ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 47 เรื่องเก่าของหมื่นกระบี่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หวังผ้อเกิดในเทียนเหลียง ย่อมมิใช่ชาวใต้ แต่เพราะความแค้นระหว่างเขากับราชสำนัก ผู้คนในแดนใต้จึงยินดีอย่างมากที่จะรับเขาเอาไว้

ส่งผลให้ตอนที่เขากลายเป็นเจ้าสำนักต้นไหว เขาจึงไม่ได้พบกับความรุนแรงและการเป็นปฏิปักษ์ หากแต่เป็นการต้อนรับ

เทียบกับซูหลี หวังผ้อมีลักษณะนิสัยและบุคลิกที่มีความรับผิดชอบและไว้ใจได้มากกว่าสำหรับชาวใต้

พูดอีกอย่างหนึ่งเขาเหมาะสมยิ่งกว่าซูหลีที่จะเป็นผู้ชูธงแห่งแดนใต้ แต่ก่อนอื่นเขาต้องยกธงขึ้นก่อน

เหล่าชาวใต้ล้วนรอวันที่เขาจะทะลวงผ่านกลายเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ ทว่าไม่มีใครคาดคิดว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วเช่นนี้ ฉับพลันจนไม่มีการเตรียมการอันใด

วันนี้ดาบของเขาได้ตัดผ่านท้องฟ้าจิงตูและยกธงขึ้นโบกสะบัดในสายลม แดนใต้ได้ต้อนรับผู้ชูธงในที่สุด

นอกเหนือจากคนในตำนานที่ไม่ถูกบันทึกเอาไว้ เขานับเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์

บางทีในอนาคต ชิวซานจวินที่เป็นตัวแทนของคนรุ่นเยาว์อาจจะเอาชนะความสำเร็จนี้ได้ แต่กระนั้นก็ไม่มีใครแน่ใจได้

……

……

อีกด้านหนึ่งของแม่น้ำลั่ว รถม้าสามคันค่อยๆ ถอยไป กิ่งหลิวพลิ้วไหวในสายลมไร้กำลังจะห้ามปราม

ประมุขรองตระกูลถังมองภาพนี้ด้วยสีหน้าหม่นมัวอย่างบรรยายไม่ถูก แต่ก็ไม่ทำอะไร ขุนพลเทพทั้งสองกับทหารม้ากองทัพอวี่หลินหลายร้อยนายก็นิ่งเงียบเช่นกัน

รถม้าทั้งสามดูไม่ได้เด่นสะดุดตา ทว่าเป็นตัวแทนของแดนใต้ทั้งหมด และจุดยืนของพวกเขาก็ชัดเจนอย่างยิ่ง

พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ หากลงมือ ก็เท่ากับว่าราชสำนักและตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยแสดงความเป็นปฏิปักษ์กับแดนใต้ทั้งหมด

ไม่มีใครสามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้ แม้แต่คนอย่างประมุขรองตระกูลถังคนสำคัญที่ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยส่งมายังจิงตูก็ไม่อาจทำได้

ทั่วทั้งจิงตูหรืออาจทั่วทั้งต้าลู่ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่แบกรับความรับผิดชอบนี้ได้

ปรมาจารย์เต๋าซางสิงโจว

ประมุขรองตระกูลถังดึงสายตากลับมาจากภาพนั้นและหันไปทางเหนือ

มีสองภารกิจที่ต้องทำให้เสร็จในวันนี้ และภารกิจหนึ่งล้มเหลวไปแล้ว ภารกิจที่เหลือจึงสำคัญยิ่งกว่า

ตำแหน่งสังฆราชเป็นตัวแทนอำนาจและทรัพยากรอันกว้างใหญ่ของนิกายหลวง ดังนั้นแม้ปัญหาเดียวก็ไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้นได้

เฉินฉางเซิงต้องตาย

เมฆและหิมะเป็นเสมือนฝูงแกะถูกแส้ไล่ต้อน ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยไปบนท้องฟ้าหม่นมัว

นักปราชญ์จากเมืองไป๋ตี้อยู่ในพระราชวังหลี ทำให้เกิดสมดุลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

ชาวใต้ไม่เอาตัวเองมายุ่งเกี่ยวกับความเป็นตายของเฉินฉางเซิง ไม่สนใจเรื่องใครจะเป็นผู้สืบทอดนิกายหลวง และคนอย่างผู้นำตระกูลชิวซานก็ยินดีมากที่จะดูเฉินฉางเซิงตายไป

ดังนั้นย่อมไม่มีใครมาเพื่อช่วยเฉินฉางเซิง

จากมุมมองนี้ก็บอกได้ว่าเหตุการณ์วันนี้ไม่มีได้ไม่มีเสีย

……

……

รถม้าทั้งสามออกจากจิงตูโดยไม่มีใครขวางทางพวกเขา

ที่ราบห้าลี้ปกคลุมด้วยหิมะสามารถมองเห็นได้ตรงข้ามแม่น้ำไป่ เมื่อข้ามสะพานไป ก็จะถึงถนนที่กลับสู่แดนใต้

กวนเฟยไป๋เรียกให้รถม้าหยุด กล่าวกับผู้นำตระกูลชิวซานไม่กี่คำ คำนับแล้วก็เตรียมตัวจากไป

ม่านตรงของรถม้าคันหน้าเปิดขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวของหวังผ้อ

“เจ้าจะทำอะไร”

กวนเฟยไป๋ตอบ “คนผู้นั้นต้องเจอปัญหาใหญ่ ข้าจะไปดูว่าจะช่วยอะไรเขาได้บ้างหรือไม่”

เขาพูดอย่างเป็นธรรมชาติ ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ดังนั้นน้ำเสียงอันมั่นคงก็ยังมีกลิ่นอายของความมั่นใจและกล้าหาญ

หวังผ้อยิ้มพลางคิดในใจ สำนักกระบี่หลีซานช่างไม่ธรรมดา ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้แข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสซูหลีมากนัก

“ไม่จำเป็นต้นองไป คนผู้นั้นมีแผนของตัวเอง ไม่ต้องให้ใครไปช่วย” เขาอธิบาย

เมื่อพวกเขาเดินออกจากจวนของรองเจ้ากรมสู่ตอนเหนือของเมือง ก็ได้พูดคุยกันหลายเรื่องที่ริมแม่น้ำลั่ว พูดถึงหวังจื่อเช่อและสวนโจว วิถีดาบและจิตวิญญาณกระบี่ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะพูดเรื่องภารกิจที่พวกเขากำลังจะทำ

คนผู้นั้นนอกจากขอร้องให้เขาช่วยขวางเถี่ยซู่เอาไว้แล้ว ก็ไม่มีคำขอร้องอื่นอีก

หวังผ้อทำมากกว่าที่ขอถึงกับสังหารเถี่ยซู่ ดังนั้นคนผู้นั้นย่อมต้องทำทุกอย่างได้เสร็จสิ้นอย่างแน่นอน

……

……

หิมะตกลงท่ามกลางซากปรักหักพัง ตกลงบนไหล่ของคนผู้นั้น

ประกายกระบี่ยื่นออกจากพายุหิมะราวกับสายฟ้า

ในตอนนี้ประกายกระบี่ยังอยู่ห่างจากเฉินฉางเซิงไปสิบกว่าจั้งแต่ก็ใกล้มาถึงแล้ว ระยะห่างนี้ไม่มีค่าอันใดต่อยอดมือกระบี่ขั้นรวบรวมดวงดาว

เฉินฉางเซิงไม่มองไปที่ประกายกระบี่ ดวงตายังคงจับจ้องมองสี่ยวเต๋อ เขาทำราวกับประกายกระบี่นี้ไม่เคยดำรงอยู่ ทำให้เขาดูเย่อหยิ่งจองหองเป็นอย่างยิ่ง

แต่ในความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ในขณะที่ประกายกระบี่ปรากฏขึ้น เขาก็ใช้กระบี่ตอบโต้ไป เพียงแต่มีแค่เสี่ยวเต๋อที่อยู่ใกล้เท่านั้นที่รับรู้ได้

เสียงดังเคล้งสะท้อนไปทั่วลานบ้านในส่วนลึกของตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง

เป็นเสียงของกระบี่สองเล่มปะทะกัน

หิมะกระจายไปในทันทีเมื่อยอดฝีมือกรมอาญาถูกบีบให้เผยตัวออกมาและถอยไปพร้อมเสียงคำราม

มีรูขนาดเท่าเม็ดข้าวปรากฏขึ้นบนกระบี่ในมือของเขา

นี่เป็นกระบี่ประจำสำนักของเขาเป็นสมบัติที่เขาเทิดทูน แต่เขาไม่มีเวลามาเสียใจ เพราะในใจของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ

เขามองไปที่อากาศตรงหน้า ใบหน้าซีดขาวราวกับเห็นผี

กระบี่โบราณลอยอยู่ในอากาศ ส่งเสียงหึ่งเบาๆ

นี่เป็นกระบี่แบบใดกัน ทำไมถึงสามารถทำลายกระบี่ประจำสำนักของเขาได้

ที่สำคัญยิ่งกว่า…กระบี่นี้มาจากไหนกัน

ในขณะที่เขาจมอยู่ในความตกใจ ประกายกระบี่อีกสายหนึ่งก็แทงออกจากหิมะเข้าใส่เฉินฉางเซิง

ประกายกระบี่นี้ชั่วร้ายยิ่งกว่า พุ่งขึ้นจากดินห่างไปสองฉื่อ พุ่งออกมาจากมุมที่แยบคาย ถึงกับบรรจุไว้ด้วยกลิ่นอายเพลงกระบี่ที่เผ่าพ่อมดใช้

เฉินฉางเซิงเห็นประกายกระบี่นี้แต่ก็ยังไม่เคลื่อนไหว

หิมะปั่นป่วน กระบี่เก่าเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าประกายกระบี่ ดูเหมือนจะผุดขึ้นมากลางอากาศ

กระบี่ทั้งสองปะทะกันหลายครั้ง

มือสังหารจากหอความลับสวรรค์ร่วงลงจากต้นไม้ตกลงไปในหิมะ เลือดพุ่งออกจากบาดแผลบนแขนซ้ายพร้อมเสียงโหยหวน

“เกิดอะไรขึ้น!”

มือสังหารตะโกนด้วยความตกใจ ใช้วิชาท่าร่างพร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่อย่างบ้าคลั่ง ใช้วิธีทั้งหมดต่อต้านการไล่ล่าของกระบี่เก่าเล่มนี้

จากนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นในอากาศหลายครั้ง

ยอดฝีมือหลายคนจากกองทัพต้าโจวที่พยายามลอบโจมตี ส่งเสียงครางถลาถอยกลับไปที่กำแพงของลานบ้าน

มือที่ถือกระบี่สั่นเทา ใบหน้าตึงเครียด

กระบี่หลายเล่มปรากฏขึ้นในอากาศ กระบี่พวกนี้หนาและหนักกว่ากระบีที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้

แม้แต่หลังจากผ่านเวลามานานหลายศตวรรษ กระบี่หนักพวกนี้ยังมีพลังที่น่าหวาดกลัว

บรรยากาศประหลาดปกคลุมไปทั่วลานบ้าน

ไม่มีใครโจมตีอีก

กระบี่เก่าที่ไล่ล่ามือสังหารจากหอความลับสวรรค์บินผ่านหิมะ ลอยอยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิง

กระบี่สิบกว่าเล่มลอยอยู่เงียบๆ กลางอากาศรอบกายเขา แบกเกล็ดหิมะที่ตกลงมาจากท้องฟ้าและปกป้องอยู่ทุกแง่มุม

กระบี่พวกนี้มีรูปร่างต่างกัน มีปราณต่างกัน ทว่ามีลักษณะหนึ่งที่เหมือนกัน พวกมันเก่าแก่มาก

กระบี่บางเล่มถึงกับมีสนิมให้เห็น แต่ก็ไม่อาจบดบังความแหลมคมได้

ภาพนี้ทำให้ยอดฝีมือจากราชสำนักนึกถึงข่าวลือขึ้นมาได้ ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นมืดหม่นอย่างบรรยายไม่ถูก บางคนถึงกับเริ่มกลัวขึ้นมา

หากข่าวลือเป็นจริง กระบี่พวกนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

ดังที่คิดไว้ ในไม่ช้าพวกเขาก็ได้ยินเสียงจำนวนมาก

เคล้ง เคล้ง เคล้ง เคล้ง!

นี่ไม่ใช่เสียงกระบี่เสียดสีกับฝักแต่เป็นเสียงคมกระบี่ตัดผ่านอากาศ

กระบี่นับไม่ถ้วนบินออกมาจากร่างของเฉินฉางเซิง

พวกมันเป็นเหมือนฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสระน้ำลึก

เจตจำนงกระบี่ระเบิดอยู่ในลานบ้าน ประกายกระบี่พุ่งไปข้างหน้า กลบฝังลมหิมะไว้เบื้องล่าง