมเพื่อให้รวดเร็วยิ่งขึ้น แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และทนทานยิ่งขึ้น

นี่คือการแปลงร่างคลั่ง

เสียงกระหึ่มดังขึ้นในลานบ้าน กิ่งไห่ถังแตกหักอยู่บนพื้นดิน ถูกลมแรงพัดขึ้นกระแทกใส่กำแพง กลายเป็นเศษที่เล็กกว่าเดิม

เสี่ยวเต๋อหายตัวไปจากประตูหินและปรากฏขึ้นตรงหน้าเฉินฉางเซิง

กระบี่หลายร้อยเล่มส่งเสียงครืนครั่นสั่นอยู่ในอากาศ แล้วพลันนิ่งลงอย่างฉับพลัน

ในเวลาแค่ไม่กี่ลมหายใจเสี่ยวเต๋อได้ข้ามระยะห่างแปดจั้งและถูกกระบี่หกเล่มกรีดใส่

อย่างไรก็ตาม วิชากระบี่อันประณีตจากกระบี่หกเล่ม ก็ไม่อาจทำให้เขาก้าวช้าลงได้

บนร่างมีรอยแผลตื้นๆ จากกระบี่หกเล่ม

ในฐานะสุดยอดฝีมือรุ่นกลางของเผ่าปีศาจ ร่างกายเขาจึงมีความทนทานถึงขั้นน่าหวาดหวั่น ซึ่งเข้าสู่ระดับน่าสะพรึงเมื่อแปลงร่างคลั่ง หากไม่ใช่เพราะกระบี่ทั้งหมดของเฉินฉางเซิงมาจากสระกระบี่และล้วนเป็นกระบี่เลื่องชื่อจากหลายร้อยปีก่อน พวกมันคงไม่อาจสร้างรอยแผลให้เขาได้

หมัดของเสี่ยวเต๋อพุ่งเข้าใส่เฉินฉางเซิงในหิมะ

เหมือนกับตอนแรกที่พวกเขาปะทะกันด้านนอกกำแพง เขายังไม่ได้ใช้อาวุธ

หลังจากกลับจากหานซาน เสี่ยวเต๋อก็กลายเป็นคนสำรวมกว่าเดิม ทั้งยังก้าวหน้าในการบำเพ็ญเพียรขึ้นมาก ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดก็คือเขามีความมั่นใจในหมัดของตัวเองมากขึ้น

เขามีอาวุธแต่บนหานซานเขาไม่มีแม้แต่เวลาจะชักมันออกมาก่อนที่จะถูกหลิวชิงแทงใส่

จากนั้นในป่าต้นพลับริมลำธาร เขาได้พบกับราชามาร อาวุธของเขายิ่งเป็นเรื่องน่าขันไม่ว่าจะชักมันออกมาหรือไม่

หลังจากนั้นเสี่ยวเต๋อก็ละทิ้งอาวุธและใช้เพียงมือของตนเท่านั้น

เทียบกับดาบกระบี่หรือของวิเศษ มือคืออาวุธของผู้บำเพ็ญเพียรอย่างแท้จริง

การโจมตีด้วยมือนั้นเร็วกว่าการโจมตีด้วยกระบี่

และมันก็เร็วกว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิง

ก่อนเฉินฉางเซิงจะมีโอกาสโจมตีด้วยกระบี่ หมัดของเสี่ยวเต๋อก็มาถึงแล้ว โชคยังดีเขาได้ถือร่มกระดาษทองด้วยมือซ้ายตลอดเวลา

ร่มยืมกำลังจากสายลมลอยขึ้น ต้านรับหมัดของเสี่ยวเต๋อเอาไว้

ร่มย่นลงเมื่อแรงมหาศาลกดลงมา เท้าซ้ายของเฉินฉางเซิงจมลึกลงไปในพื้นดินเสียงดังตูม

รอยแตกร้าวรูปใยแมงมุมก่อตัวขึ้นรอบเท้าซ้ายของเขา พื้นหินสีเทายุบลงดูราวกับน้ำวน

เสียงแตกร้าวดังมาจากร่างของเฉินฉางเซิง กระดูกบางท่อนในร่างของเขาร้าว บางทีอาจถึงกับหักลง

ประกายกระบี่ที่แหลมคมอย่างมาก จนดูประหนึ่งส่องแสงออกมาจากขอบของร่มกระดาษทอง

เสี่ยวเต๋อคำรามยกกำปั้นฟาดลงอีกครั้ง ลมระเบิดออกโดยรอบ กิ่งของต้นไห่ถังถูกกวาดออกจากลานบ้านจนหมด กำแพงปกคลุมไปด้วยรอยร้าวนับไม่ถ้วน เศษหินค่อยๆ ร่วงลงมา ดูเหมือนกับว่ากำแพงได้ผ่านเวลานับหมื่นปีในชั่วพริบตา

หมัดทุบลงมาราวกับภูเขาใหญ่ ยอดฝีมือจากราชสำนักลงมือโจมตีเฉินฉางเซิงพร้อมกัน ลานบ้านเต็มไปด้วยเจตจำนงกระบี่เมื่อวิชากระบี่หลากชนิดถูกใช้ออกมา

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ลานบ้านก็กลับสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง

เสี่ยวเต๋อยืมกำลังจากแรงสะท้อนถอยไปด้านหลังสู่ประตูหินของลานบ้าน ดูเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บ

ทันใดนั้นเสียงครูดก็ดังมาจากใบหน้าเขา

เมื่อเกิดเสียงนี้ แผลกระบี่บนหน้าเขาก็กว้างออกจนมีขนาดกว้างครึ่งนิ้ว แผลที่น่ากลัวนี้ลึกจนเห็นกระดูกและเลือดไหลออกมา

เฉินฉางเซิงยืนตรงหน้าบันไดหินเก็บกระบี่เข้าฝัก

ขนหยาบหนาหลายเส้นร่วงลงกลางอากาศและตกลงสู่พื้น ส่งเสียงราวกับเข็มเหล็กตกพื้น

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น เฉินฉางเซิงก็เริ่มไอ ไออย่างรุนแรง ใบหน้าซีดขาวขึ้นทุกครั้งที่ไอ เท้าที่เหยียบลงบนหินแหลกสั่นเล็กน้อย ร่างส่ายเอนจนแทบล้ม

เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนักกว่าเสี่ยวเต๋อ

เสี่ยวเต๋อมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก แต่ไม่ใช่เพราะเขาถูกเฉินฉางเซิงทำร้ายบาดเจ็บ ไม่ใช่เพราะร่างทนทานของเขาไม่อาจต้านทานกระบี่ไร้ราคีที่มีชื่ออยู่ในอันดับร้อยศาสตรา แต่เป็นเพราะไม่มีรอยแผลกระบี่บนร่างเฉินฉางเซิงเลย นี่หมายความว่าการต่อสู้ปั่นป่วนในตอนนี้ ไม่มีกระบี่ใดของยอดฝีมือราชสำนักหลายสิบคนสามารถเข้าใกล้เฉินฉางเซิงได้เลย

ด้วยเผชิญกับการลงมือเต็มกำลังของเสี่ยวเต๋อ เฉินฉางเซิงได้รับบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด แล้วเขาสามารถควบคุมกระบี่หลายร้อยเล่มได้อย่างไร

เสี่ยวเต๋อสับสนอย่างมาก ต้องรู้ว่าถึงแม้ดวงจิตของเฉินฉางเซิงนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป แต่ก็ไม่เกินไปสำหรับยอดฝีมืออย่างเสี่ยวเต๋อ

แล้วเฉินฉางเซิงทำได้อย่างไรกัน

เสี่ยวเต๋อมองอย่างเงียบงันไปยังกระบี่หลายร้อยเล่มที่ลอยอยู่ในอากาศ

เขาไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่เขาพอจะแน่ใจว่าหากเฉินฉางเซิงต้องการที่จะควบคุมกระบี่ทั้งหมดพร้อมกัน เขาต้องสิ้นเปลืองพลังจิตอย่างมาก

ในการต่อสู้เช่นนี้ ถึงแม้ว่าเฉินฉางเซิงยังไม่ล้มลง ดวงจิตของเขาก็ต้องแห้งเหือดไปแล้ว

“เจ้าจะทนได้อีกสักแค่ไหนเชียว”

เสี่ยวเต๋อดึงสายตากลับมาจากกระบี่พวกนั้นและหันไปทางเฉินฉางเซิง “หากเจ้าฝืนยืนอยู่ ก็มีแต่จบลงด้วยการที่ข้าใช้หมัดแล้วหมัดเล่าตีเจ้าจนตาย”

กระบี่หลายร้อยเล่มลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบงัน ป้องกันพื้นที่โดยรอบของเฉินฉางเซิง

นี่นับได้ว่าเป็นค่ายกลกระบี่ป้องกัน หรือเป็นค่ายกลโจมตี แต่ก็ยังเป็นกรงขังอีกด้วย

เป็นเรื่องยากที่คนอื่นจะบุกเข้าไปในคุกนี้ แต่ก็ยากที่เฉินฉางเซิงจะออกมาเช่นกัน เขาไม่กล้าที่จะเปิดประตู

ดังนั้นเขาจะทนได้นานเท่าใด

“ข้าไม่รู้” เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญอีกเล็กน้อยแล้วกล่าว “ข้าสามารถอยู่ได้จนกว่าโจวทงจะตาย”

ด้วยคำตอบนี้ เสี่ยวเต๋อก็เข้าใจในที่สุดและตกตะลึงอยู่บ้าง

อันที่จริงเฉินฉางเซิงได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้ว แต่เขารู้ว่ายอดฝีมือของราชสำนักที่ล้อมเขาเอาไว้ไม่ยอมเชื่อ

ทว่าตอนนี้เสี่ยวเต๋อเริ่มเชื่อเขามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเฉินฉางเซิงยังไม่จากไป ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าบันไดหิน

เฉินฉางเซิงอยู่ที่นี่ ดังนั้นเสี่ยวเต๋อและยอดฝีมือจากราชสำนักหลายคนก็ต้องอยู่ที่นี่เช่นกัน

ราชสำนักต้าโจวได้วางแผนที่จะฆ่าหวังผ้อกับเฉินฉางเซิง แต่ตอนนี้เสี่ยวเต๋อได้ยอมทิ้งความคิดนี้ไป

เขารู้ว่าเฉินฉางเซิงยังมีลูกไม้ซ่อนอยู่ ด้วยเพียงกระบี่ที่ลอยอยู่ในอากาศพวกนี้ ไม่มีทางที่เฉินฉางเซิงจะเอาชนะหลินกงกงในสำนักฝึกหลวงได้

หากเฉินฉางเซิงใช้ลูกไม้นั้นออกมา อย่างน้อยเขาก็จะฝ่าวงล้อมออกไปได้

ทำไมเขาไม่จากไป หรือเขาแค่ถ่วงเวลารอให้บางคนลงมือสังหารโจวทง

เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไรอีก เขาได้ตอบคำถามไปแล้ว ตอบถึงสองครั้ง

นับตั้งแต่วันนี้เริ่มขึ้น เขากับหวังผ้อก็ต้องการฆ่าโจวทง

หลังจากนั้น ราชสำนักก็ยกเอาเรื่องนี้มาใช้สังหารเขากับหวังผ้อ

สถานการณ์เปลี่ยนผันอยู่ตลอดเวลา พลิกกลับไปมาอยู่เสมอ

คนผู้นั้นไม่เคยปรากฏตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว เป็นไปได้มากว่าถูกศิษย์พี่รั้งเอาไว้ในวังหลวง

พระราชวังหลีนิ่งเงียบตลอดมา คาดว่าถูกนักปราชญ์สะกดเอาไว้ชั่วคราว แต่นักปราชญ์ผู้นั้นก็ไม่มีกำลังไปทำเรื่องอื่นอีก

ในสถานการณ์ทั้งหมด ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดก็คือเถี่ยซู่ไม่อาจฆ่าหวังผ้อได้ ในทางกลับกันหวังผ้อเป็นฝ่ายฆ่าเขา

ดังนั้นทุกอย่างจึงกลับคืนสู่ต้นกำเนิด

คืนสู่จุดเริ่มต้นที่สุด

ยังคงเป็นการฆ่าโจวทง

ดังนั้นเขาจึงต้องฝืนทนอยู่ที่นี่ ทนจนกว่าโจวทงจะตาย

เขาเชื่อว่าการตายของโจวทงเป็นเรื่องแน่นอน

ไม่ว่าใครจะเป็นคนฆ่า เขาก็ต้องถูกฆ่าอยู่ดี