ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 46 บทใหม่ของแดนใต้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

แม่น้ำเต็มไปด้วยแผ่นน้ำแข็งที่เลื่อนลอยไปช้าๆ สีเลือดเจิดจ้าย่อมไม่ถูกชะล้างไปเร็วนัก

เลือดที่กระจายอยู่บนกระดาษขาวรวมกับหลุมดำทำให้เซียวจางดูน่าหวาดกลัวกว่าเดิม

ในยามที่จ้องมองชายในแม่น้ำ กองทัพอวี่หลินก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ขุนพลเทพทั้งสองมองไปที่ทวนบิดงอในมือ ประกายความประหลาดใจฉายขึ้นในดวงตา พวกเขารู้ว่าคนผู้นี้แข็งแกร่ง แต่ไม่ใช่ในระดับนี้

“บัดซบ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!” ประมุขรองตระกูลถังยืนอยู่บนเขื่อนกันคลื่น ตะโกนเสียงแหลมไปยังชายที่ยืนอยู่ในแม่น้ำ

ใบหน้าหม่นหมองอย่างยิ่ง ดวงตาลุกไหม้ไปด้วยเพลิงพิโรธ เขาทั้งตกใจและโมโหอย่างเหลือเชื่อ

หวังผ้อตัดแขนตัวเองเพื่อทะลวงด่าน จากนั้นก็ใช้ดาบเดียวสังหารเถี่ยซู่ นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่อาจยอมรับได้

แต่เขาพบว่า หวังผ้อซึ่งกำลังจะตาย กลับถูกคนช่วยไว้ เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ยิ่งกว่า

ไม่มีเหตุผลที่คนผู้นี้จะมาช่วยหวังผ้อ

ฮว่าเจี๋ยเซียวจาง อันดับสองบนประกาศเซียวเหยา เป็นรองเพียงแค่หวังผ้อเท่านั้น

สายตาของคนมากมาย เขาเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองในรุ่นกลาง แต่ก็ยังอยู่ใต้หวังผ้อเพียงคนเดียว

หลายทศวรรษที่ผ่านมา อัจฉริยะที่บ้าคลั่งและป่าเถือนผู้นี้ไร้คู่ต่อสู้ในรุ่นเดียวกัน มีเพียงหวังผ้อเท่านั้นที่เขาเอาชนะไม่ได้

แน่นอน เขาเป็นคนที่ต้องการเอาชนะหวังผ้อมากที่สุด หลังจากการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู ทุกคนรู้ว่าเขายืนอยู่ข้างราชสำนัก เขามีเหตุผลทุกประการที่จะต้องการให้หวังผ้อตาย ไม่มีเหตุผลที่อธิบายได้ว่าเหตุใดเขาถึงได้ยอมเสี่ยงอย่างมากเพื่อช่วยหวังผ้อ

ลมเย็นพัดโหยหวนอยู่บนแม่น้ำ พัดกระดาษบนใบหน้าเซียวจาง ทำให้เลือดหยดลงมา

สามารถมองเห็นเซียวจางกลอกตาได้รางๆ ในหลุมดำบนกระดาษ

นี่ย่อมมีเป้าหมายอยู่ที่คำถามอย่างตกใจและโกรธของประมุขรองตระกูลถัง

เจ้าบ้าไปแล้วหรือ

บิดาบ้าอยู่ตลอด เจ้ายังต้องถามอีกหรือ

แน่นอน ใครก็บอกได้ว่าประมุขรองตระกูลถังถามคำถามนี้เพราะเขาต้องการฟังเหตุผลของเซียวจาง

เซียวจางไม่สนใจมีแต่ความดูถูกให้กับเขา เขาคิดในใจ เรื่องนี้เจ้ายังไม่เข้าใจแล้วยังมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้า

หากสวินเหมย เสี่ยวเต๋อหรือแม้แต่เหลียงหวังซุนอยู่ที่นี่ ก็คงไม่มีใครถามคำถามเช่นนี้ เพราะพวกเขาเข้าใจ

หวังผ้อก็เข้าใจ เสียแต่ประมุขรองตระกูลถังไม่เข้าใจ หวังผ้อเคยพูดก่อนหน้านี้ว่าเขาด้อยกว่าเซียวจางและคนอื่นก็เป็นเพราะเหตุนี้ ต่อให้ประมุขรองตระกูลถังเป็นคนเจ้าแผนการที่วันหนึ่งจะกลายเป็นผู้ทรงอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือต้าลู่ บนทางแห่งนักรบเขาไม่อาจที่จะตามคนพวกนี้ได้ทัน เพราะว่าเขาไม่เข้าใจ

เซียวจางไม่เคยชอบหวังผ้อ ดังนั้นเขาจึงต้องการเอาชนะหวังผ้อ และเขาก็ต้องการให้หวังผ้อตาย อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขข้อหนึ่ง

เขาต้องเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง ไม่อาจให้คนอื่นทำแทน

เขาไม่อาจสู้หวังผ้อได้เป็นเวลาหลายสิบปี วันนี้หวังผ้อได้สังหารเทพศักดิ์สิทธิ์ในดาบเดียว ทิ้งห่างเขาไปอีกขั้นหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้เขาไม่อาจปล่อยให้หวังผ้อตาย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีโอกาสเอาชนะหวังผ้อได้อีกเลยในชีวิตนี้

ต่อให้เขาเข้าสู่ขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ต่อให้บำเพ็ญตนจนเหนือไปกว่านั้น เขาก็ยังเป็นผู้ด้อยกว่าไปตลอดกาล

สวินเหมยเลือกที่จะทิ้งความปรารถนาเดิมและตายอย่างกล้าหาญด้วยการก้าวขึ้นสู่ถนนเสินในคืนนั้น ตอนนี้เซียวจางได้ทำตรงข้ามกับความต้องการและเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยหวังผ้อ ทั้งสองล้วนมีเหตุผลเดียวกัน

“ไปเถอะ”

คนมากมายมารวมตัวกันที่ริมแม่น้ำมากขึ้น เห็นทหารเล่านี้เตรียมที่จะยิงธนูอีกครั้ง เซียวจางจึงกล่าวสองคำนี้

ใบหน้าของเขาปิดไว้ด้วยกระดาษขาว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นสีหน้าบนใบหน้าของเขา อย่างไรก็ตาม ฟังจากน้ำเสียงเย็นชาที่ผ่านกระดาษมา เซียวจางนั้นเฉยชา

แน่นอนว่าเขาไม่ได้หันกลับ แม้ว่าสองคำนี้จะเห็นได้ชัดว่าพูดกับหวังผ้อ

หวังผ้อรู้นิสัยของเซียวจางจึงไม่คิดว่ามันแปลก เขาหันไปและเริ่มเดินทวนน้ำ เพราะกองทัพอวี่หลินไม่ได้ไปถึงริมแม่น้ำฝั่งนั้น

ด้วยว่าเขาบาดเจ็บสาหัสและอยู่ในน้ำ จึงเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า แต่ความคิดเด็ดเดี่ยวซื่อตรงไม่แสดงความลังเลแม้แต่น้อย

ในทางกลับกัน เซียวจางรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง เขาหันกลับไปถาม “ข้าบอก ‘ไป’ เจ้าก็ไปหรือ”

หวังผ้อตอบโดยไม่หันกลับหรือหยุดเดิน “เจ้าบอกให้ข้าไป ดังนั้นก็ย่อมต้องไป”

เซียวจางค่อนข้างไม่ยินดี โพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าไม่คิดแม้แต่จะกล่าว ‘ขอบคุณ’ หรือ”

หวังผ้อยังไม่หันกลับ ชูมือขึ้นในอากาศและโบกไปรอบๆ เพื่อแสดงการขอบคุณ

เซียวจางโมโหและกล่าว “เป็นคนแบบไหนกัน”

เขาไม่รู้ว่าตอนนี้รอยยิ้มอบอุ่นได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวังผ้อ

หลังจากสวินเหมยตาย เขาก็เลิกกล่าว ‘ขอบคุณ’ กับคนอื่น

จากสิ่งที่เกิดขึ้นในแม่น้ำ ฝูงชนบนฝั่งก็กระสับกระส่ายขึ้นมา ทหารม้าสองร้อยกว่านายแยกออกจากกองทัพอวี่หลินและวิ่งไปยังต้นน้ำตามแนวต้นหลิวริมถนนหลวง

เห็นได้ชัดว่าทหารม้าเหล่านี้ตั้งใจจะไปขวางและสังหารหวังผ้อ ต่อให้เซียวจางสามารถที่จะรั้งขุนพลเทพทั้งสองและประมุขรองตระกูลถังเอาไว้ได้ เขาก็ไม่อาจรั้งทุกคนเอาไว้ได้

ฝุ่นลอยขึ้นท่ามกลางต้นหลิวและเสียงฝีเท้าม้าก็ดังกระหึ่ม บรรยากาศตึงเครียดและอันตราย ที่สำคัญเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากอีกฝั่งของแม่น้ำเช่นกัน

จิงตูกว้างใหญ่แม่น้ำลั่วทอดยาว ทว่าดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ที่หวังผ้อจะหาทางขึ้นฝั่งได้ในวันนี้

เขาบาดเจ็บสาหัสอาจตายได้ทุกขณะ

ทันใดนั้นประกายกระบี่ก็ฉายขึ้นระหว่างต้นหลิว เจตจำนงกระบี่ปรากฏขึ้น

ประกายกระบี่เจิดจ้าราวกับวิหคทองบินขึ้นสู่ท้องฟ้ายาม แผดเผาทุกอย่าง เจตจำนงกระบี่ยิ่งใหญ่ราวกับประตูภูเขา

ต้นหลิวแตกเป็นเสี่ยง ม้าศึกล้มลงกับพื้น เสียงกระบี่ตัดผ่านโลหะและเสียงร้องอย่างอนาถดังขึ้นจากถนน

เมื่อฝุ่นสงบลงก็เผยให้เห็นคนผู้หนึ่งถือกระบี่ยืนอยู่บนถนน ทหารม้าสิบกว่านายนอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าเขา

คนผู้นี้เป็นผู้เยาว์คนหนึ่ง

การทะลวงเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวด้วยวัยเพียงเท่านี้เป็นสิ่งที่หาได้ยาก แม้แต่ในยุคของหวังผ้อก็ตาม

การผสานเพลงกระบี่ประตูภูเขากับเพลงกระบี่วิหคทองเข้าเป็นกระบี่เดียว…แม้แต่ในสำนักกระบี่หลีซาน พรสวรรค์เชิงกระบี่นี้เป็นรองเพียงชิวซานจวินเท่านั้น

เขาคืออันดับสี่ในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ กวนเฟยไป๋

ไม่นานจากนั้นคนมากมายก็พุ่งออกมาจากป่าต้นหลิว กระโดดลงไปในแม่น้ำลั่วที่เย็นเยียบโดยไม่ลังเลแล้วว่ายอย่างเต็มกำลังไปที่หวังผ้อ

พวกเขาเป็นนักเรียนและอาจารย์จากสำนักต้นไหว

เสียงล้อรถกลิ้งไปบนหิน รถม้าที่หรูหราอย่างยิ่งสามคันมาถึงริมฝั่งแม่น้ำลั่ว

ชายวัยกลางคนลงมาจากรถม้าที่อยู่หน้าสุด เป็นผู้นำตระกูลชิวซาน

รถม้าอีกสองคันยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีใครลงมาจากรถ อย่างไรก็ตามเห็นได้ว่าพวกเขาเป็นผู้นำของตระกูลใหญ่ในแดนใต้ที่มีระดับเดียวกับตระกูลชิวซาน

กวนเฟยไป๋แห่งหลีซาน อาจารย์กับนักเรียนจากสำนักต้นไหว ผู้นำตระกูลของตระกูลใหญ่ในแดนใต้ล้วนมาเพื่อร่วมฉลองการบรรจบกันของเหนือใต้

หลังจากงานฉลองจบลงพวกเขาไม่ได้จากไป แต่กลับอยู่ในจิงตูเป็นการชั่วคราว

ในอดีตหากสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ผู้คนจากสำนักต้นไหวย่อมทำทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตหวังผ้อ ด้วยนิสัยของกวนเฟยไป๋และวิธีการจัดการเรื่องต่างๆ ของสำนักกระบี่หลีซาน เขาย่อมต้องลงมือเช่นกัน อย่างไรก็ตามผู้นำตระกูลชิวซานและผู้นำอีกสองตระกูลคงไม่ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางต้นหลิวที่ริมแม่น้ำลั่ว

ในอดีตหวังผ้อมีชื่อเสียงในเรื่องพรสวรรค์การบำเพ็ญเพียร ทว่าชื่อเสียงนี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลใหญ่เหล่านี้ล่วงเกินราชสำนักต้าโจวที่มีการบรรจบกันของเหนือใต้อยู่เบื้องหลัง

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ได้ต่างออกไป หวังผ้อได้เข้าสู่จิงตูและทำความเข้าใจดาบ ทะลวงผ่านและสังหารเทพศักดิ์สิทธิ์ ประกาศความแข็งแกร่งของเขาให้ทั่วต้าลู่ได้รู้

ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่พิสูจน์พลังของตนเองแล้ว และผู้มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร สองอย่างนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

ด้วยการจากไปของซูหลีและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ ทิ้งปัญหาที่ยากแก้ไขให้กับแดนใต้ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นกังวลและถึงกับหวาดกลัว เพราะพวกเขาขาดสุดยอดฝีมือที่จะช่วยคุ้มครอง

ตอนนี้พวกเขามีคนหนึ่งแล้ว

แม้ว่าหวังผ้อจะบาดเจ็บหนักและอาจตายได้ทุกเมื่อ กระนั้นหากเขารอดชีวิตไปได้ แดนใต้ก็มียอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง

ไม่ เขาเป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวของแดนใต้

ดังนั้น ตระกูลชิวซานและผู้คนทั้งหมดในแดนใต้ย่อมไม่ยอมให้หวังผ้อถูกราชสำนักฆ่า

พวกเขาไม่มีทางยอม