ภาคที่ 6 บทที่ 14 มาถึงยังเกาะพันมายา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 14 มาถึงยังเกาะพันมายา

ทะเลไร้ขอบเขต

กองทัพเรือขนาดมหึมาเคลื่อนผ่านผิวสมุทรไป

กองทัพเรือนี้มีขนาดใหญ่จนสามารถครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่ 6 หมื่นไร่เลยทีเดียว กระทั่งอสูรทะเลระดับสูงสุดก็สามารถสัมผัสได้ถึงการรวมตัวกันของความแข็งแกร่งจากระยะไกลและไม่กล้าเข้ามาก่อปัญหาใกล้ ๆ

ด้วยเหตุนี้ กองเรือนี้จึงมักจะสงบสุขอยู่เสมอ และไม่มีอสูรตัวใดเข้ามารังควานพวกเขา

“อีก 2 พันกว่าลี้ข้างหน้าคือผาเพลิงน้ำแข็ง” องค์ชายเฟิงหันกล่าวขณะที่ยืนอยู่ในปราสาทซึ่งลอยอยู่ท่ามกลางกองเรือ “หลังจากนั้นคือเกาะพันมายา และหลังจากนั้นก็คือหุบเหวนรก”

“เกาะพันมายา……” ซูเฉินพึมพำ “ความสัมพันธ์ของท่านกับเพลิงทมิฬเป็นอย่างไรบ้าง ?”

เฟิงหันหัวเราะอย่างขมขื่น “มันไม่เกี่ยวกับว่าความสัมพันธ์ของพวกเราดีแค่ไหนหรอก เราเพียงแค่ต้องการกันและกัน เหล่าอสูรทะเลเข้าจู่โจมหนักหน่วงยิ่งขึ้นในปีที่ผ่าน ๆ มา ทำให้มีแต่จะยากขึ้นและยากขึ้นที่พวกเราจะอยู่รอดต่อไปได้ เผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่อาศัยอยู่บนพื้นดินนั้นใช้ชีวิตสบายยิ่งกว่าเพราะความกดดันทางสิ่งแวดล้อมลดลงไป แต่สถานการณ์ของเผ่าท้องสมุทรนั้นตรงกันข้าม”

การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมได้ส่งผลกระทบต่อโลกใต้ทะเลเช่นกัน แต่ท้องสมุทรโศกาก็สามารถลบล้างการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้

จักรพรรดิอสูรทะเลควรจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายากอย่างน่าเหลือเชื่อ เช่นเดียวกันกับจักรพรรดิอสูรบนพื้นดิน

แต่เพราะท้องสมุทรโศกา เพียงแค่ในหุบเหวนรกก็มีจักรพรรดิอยู่ถึงราว 500 ตัวแล้ว นั่นเป็นตัวเลขที่น่าตกใจทีเดียว

เพียงแค่มีจักรพรรดิอสูรกายอย่างใจสีเลือด ก็สามารถกวาดล้างเขตแดนของเผ่าคนเถื่อนไปอย่างง่ายดาย ดังนั้นแล้วความแข็งแกร่งของจักรพรรดิอสูรทะเลจึงสามารถจินตนาการได้ไม่ยากนัก

หากจักรพรรดิอสูรทะเลเหล่านี้เลือกที่จะปรากฏตัวออกมาจากหุบเหวนรกในเวลาเดียวกัน พวกมันคงจะสามารถยึดครองทั่วทั้งทวีปนี้ได้เลย

และข้อเท็จจริงที่ว่าชาวสมุทรสามารถเอาชีวิตรอดได้กระทั่งท่ามกลางสิ่งแวดล้อมเช่นนี้มานับหลายหมื่นปี ก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจนสำหรับความสามารถของพวกเขา

แม้ว่าเพลิงทมิฬจะเป็นองค์กรอาร์คาน่า พวกเขาก็ถูกบีบบังคับให้ร่วมมือกับชาวสมุทรเพื่อความอยู่รอด

เพราะเหตุนี้เพลิงทมิฬจึงสามารถดำเนินการได้อย่างเปิดเผยที่สุด และตามมาติด ๆ ด้วยประตูฟื้นความเยาว์ของเผ่าคนเถื่อน

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเพลิงทมิฬได้ยอมละทิ้งฝันของพวกเขาในการฟื้นคืนชีพระบบการปกครองของชาวอาร์คาน่ากลับขึ้นมา

พวกเขายังคงทำงานเพื่อพิชิตความฝันให้สำเร็จ

พวกเขาทำสิ่งนี้ด้วยการทำงานใกล้ชิดมากขึ้นและมากขึ้นกับองค์กรอาร์คาน่าอื่น ๆ

เพลิงทมิฬมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับอารามนิรันดร์ ประตูฟื้นความเยาว์ มือแห่งโชคชะตา และสมาคมสุกสกาวของเผ่าวิญญาณ

ในฐานะองค์กรเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถดำเนินการได้อย่างเปิดเผย เพลิงทมิฬจึงกลายเป็นกลุ่มที่อำนวยความสะดวกและคุ้มครองพวกที่ก่อกระทำการชั่วร้ายต่าง ๆ เมื่อใดที่คนคนหนึ่งไม่สามารถอาศัยอยู่ในตำแหน่งเดิมได้แล้ว พวกเขาจะหลบหนีไปยังเกาะพันมายา

ที่แห่งนี้นั้นห่างไกลอย่างถึงที่สุดจนกระทั่งราชวงศ์ที่แข็งแกร่งก็ไม่อาจแผ่ขยายอำนาจมาถึงที่นี่ได้

และแม้ว่าพวกเขาจะสามารถทำได้ เพลิงทมิฬก็ยินดีที่จะหลอกล่อพวกเขาออกไปยังพื้นที่ทะเลที่กำหนดเพื่อเล่นกับเหล่าอสูรทะเลสักหน่อย พวกเขาไม่เพียงสามารถบ่อนทำลายศัตรูได้โดยตรง แต่ยังสามารถลดแรงกดดันที่กดทับพวกเขาอยู่ได้อีกด้วย

ผลที่ตามมาคือ เพลิงทมิฬกลายเป็นพื้นที่ให้สมาชิกที่ชั่วร้ายที่สุดขององค์กรอาร์คาน่าเหล่านี้มาหลบซ่อนตัว

เผ่าพันธุ์อื่น ๆ พึ่งจะกล่าวโทษชาวสมุทรสำหรับสิ่งนี้ไปไม่นานและออกคำสั่งว่าพวกเขาต้องส่งมอบชาวอาร์คาน่าที่ถูกคุ้มครองไว้ไปให้

แต่ชาวสมุทรก็พยายามอย่างสุดความสามารถในการหยุดยื้อหรือตามหาคนอื่นมาช่วยแบ่งเบาภาระบางส่วนไป เกาะพันมายานั้นตั้งอยู่ที่ใจกลางของท้องทะเล และมันยังเป็นฐานทัพที่สำคัญในการป้องกันภัยจากเหล่าอสูรทะเล เพลิงทมิฬได้ให้ที่อยู่แก่อาชญากรส่วนหนึ่งก็เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตนเพื่อต้านทานการจู่โจมของอสูรทะเล โดยปกติแล้ว เนื่องจากสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อชาวสมุทรด้วย พวกเขาจึงไม่ได้คับข้องใจแต่อย่างใด

ซูเฉินกล่าวอย่างแผ่วเบา “ท่านคิดว่าเพลิงทมิฬจะตอบตกลงหากข้าขอให้พวกเขาส่งบุคคลสำคัญมาให้ข้าหรือไม่ ?”

เฟิงหันกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ใครนะ ?”

ซูเฉินตอบ “หลินจุ้ยหลิว”

“ราชันแห่งความโกลาหลน่ะหรือ ?” เฟิงหันตกตะลึง

หลินจุ้ยหลิวคือสมาชิกของราชวงศ์หลินแห่งอาณาจักรหลงซาง จักรพรรดิคนปัจจุบันหลินเมิ่งเจ๋อคงจะต้องเรียกเขาว่า ‘ลุง’

คนคนนี้มีตัวตนที่เป็นตำนานทีเดียว เช่นเดียวกับราชาอีกาเฟิงอันหยา เขาก็หิวกระหายในพละกำลังเช่นกัน

แต่ต่างจากเฟิงอันหยา เขาทำได้สำเร็จ

ใช่แล้ว เขาทำสำเร็จ !

เขาได้ขับไล่พี่ชายคนโตที่สุดออกไปจากบัลลังก์และยึดเป็นของตนเอง

โชคไม่ดีนักที่เป็นเช่นนั้นได้เพียง 3 วันก่อนที่เขาจะถูกขับไล่ออกไป

หลังจากที่ถูกขับไสไล่ส่ง หลินจุ้ยหลิวก็จำเป็นต้องหลบหนี แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้และรวบรวมลูกสมุนเก่า ๆ มาเพื่อก่อการกบฏจากภายใน เขากระทั่งเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่สักพักเสียด้วยซ้ำ

เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริง ๆ ทักษะการต่อสู้และความหลักแหลมของเขาต่างก็ดียิ่งกว่าพี่ชายคนโต แต่ลักษณะนิสัยที่เย่อหยิ่งได้นำพาเขาไปสู่บางสิ่งที่ขัดใจราชวงศ์อื่น ๆ ทั้งหมด สิ่งนี้ทำให้พี่ชายคนโตของเขาสามารถกำราบเขาได้ด้วยการช่วยเหลือของอีก 6 อาณาจักรในท้ายที่สุด

หลินจุ้ยหลิวหลบหนีหายไปหลังจากที่ถูกปราบปราม ต่อมาเขาก็มายังเกาะพันมายาและเข้าร่วมกับกลุ่มเพลิงทมิฬ

ใช่ สมาชิกของราชวงศ์มนุษย์ได้กลับกลายเป็นสมาชิกขององค์กรอาร์คาน่าเสียแล้ว นี่มันแทบจะน่าขัน

แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็คือความจริง ผู้คนนับไม่ถ้วนได้หันหน้าเข้าหาเพลิงทมิฬเพื่อเอาชีวิตรอด แม้ว่าพวกเขาจะเป็นองค์กรอาร์คาน่า ทว่าในบางเชิงอาจกล่าวได้ว่าแก่นแท้ของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงจากการวางกลอุบายไปเป็นการฟื้นคืนชีพระบอบปกครองอาร์คาน่าเพื่อหล่อเลี้ยงอาชญากรไว้

และนี่คือวิธีการที่หลินจุ้ยหลิวกลายเป็นที่รู้จักกันในนามราชันแห่งความโกลาหลผู้ฉาวโฉ่

เฟิงหันประหลาดใจในการพูดถึงราชันแห่งความโกลาหนอย่างฉับพลันของซูเฉิน “เจ้าต้องการสิ่งใดจากเขาหรือ ?”

ซูเฉินตอบ “ข้าจำเป็นต้องให้เขาช่วยเหลือเกี่ยวกับการทดลองบางอย่างของข้า”

เมื่อเขาได้ยินดังนั้น เฟิงหันก็เงียบไป

หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็พูดขึ้น “ในกรณีของราชันแห่งความโกลาหลนั้นประหลาดทีเดียว ข้าไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่ชัดเจนในปัจจุบันของเขา แต่ข้ารู้ว่าเขาได้กลายเป็นหนึ่งใน 5 อดีตหัวหน้าเก่าของเพลิงทมิฬ”

“อดีตหรือ ?”

“ใช่” เฟิงหันพยักหน้า “เขาพยายามสังหารอีก 4 คนเพื่อที่จะได้เป็นผู้ควบคุมทั้งหมดเอง”

……

ราชันแห่งความโกลาหลนั้นคือราชันแห่งความโกลาหลจริง ๆ ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด เขาก็จะพยายามก่อกบฏอยู่เสมอ

ซูเฉินถาม “แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ ?”

“เขาถูกเนรเทศ”

“พวกนั้นไม่ฆ่าเขาจริง ๆ หรือ ?”

“ถ้าแม้กระทั่งเจ้าก็ยังมีสิ่งที่ต้องการจากเขา แล้วเพลิงทมิฬจะยอมฆ่าเขาได้ยังไงล่ะ ? เขาสำคัญกับเจ้ามากเลยหรือ ?”

ซูเฉินตอบ “ก็ไม่เชิงหรอก แต่การทำวิจัยก็เหมือนกันการสร้างบ้าน ท่านจำเป็นจะต้องมีพื้นฐาน ตัวเสริมโครงสร้าง ปูกระเบื้อง ก้อนอิฐ และอื่น ๆ อีกมากมายในการทำมันให้สมบูรณ์ หากวัตถุดิบใดก็ตามขาดหายไป บ้านหลังนั้นก็จะพังทลายลง… อย่างไรแล้วการทำลายก็ง่ายกว่าการสร้างขึ้นล่ะนะ”

เฟิงหันเข้าใจ “เจ้าคิดว่าเขาเป็นองค์ประกอบสำคัญของงานวิจัยสินะ ?”

ซูเฉินส่ายหัว “ข้าไม่รู้เลย ข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างการสร้างบ้านและการทำวิจัยคืออย่างแรกท่านรู้ว่าบ้านนั้นอยู่ในสภาพใดก่อนที่มันจะเสร็จสมบูรณ์ ท่านรู้อยู่แล้วว่าสิ่งใดสำคัญและสิ่งใดไม่ แต่สำหรับงานวิจัย…… ก่อนที่ท่านจะค้นพบว่าเส้นทางใดผิดและเส้นทางใดใช้การได้นั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าบ้านหลังนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร”

กู่ชิงหลัวแทรกขึ้น “งั้นทางที่ดีที่สุดก็คือพยายามทำตามคำร้องขอของซูเฉินให้มากที่สุดที่ท่านจะทำได้ ราชันแห่งความโกลาหลอาจหรืออาจไม่มีประโยชน์ก็ได้ แต่ก่อนที่เราจะรู้ เราจำเป็นต้องทำเป็นเหมือนว่าเขามีประโยชน์ไปก่อน”

เฟิงหันเข้าใจ “หากเป็นเช่นนั้น… งั้นเราก็จะร้องขอเขา ข้าไม่คิดว่าเพลิงทมิฬจะต่อต้านพวกเราหรอก”

เว่ยซีหมิ่นออกคำสั่ง “ทุกฝ่าย เร่งความเร็ว ! จุดหมายปลายทางคือเกาะพันมายา !”

หลังจากผ่านไปอีกวันหนึ่ง กองเรือก็มาถึงยังเกาะพันมายาในที่สุด

‘เกาะ’ เดี่ยว ๆ แห่งนี้แท้จริงแล้วคือหมู่เกาะขนาดใหญ่

มีมากกว่า 1,000 เกาะอยู่ที่นี่ และพวกมันแทบทั้งหมดยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเพลิงทมิฬอีกด้วย

จากบนอากาศแล้ว มันเป็นไปได้ที่จะมองเห็นว่าเกาะเหล่านี้ถูกร้อยเรียงไว้ด้วยกันราวกับสร้อยมุก ประกอบขึ้นเป็นโครงสร้างรูปวงแหวนขนาดมหึมา เมื่อเข้ามาใกล้ขึ้นก็จะเห็นได้ชัดว่าวงแหวนนี้นั้นเคลื่อนที่ได้ มันจะหมุนไปรอบ ๆ และทำให้ผู้ที่มองดูอยู่รู้สึกวิงเวียนศีรษะ

นี่ไม่ใช่การเข้าใจผิด นี่คือความจริง

แท้จริงแล้วเกาะพันมายาถูกจัดตั้งขึ้นบนค่ายกลต้นกำเนิด เพลิงทมิฬได้ใช้เวลานานหลายพันปีในการก่อตั้งมันขึ้น และมันก็ถูกส่งต่อและแผ่ขยายมาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว

ในตอนนี้ เกาะพันมายาถูกป้องกันเป็นอย่างดีเยี่ยม และมันถูกนับเป็นหนึ่งในเมืองที่ถูกตีฝ่าได้ยากลำบากที่สุดในทวีปต้นกำเนิด เป็นรองเพียงเมืองล่องนภาของเผ่าปักษาและปราการเจ้าสมุทรของชาวสมุทร

เกาะพันมายาได้รับนามเช่นนี้เพราะสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่พยายามจะเข้ามาโดยไร้ซึ่งการอนุญาตจะต้องสับสนงุนงงกับการจัดเรียงที่ซับซ้อนของเกาะทั้งหลาย …เพราะหมู่เกาะในแก่นกลางของค่ายกลต้นกำเนิดนี้ ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็จะต้องใช้พละกำลังในการหาทางออกมา

แต่ถ้าจักรพรรดิอสูรถูกจับได้ในค่ายกลและยินดีที่จะเสียสละชีวิตเพื่อหลบหนี จะทำอย่างไรล่ะ ?

นี่คือส่วนหนึ่งของเหตุผลที่เพลิงทมิฬเอาตัวรอดได้อย่างยากเย็นในสภาพแวดล้อมเช่นนี้

เมื่อกองเรือผสมของมนุษย์และชาวสมุทรมาถึง ธงต้อนรับก็ถูกปักไว้บนเกาะทั้งหลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเพลิงทมิฬรู้ถึงเหตุผลที่ซูเฉินปรากฏตัวขึ้น และพวกเขาก็ดูจะยินดีอย่างยิ่งในการช่วยเหลือซูเฉินกับคำร้องขอของเขา

ขณะที่เสียงของหอยสังข์ถูกเป่าออกไปในอากาศ หมู่เกาะที่หมุนวนก็หยุดนิ่งและ ‘สร้อยมุก’ ก็แยกออกเป็น 2 ส่วน เผยสิ่งที่อยู่ตรงกลางออกมา

ท่าเรือตามธรรมชาติขนาดมหึมาค่อย ๆ ปรากฏขึ้น

เรือมากมายในกองเรือที่เข้ามายังอ่าวลำแล้วลำเล่าจะหยุดลงยังหนึ่งในเกาะที่ใกล้ศูนย์กลางมากกว่า

สมาชิกบางคนของเพลิงทมิฬได้ออกมาต้อนรับพวกเขาแล้ว

พวกเขาเป็นชาวอาร์คาน่า 2 คน มนุษย์ 2 คน และเผ่าคนเถื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มผู้ต้อนรับ

เฉพาะในกลุ่มเพลิงทมิฬเท่านั้นที่เผ่าพันธุ์ที่แตกต่างทั้งสามจะสามารถอยู่ร่วมกันได้

เห็นได้ชัดว่าเพลิงทมิฬมีกระทั่งสมาชิกเผ่าปักษา พูดอีกอย่างคือพวกเขาสามารถทำให้กว่า 4 เผ่าพันธุ์ญาติดีกันได้

แต่ก็ไม่มีชาวเผ่าวิญญาณหรือชาวสมุทรแต่อย่างใด ….จากสถานการณ์เดิมที่แปลกประหลาดคงทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่เผ่าวิญญาณจะทำเช่นนั้น ในขณะที่กรณีหลังนั้นเป็นเพียงเพราะไม่มีชาวสมุทรคนใดทรยศตั้งแต่แรก

ทั้ง 5 คนนี้คือหัวหน้าทั้งห้าขององค์กร

แต่ผู้นำนั้นไม่ใช่ชาวอาร์คาน่าทว่าเป็นมนุษย์ชราคนหนึ่ง เขายิ้มให้แก่ซูเฉินและกล่าว “ช่างเป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้พบกับท่านในที่สุด ท่านซู การมาของท่านนำความเกียรติศักดิ์มาสู่เกาะพันมายา ข้าจงเจิ้นจวินยินดีต้อนรับท่าน !”

ซูเฉินตอบด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นในแบบของเขา “ข้าได้ยินชื่อเสียงของ ‘เสียงหอนสนั่นกองทัพ’ มาเป็นเวลานาน เป็นเกียรติของข้าเช่นกันที่ได้พบท่านในวันนี้”

‘เสียงหอนสนั่นกองทัพ’ และ ‘3 แสยะขู่ปีศาจ’ สองอย่างนี้ต่างก็เป็นฉายาที่จงเจิ้นจวินได้รับ

แม้ว่าเขาจะดูค่อนข้างผ่อนคลายและไร้กังวล แต่ที่จริงแล้วเขาคืออาชญากรที่ชั่วร้ายที่สุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์

ชายคนนี้แต่เดิมมาจากอาณาจักรประกายวารี แต่แทนที่จะคงอยู่ในตระกูลของตน เขากลับยืนยันที่จะออกไปท่องโลกกว้างด้วยตัวเอง แต่เขาก็ทำมันในวิธีที่ไม่เหมาะสมและกลับกลายเป็นโจร ทุกที่ที่เขาไป เขาจะปล้นอย่างซุกซนจนกว่าจะพอใจ โดยเฉพาะเขาชอบขโมยสิ่งของจากผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด รวมไปถึงทรัพยากรบ่มเพาะด้วย ไม่มีแม้แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่ได้แตะต้อง เห็นได้ชัดว่าเขานั้นแย่ยิ่งกว่าซูเฉินเสียอีก เพราะซูเฉินเคยทำเช่นนั้นแค่กับเผ่าพันธุ์อื่นเท่านั้น ไม่ใช่ของเขาเอง แต่จงเจิ้นจวินนั้นไม่มีขีดจำกัด

ต่อมา การปล้นสะดมที่บ้าบิ่นของเขาก็ทำให้เจียงจูเซิงมีน้ำโหและส่งคนไปสังหารเขา จงเจิ้นจวินจึงหลบหนีไปยังอาณาจักรอื่น ๆ และยังคงมีพฤติกรรมร้ายกาจไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ต่อมา เขาก็ได้ทำให้ทั้ง 7 อาณาจักรไม่พอใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ของเขา

แม้ว่าอาณาจักรทั้ง 7 จะส่งผู้คนมาสังหารเขา เขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่และสบายดี และความแข็งแกร่งของก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น

ความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดของเขาเกิดขึ้นตอนที่เขาเผชิญหน้ากับกองทัพหนึ่งของชนชั้นสูงราวหมื่นคน ด้วยการกู่ร้องเพียงครั้งเดียว เขาก็สามารถสร้างบาดแผลหรือสังหารไปได้หลายพันคน บีบบังคับให้คนที่เหลือต้องถอยทัพอย่างกะทันหัน

นอกจากนั้น ในขณะที่เขามักจะมีท่าทางร่าเริงและเป็นมิตร หัวใจของเขากลับโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาเป็นคนประเภทที่จะทำให้เราสบายใจด้วยรอยยิ้มไร้พิษสงในขณะที่เอามีดไปจ่อที่หลังของเรา

นี่คือเหตุผลที่ผู้คนเรียกเขาว่า ‘เสียงหอนสนั่นกองทัพ’ และ ‘3 แสยะขู่ปีศาจ’

เมื่อเขาโมโห ทั้งกองทัพจะต้องคุกเข่าคำนับ เมื่อเขายิ้ม กระทั่งผู้เชี่ยวชาญก็ยังต้องระวัง

และหลังจากที่หลบหนีมายังเพลิงทมิฬ อดีตหัวหน้าของเพลิงทมิฬ 3 คนก็เสียชีวิตกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาสามารถเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว

ที่จริงแล้ว หัวหน้าคนล่าสุดก็สมัครใจที่จะสละตำแหน่งของเขาก่อนที่จงเจิ้นจวินจะได้ส่งยิ้มให้กับเขาเสียด้วยซ้ำ

มีผู้คนที่โหดเหี้ยมเช่นนี้อยู่มากมายในอันดับของเพลิงทมิฬ

รวมไปถึงอีก 4 คนที่อยู่กับเขาด้วยเช่นกัน