หวังผ้อเกิดในเทียนเหลียง ย่อมมิใช่ชาวใต้ แต่เพราะความแค้นระหว่างเขากับราชสำนัก ผู้คนในแดนใต้จึงยินดีอย่างมากที่จะรับเขาเอาไว้
ส่งผลให้ตอนที่เขากลายเป็นเจ้าสำนักต้นไหว เขาจึงไม่ได้พบกับความรุนแรงและการเป็นปฏิปักษ์ หากแต่เป็นการต้อนรับ
เทียบกับซูหลี หวังผ้อมีลักษณะนิสัยและบุคลิกที่มีความรับผิดชอบและไว้ใจได้มากกว่าสำหรับชาวใต้
พูดอีกอย่างหนึ่งเขาเหมาะสมยิ่งกว่าซูหลีที่จะเป็นผู้ชูธงแห่งแดนใต้ แต่ก่อนอื่นเขาต้องยกธงขึ้นก่อน
เหล่าชาวใต้ล้วนรอวันที่เขาจะทะลวงผ่านกลายเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ ทว่าไม่มีใครคาดคิดว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วเช่นนี้ ฉับพลันจนไม่มีการเตรียมการอันใด
วันนี้ดาบของเขาได้ตัดผ่านท้องฟ้าจิงตูและยกธงขึ้นโบกสะบัดในสายลม แดนใต้ได้ต้อนรับผู้ชูธงในที่สุด
นอกเหนือจากคนในตำนานที่ไม่ถูกบันทึกเอาไว้ เขานับเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์
บางทีในอนาคต ชิวซานจวินที่เป็นตัวแทนของคนรุ่นเยาว์อาจจะเอาชนะความสำเร็จนี้ได้ แต่กระนั้นก็ไม่มีใครแน่ใจได้
……
……
อีกด้านหนึ่งของแม่น้ำลั่ว รถม้าสามคันค่อยๆ ถอยไป กิ่งหลิวพลิ้วไหวในสายลมไร้กำลังจะห้ามปราม
ประมุขรองตระกูลถังมองภาพนี้ด้วยสีหน้าหม่นมัวอย่างบรรยายไม่ถูก แต่ก็ไม่ทำอะไร ขุนพลเทพทั้งสองกับทหารม้ากองทัพอวี่หลินหลายร้อยนายก็นิ่งเงียบเช่นกัน
รถม้าทั้งสามดูไม่ได้เด่นสะดุดตา ทว่าเป็นตัวแทนของแดนใต้ทั้งหมด และจุดยืนของพวกเขาก็ชัดเจนอย่างยิ่ง
พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ หากลงมือ ก็เท่ากับว่าราชสำนักและตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยแสดงความเป็นปฏิปักษ์กับแดนใต้ทั้งหมด
ไม่มีใครสามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้ แม้แต่คนอย่างประมุขรองตระกูลถังคนสำคัญที่ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยส่งมายังจิงตูก็ไม่อาจทำได้
ทั่วทั้งจิงตูหรืออาจทั่วทั้งต้าลู่ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่แบกรับความรับผิดชอบนี้ได้
ปรมาจารย์เต๋าซางสิงโจว
ประมุขรองตระกูลถังดึงสายตากลับมาจากภาพนั้นและหันไปทางเหนือ
มีสองภารกิจที่ต้องทำให้เสร็จในวันนี้ และภารกิจหนึ่งล้มเหลวไปแล้ว ภารกิจที่เหลือจึงสำคัญยิ่งกว่า
ตำแหน่งสังฆราชเป็นตัวแทนอำนาจและทรัพยากรอันกว้างใหญ่ของนิกายหลวง ดังนั้นแม้ปัญหาเดียวก็ไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้นได้
เฉินฉางเซิงต้องตาย
เมฆและหิมะเป็นเสมือนฝูงแกะถูกแส้ไล่ต้อน ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยไปบนท้องฟ้าหม่นมัว
นักปราชญ์จากเมืองไป๋ตี้อยู่ในพระราชวังหลี ทำให้เกิดสมดุลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ชาวใต้ไม่เอาตัวเองมายุ่งเกี่ยวกับความเป็นตายของเฉินฉางเซิง ไม่สนใจเรื่องใครจะเป็นผู้สืบทอดนิกายหลวง และคนอย่างผู้นำตระกูลชิวซานก็ยินดีมากที่จะดูเฉินฉางเซิงตายไป
ดังนั้นย่อมไม่มีใครมาเพื่อช่วยเฉินฉางเซิง
จากมุมมองนี้ก็บอกได้ว่าเหตุการณ์วันนี้ไม่มีได้ไม่มีเสีย
……
……
รถม้าทั้งสามออกจากจิงตูโดยไม่มีใครขวางทางพวกเขา
ที่ราบห้าลี้ปกคลุมด้วยหิมะสามารถมองเห็นได้ตรงข้ามแม่น้ำไป่ เมื่อข้ามสะพานไป ก็จะถึงถนนที่กลับสู่แดนใต้
กวนเฟยไป๋เรียกให้รถม้าหยุด กล่าวกับผู้นำตระกูลชิวซานไม่กี่คำ คำนับแล้วก็เตรียมตัวจากไป
ม่านตรงของรถม้าคันหน้าเปิดขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวของหวังผ้อ
“เจ้าจะทำอะไร”
กวนเฟยไป๋ตอบ “คนผู้นั้นต้องเจอปัญหาใหญ่ ข้าจะไปดูว่าจะช่วยอะไรเขาได้บ้างหรือไม่”
เขาพูดอย่างเป็นธรรมชาติ ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ดังนั้นน้ำเสียงอันมั่นคงก็ยังมีกลิ่นอายของความมั่นใจและกล้าหาญ
หวังผ้อยิ้มพลางคิดในใจ สำนักกระบี่หลีซานช่างไม่ธรรมดา ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้แข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสซูหลีมากนัก
“ไม่จำเป็นต้นองไป คนผู้นั้นมีแผนของตัวเอง ไม่ต้องให้ใครไปช่วย” เขาอธิบาย
เมื่อพวกเขาเดินออกจากจวนของรองเจ้ากรมสู่ตอนเหนือของเมือง ก็ได้พูดคุยกันหลายเรื่องที่ริมแม่น้ำลั่ว พูดถึงหวังจื่อเช่อและสวนโจว วิถีดาบและจิตวิญญาณกระบี่ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะพูดเรื่องภารกิจที่พวกเขากำลังจะทำ
คนผู้นั้นนอกจากขอร้องให้เขาช่วยขวางเถี่ยซู่เอาไว้แล้ว ก็ไม่มีคำขอร้องอื่นอีก
หวังผ้อทำมากกว่าที่ขอถึงกับสังหารเถี่ยซู่ ดังนั้นคนผู้นั้นย่อมต้องทำทุกอย่างได้เสร็จสิ้นอย่างแน่นอน
……
……
หิมะตกลงท่ามกลางซากปรักหักพัง ตกลงบนไหล่ของคนผู้นั้น
ประกายกระบี่ยื่นออกจากพายุหิมะราวกับสายฟ้า
ในตอนนี้ประกายกระบี่ยังอยู่ห่างจากเฉินฉางเซิงไปสิบกว่าจั้งแต่ก็ใกล้มาถึงแล้ว ระยะห่างนี้ไม่มีค่าอันใดต่อยอดมือกระบี่ขั้นรวบรวมดวงดาว
เฉินฉางเซิงไม่มองไปที่ประกายกระบี่ ดวงตายังคงจับจ้องมองสี่ยวเต๋อ เขาทำราวกับประกายกระบี่นี้ไม่เคยดำรงอยู่ ทำให้เขาดูเย่อหยิ่งจองหองเป็นอย่างยิ่ง
แต่ในความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ในขณะที่ประกายกระบี่ปรากฏขึ้น เขาก็ใช้กระบี่ตอบโต้ไป เพียงแต่มีแค่เสี่ยวเต๋อที่อยู่ใกล้เท่านั้นที่รับรู้ได้
เสียงดังเคล้งสะท้อนไปทั่วลานบ้านในส่วนลึกของตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง
เป็นเสียงของกระบี่สองเล่มปะทะกัน
หิมะกระจายไปในทันทีเมื่อยอดฝีมือกรมอาญาถูกบีบให้เผยตัวออกมาและถอยไปพร้อมเสียงคำราม
มีรูขนาดเท่าเม็ดข้าวปรากฏขึ้นบนกระบี่ในมือของเขา
นี่เป็นกระบี่ประจำสำนักของเขาเป็นสมบัติที่เขาเทิดทูน แต่เขาไม่มีเวลามาเสียใจ เพราะในใจของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
เขามองไปที่อากาศตรงหน้า ใบหน้าซีดขาวราวกับเห็นผี
กระบี่โบราณลอยอยู่ในอากาศ ส่งเสียงหึ่งเบาๆ
นี่เป็นกระบี่แบบใดกัน ทำไมถึงสามารถทำลายกระบี่ประจำสำนักของเขาได้
ที่สำคัญยิ่งกว่า…กระบี่นี้มาจากไหนกัน
ในขณะที่เขาจมอยู่ในความตกใจ ประกายกระบี่อีกสายหนึ่งก็แทงออกจากหิมะเข้าใส่เฉินฉางเซิง
ประกายกระบี่นี้ชั่วร้ายยิ่งกว่า พุ่งขึ้นจากดินห่างไปสองฉื่อ พุ่งออกมาจากมุมที่แยบคาย ถึงกับบรรจุไว้ด้วยกลิ่นอายเพลงกระบี่ที่เผ่าพ่อมดใช้
เฉินฉางเซิงเห็นประกายกระบี่นี้แต่ก็ยังไม่เคลื่อนไหว
หิมะปั่นป่วน กระบี่เก่าเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าประกายกระบี่ ดูเหมือนจะผุดขึ้นมากลางอากาศ
กระบี่ทั้งสองปะทะกันหลายครั้ง
มือสังหารจากหอความลับสวรรค์ร่วงลงจากต้นไม้ตกลงไปในหิมะ เลือดพุ่งออกจากบาดแผลบนแขนซ้ายพร้อมเสียงโหยหวน
“เกิดอะไรขึ้น!”
มือสังหารตะโกนด้วยความตกใจ ใช้วิชาท่าร่างพร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่อย่างบ้าคลั่ง ใช้วิธีทั้งหมดต่อต้านการไล่ล่าของกระบี่เก่าเล่มนี้
จากนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นในอากาศหลายครั้ง
ยอดฝีมือหลายคนจากกองทัพต้าโจวที่พยายามลอบโจมตี ส่งเสียงครางถลาถอยกลับไปที่กำแพงของลานบ้าน
มือที่ถือกระบี่สั่นเทา ใบหน้าตึงเครียด
กระบี่หลายเล่มปรากฏขึ้นในอากาศ กระบี่พวกนี้หนาและหนักกว่ากระบีที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้
แม้แต่หลังจากผ่านเวลามานานหลายศตวรรษ กระบี่หนักพวกนี้ยังมีพลังที่น่าหวาดกลัว
บรรยากาศประหลาดปกคลุมไปทั่วลานบ้าน
ไม่มีใครโจมตีอีก
กระบี่เก่าที่ไล่ล่ามือสังหารจากหอความลับสวรรค์บินผ่านหิมะ ลอยอยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิง
กระบี่สิบกว่าเล่มลอยอยู่เงียบๆ กลางอากาศรอบกายเขา แบกเกล็ดหิมะที่ตกลงมาจากท้องฟ้าและปกป้องอยู่ทุกแง่มุม
กระบี่พวกนี้มีรูปร่างต่างกัน มีปราณต่างกัน ทว่ามีลักษณะหนึ่งที่เหมือนกัน พวกมันเก่าแก่มาก
กระบี่บางเล่มถึงกับมีสนิมให้เห็น แต่ก็ไม่อาจบดบังความแหลมคมได้
ภาพนี้ทำให้ยอดฝีมือจากราชสำนักนึกถึงข่าวลือขึ้นมาได้ ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นมืดหม่นอย่างบรรยายไม่ถูก บางคนถึงกับเริ่มกลัวขึ้นมา
หากข่าวลือเป็นจริง กระบี่พวกนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ดังที่คิดไว้ ในไม่ช้าพวกเขาก็ได้ยินเสียงจำนวนมาก
เคล้ง เคล้ง เคล้ง เคล้ง!
นี่ไม่ใช่เสียงกระบี่เสียดสีกับฝักแต่เป็นเสียงคมกระบี่ตัดผ่านอากาศ
กระบี่นับไม่ถ้วนบินออกมาจากร่างของเฉินฉางเซิง
พวกมันเป็นเหมือนฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสระน้ำลึก
เจตจำนงกระบี่ระเบิดอยู่ในลานบ้าน ประกายกระบี่พุ่งไปข้างหน้า กลบฝังลมหิมะไว้เบื้องล่าง