ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 48 ข้าไร้ผู้ต้านท่ามกลางศัตรูในขั้นเดียวกัน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ข่าวลือแพร่ไปทั่วเมื่อสองปีก่อน ทว่าไม่มีใครเชื่อ ดังนั้นข่าวจึงค่อยๆ ถูกลืมเลือน

ข่าวลือนั้นเหลวไหลเกินไป

ไม่ว่าเฉินฉางเซิงมีพรสวรรค์ในวิถีกระบี่เพียงใด ก็ยังเป็นเรื่องเหลวไหล

วันนี้ยอดฝีมือเหล่านี้ได้เห็นข่าวลือนี้กับตา ก็ตระหนักได้ว่าข่าวลือเป็นจริง

มันเหลวไหลเกินไปจริงๆ

อย่างแรก คนผู้หนึ่งครอบครองกระบี่มากเพียงนี้ได้อย่างไร

อย่างที่สอง คนผู้หนึ่งมีดวงจิตที่แข็งแกร่งเพียงนี้ได้อย่างไร ทรงพลังจนเกินจินตนาการ หนักแน่นจนน่าประหลาดในการที่สามารถควบคุมกระบี่ได้มากมายขนาดนี้ นอกจากนี้ยังไม่ใช่การควบคุมอย่างง่ายๆ หากเพียงแค่ใช้ดวงจิตสั่งกระบี่เหล่านี้ให้ฟันแทง ไม่อาจบังคับอย่างซับซ้อนหรือตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ก็ไม่อาจใช้สู้กับยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวอย่างพวกเขาได้ และพวกเขาก็จะทำเหมือนกับกระบี่พวกนี้ไม่มีตัวตน

ใช่แล้ว คนผู้หนึ่งต้องมีกระบี่จำนวนมาก มีดวงจิตที่แข็งแกร่งพอที่จะควบคุมพวกมันทั้งหมดและใช้เพลงกระบี่ที่หลากหลายได้

คุณสมบัติเหล่านี้สูงส่งเกินไป ดังนั้นพูดตามเหตุผล คนที่สามารถทำเช่นนี้ไม่ควรมีอยู่ในท้องฟ้าพร่างดาว

แต่เงื่อนไขเหล่านี้ดูเหมือนจะสร้างมาเพื่อเฉินฉางเซิงโดยเฉพาะ

เขามีกระบี่มากมาย ก็สามารถควบคุมพวกมันได้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ กระบี่พวกนี้ยินยอมทำตามความต้องการของเขา นอกจากนี้เขายังมีเพลงกระบี่มากมาย

ดังนั้นเฉินฉางเซิงย่อมสามารถทำเรื่องที่เหลวไหลนี้ได้

ดังนั้นสำหรับยอดฝีมือของราชสำนัก การต่อสู้วันนี้ก็เป็นเรื่องเหลวไหล

เฉินฉางเซิงแค่ต้องใช้กระบี่กลางอากาศเหล่านี้แสดงเพลงกระบี่ออกมา ก็จะเท่ากับมีเฉินฉางเซิงหลายสิบหรือหลายร้อยคนโจมตี

แล้วพวกเขาจะสู้ได้อย่างไร

เกล็ดหิมะร่วงจากท้องฟ้าลงสู่ไหล่ของเฉินฉางเซิง ทำให้เกิดชั้นสีขาวขึ้นมา

ในเวลาเดียวกันเกล็ดหิมะก็ตกลงบนกระบี่หลายร้อยเล่มที่ล้อมเขาเอาไว้ สร้างเส้นสีขาวมากมายลอยอยู่กลางอากาศ

เขาเดินไปข้างหน้า กระบี่หลายร้อยเล่มในอากาศก็เคลื่อนตามไปอย่างเงียบงัน

เป็นภาพที่ประหลาดน่าหวาดกลัว

กระบี่พวกนี้สั่นไหวในหิมะ ไม่ส่งเสียงอันใด มีแต่ตอนที่พลังภายนอกมารบกวน กระบี่จึงจะส่งเสียงครืนๆ ออกมา

ประกายกระบี่หลายสายพลันส่องแสงท่ามกลางพายุหิมะ เสียงดังเคล้งดังตุบจำนวนมากดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน

เลือดสาดกระจายอยู่บนพื้น

กระบี่ที่แตกเป็นเสี่ยงปักเข้าใส่กำแพง

ประกายกระบี่สลายในทันที แล้วทั้งหมดก็กลับคืนสู่ความเงียบ

สองยอดฝีมือจากวังหลวงพยายามลอบโจมตี ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะผ่านม่านกระบี่หลายร้อยเล่มมาได้ พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บและถูกบีบให้หนีไป

มีร่องรอยหลงเหลืออยู่กลางลมหิมะ จากสิ่งนี้ก็เห็นได้ถึงการปรากฏขึ้นของกระบวนท่าที่สองของเพลงกระบี่แท้นิกายหลวงและกระบวนท่าเก็บเมฆสนธยาของเพลงกระบี่เวิ่นสุ่ยสามกระบวนท่า

เฉินฉางเซิงเดินออกมาจากลานบ้านที่พังทลาย มีกระบี่หลายร้อยเล่มตามมา พุ่งใส่กำแพงของลานบ้านราวกับฝูงปลาที่แหวกว่ายผ่านก้อนหิน

ลานบ้านที่เขาเดินเข้าไปมีถังน้ำขนาดใหญ่ น้ำภายในถังเริ่มกลายเป็นชั้นน้ำแข็งบางๆ

เฉินฉางเซิงมองไปทางนั้น

กระบี่หลายร้อยเล่มเคลื่อนไหวตามสายตาของเขาและเล็งไปที่ถังน้ำ

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ! เสียงตัดนับไม่ถ้วนดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน ตัดแผ่นน้ำแข็งบางไปพร้อมกับตัวถังน้ำเอง

น้ำกระเด็นออกจากถังน้ำ ชะล้างหิมะบนพื้นจนเสียรูป ในเวลาเดียวกันมือสังหารที่อาบไปด้วยเลือดก็ร่วงลงสู่พื้น

ร่างมือสังหารเต็มไปด้วยรอยกระบี่ มีเลือดไหลออกมา แต่เหมือนกับว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บปวด เพียงแค่มองไปที่เฉินฉางเซิงอย่างตกใจเท่านั้น

“ถอยไปอีกหน่อย!” เจ้าหน้าที่จากกรมอาญาตะโกนออกมา

พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้มากมาย จึงมีปฏิกิริยารวดเร็ว ตราบใดที่พวกเขาอยู่ห่างพอ แรงกดดันจากกระบี่พวกนี้ก็อ่อนลงมาก

บางคนประมาณการไว้ว่าระยะห่างที่ปลอดภัยก็คือประมาณแปดจั้ง

ยอดฝีมือหลายสิบคนบินผ่านอากาศไปในทันที กระจายตัวเข้าสู่พื้นที่โดยรอบลานบ้านทิ้งระยะห่างกับเฉินฉางเซิงสิบกว่าจั้ง อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครจากไป

ฝีเท้าของเฉินฉางเซิงไม่ช้าลงแม้แต่น้อยเมื่อเห็นภาพนี้ เขาเดินต่อไปกลับเข้าสู่ลานบ้านในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งอย่างรวดเร็ว

ต้นไห่ถังไม่เหลือใบ กิ่งไม้เปลือยเปล่าที่ยืดสู่ท้องฟ้ากินพื้นที่เพียงเล็กน้อย

ทว่าเมื่อกระบี่หลายร้อยเล่มมาถึงลานบ้าน พื้นที่ก็กลายเป็นแออัดอยู่บ้าง

กิ่งขาดไม่ใช่ใบไม้ร่วง เมื่อมันร่วงลงมาก็ไม่ส่งเสียงกรอบแกรบ

ต้นไห่ถังถูกย้ายมาจากภูเขานอกเมืองจิงตูเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เปลี่ยนเป็นเศษไม้จำนวนนับไม่ถ้วนกองอยู่ในหิมะ

ภาพนี้ประหลาดอยู่บ้าง

กระบี่เต็มลานบ้านแผ่กลิ่นอายที่แข็งกร้าวรวดเร็ว

โลกถูกห้อมล้อมด้วยเจตจำนงกระบี่ที่น่ากลัว

ใครก็ตามที่ต้องการจะบุกผ่านกระบี่เหล่านี้เพื่อโจมตีเฉินฉางเซิง ต้องเจอกับเจตจำนงกระบี่ที่น่าหวาดกลัว

บนถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เขากับหวังผ้อได้แยกทางกันและต่างก็ไปทำหน้าที่ของตัวเอง

หวังผ้อได้ไปสู้กับเถี่ยซู่เพราะเขามีทักษะในการต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งกว่า เรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วเมื่อเขาทำภารกิจนี้ได้สำเร็จจริงๆ

เฉินฉางเซิงได้มายังลานบ้านเพื่อสังหารโจวทงเพราะเขามีความสามารถในการต่อสู้กับคนจำนวนมาก

“ในที่สุดเจ้าก็ใช้วิชาที่กล้าแข็งที่สุดออกมา”

เสี่ยวเต๋อยืนอยู่ที่ประตูหินของลานบ้านมองดูเฉินฉางเซิง

ในตอนนี้ เฉินฉางเซิงยืนอยู่บนบันไดหิน ระยะห่างระหว่างทั้งสองไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่มากไม่น้อย แปดจั้งพอดี

ระยะห่างนี้บ่งบอกหลายสิ่ง อย่างแรกเสี่ยวเต๋อไม่มีความมั่นใจว่าจะต้านทานการโจมตีจากกระบี่หลายร้อยเล่มได้ อย่างที่สองเขาดูเหมือนจะมีความเข้าใจกับวิชาที่เฉินฉางเซิงใช้อย่างล้ำลึก

เช่นเดียวกับกระบี่ของเขา

หลายวันก่อนหลินกงกงได้รับบาดเจ็บสาหัสในสำนักฝึกหลวง ทำให้คนมากมายที่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นต้องตกตะลึง

กับคนในระดับเสี่ยวเต๋อ วิชาของเฉินฉางเซิงไม่ได้เป็นความลับนานแล้ว

“กับคนที่อยู่ในขั้นเดียวกัน เจ้าเป็นคนที่เรียกได้ว่าไร้ผู้ต้านจริง”

เสี่ยวเต๋อกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหดหู่อยู่บ้าง

การไร้ผู้ต้านในระดับเดียวกันนั้นฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาแต่อันที่จริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น

หลายพันปีที่ผ่านมา ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถทำได้ ไม่แม้แต่คนเดียว

ก่อนที่เขาจะทะลวงผ่าน หวังผ้อมีระดับความแข็งแกร่งระดับเดียวกับเซวียสิ่งชวน ตอนที่ซูหลีอยู่ในขั้นแรกของขั้นรวบรวมดวงดาว เขาเคยถูกหญิงสาวบางคนในทุ่งหิมะแดนเหนือทุบตีราวสุนัขตัวหนึ่ง แม้แต่โจวตู๋ฟูที่ถูกเรียกว่าสุดยอดฝีมือใต้ท้องฟ้าพร่างดาว ตอนที่เขาอยู่ในขั้นสูงของขั้นทะลวงอเวจีก็ไม่ใช่คู่มือของเฉินเสวียนป้า แม้ว่าตอนนั้นเฉินเสวียนป้าก็อยู่ขั้นสูงของขั้นทะลวงอเวจีเช่นกัน

ตอนนี้เฉินฉางเซิงนับว่าไร้ผู้ต้านในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันอย่างแท้จริง

เขาในตอนนี้อยู่ในขั้นต้นของขั้นรวบรวมดวงดาว มีสัญญาณเลือนรางว่าเขากำลังจะทะลวงสู่ขั้นต่อไป

แต่อย่าว่ายอดฝีมือขั้นต้นของขั้นรวบรวมดวงดาวเลย แม้แต่ยอดฝีมือขั้นกลางของขั้นรวบรวมดวงดาวก็ยังไม่อาจเอาชนะเขาได้

ไม่แม้แต่คนเดียว

มันไม่อาจเป็นไปได้

เพราะจำนวนกระบี่ที่เขามีนั้นเป็นตัวแทนจำนวนตัวเขาเอง

สู้กับเขาก็คือสู้กับเขาจำนวนหลายร้อยคน

แล้วใครจะสู้เขาได้

“โชคยังดีที่เจ้าแค่ไร้ผู้ต้านท่ามกลางศัตรูในขั้นเดียวกันเท่านั้น”

เสี่ยวเต๋อถอนหายใจแล้วกล่าว “ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องหันกลับและจากไป”