บทที่ 15 เพลิงทมิฬ
หลังจากที่ซูเฉินทักทายจงเจิ้นจวิน เขาก็ชำเลืองมองไปยังชาวอาร์คาน่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
ชายชราชาวอาร์คาน่าคนนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ข่าเหวยเอ่อร์ยินดีต้อนรับท่านซู”
น้ำเสียงของเขาทั้งไม่ชั่วร้ายหรืออบอุ่น ไม่รื่นเริง โกรธ หรือเศร้าโศก ใครก็ตามที่ไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาอาจคิดว่าเขานั้นไม่ชอบซูเฉิน แต่ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องยากที่ใครจะรู้ได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
ไม่มีใครเคยรู้ได้ว่าข่าเหวยเอ่อร์กำลังคิดอะไร
ข่าเหวยเอ่อร์คงจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงน้อยที่สุดในหัวหน้าเพลิงทมิฬทั้งห้า
เขาไม่มีความสำเร็จทางทหารที่น่าประทับใจเป็นพิเศษใด ๆ และเขายังแทบจะไม่เคยมีส่วนร่วมในภารกิจใดมาก่อนเลย
ภายในองค์กรเพลิงทมิฬ เขาถูกรู้จักในชื่อ ‘อะไรก็ได้’ ด้วยมักจะตอบด้วยรอยยิ้มเสมอและไม่เคยทะเลาะกับผู้ใด นอกจากนั้นผู้คนยังรู้จักเขากันในชื่อที่สองตลอดกาล เพราะเขาจะไม่มีวันได้เป็นผู้นำขององค์กรอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ชัดเจนแล้วว่าที่สองตลอดกาลคนนี้คือผู้ที่เป็นหนึ่งในผู้นำของเพลิงทมิฬมายาวนานที่สุด
เขามีอายุราว 3,000 ปีแล้วและได้ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงมากมายของกลุ่มเพลิงทมิฬมา แต่ไม่ว่าลมพายุจะโหยหวนเท่าใดและฟ้าฝนจะหนักเพียงไร เขาก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายไปไหนได้ กลุ่มเพลิงทมิฬพิจารณาแล้วว่าตำแหน่งของเขาจะต้องคงอยู่ตลอดไป
แต่การพูดจาเช่นนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เพราะข่าเหวยเอ่อร์ไม่ชอบมัน
เขามีสิ่งที่ไม่ชอบอยู่ไม่มากนัก แต่พวกมันทั้งหมดจะหายไปโดยไร้ซึ่งคำถาม
สิ่งนี้คือความจริงสำหรับทั้งศัตรูของเขาและข่าวลือใด ๆ ก็ตาม
ข่าเหวยเอ่อร์ได้มอบตำแหน่งของเขาให้แก่จงเจิ้นจวิน และเขาได้สร้างการสัมปทานเช่นนี้มาแล้วมากกว่า 1 ครั้งในอดีต
ซูเฉินทักทายเขาด้วยความเคารพอย่างสูง
หลังจากข่าเหวยเอ่อร์ก็เป็นชาวอาร์คาน่าอีกคนหนึ่ง แต่คราวนี้กลับเป็นหญิงสาว
ใบหน้าของนางนั้นสง่างามเหลือเชื่อ และเสียงของนางก็ช่างยั่วยวนและน่าหลงใหล นางส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มมายังซูเฉินขณะที่พูดขึ้น “ข่าเหมยลายินดีต้อนรับท่านซู”
ซูเฉินอมยิ้ม “ใบหน้านางฟ้าช่างน่าชมเชยเสียจริง แต่โชคไม่ดีนัก……”
ท่าทีของข่าเหมยลาหม่นหมองลงเล็กน้อยขณะที่นางถามอย่างขึงขัง “โชคไม่ดีนักอย่างไรหรือ ท่านซู ?”
ทุกคนรู้ว่าการจะเอาใจข่าเหมยลานั้นง่ายยิ่งนัก เช่นเดียวกันกับการยั่วโมโหนาง เจ้าเพียงแค่ต้องยกย่องความงามของนาง หรือตรงกันข้าม พูดว่าความงามของนางนั้นไม่เคยเป็นของนางแต่แรกเริ่ม
ใช่แล้ว รูปลักษณ์อันงดงามนี้ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของข่าเหมยลา ที่จริงแล้วมันถูกนางประกอบขึ้นมาต่างหาก !
และยังทำขึ้นด้วยผิวหนังมนุษย์จริง ๆ อีกด้วย !
ข่าเหมยลานั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อยายแก่จอมถลกหนัง รูปลักษณ์เดิมของนางคือหญิงแก่ที่ดูอัปลักษณ์น่ารังเกียจ แต่ความหมกมุ่นในรูปลักษณ์เยาว์วัยและสง่างามของนางก็ได้นำพาไปสู่การสังหารหญิงสาวสวยจำนวนนับไม่ถ้วนและนำผิวหนังของพวกนางมาใช้เป็นของตนเอง
นางคือฝันร้ายของสาวงามทุกคนในทวีป และกระทั่งจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเด็กสาวจำนวนกี่คนได้ถูกสังหารไปแล้ว
นี่คือผลของธรรมชาติที่แท้จริงของเพลิงทมิฬ สำนักงานใหญ่ของพวกเขาคือสถานที่ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ชั่วช้าสามานย์เช่นนี้
แม้ว่าข่าเหมยลาจะรู้ดีถึงการมาของซูเฉิน ทว่าก็ไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันได้ว่าความคิดของนางจะไม่เปลี่ยนไปกะทันหันหากซูเฉินนำเรื่องที่นางไม่ชอบที่สุดขึ้นมา
นี่ยังเป็นสิ่งที่เฟิงหันและเว่ยซีหมิ่นเป็นกังวลมากที่สุดอีกด้วย
พวกเขาส่งสายตาเป็นกังวลไปยังซูเฉินเพื่อพยายามเตือนเขาให้ควบคุมความไม่พอใจส่วนตัวไว้เพื่ออุบายที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา
แต่ซูเฉินก็ยังคงพูดไม่ต่างไปจากเดิม “โชคไม่ดีนักที่เจ้าใช้ผิดวิธีการ”
ท่าทางของข่าเหมยลาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงในตอนนี้ ซูเฉินกำลังบอกนางอย่างขวานผ่าซากว่ารูปลักษณ์และเสียงของนางล้วนปลอมเปลือกนั่นเอง
แต่วินาทีต่อมา ความโกรธเกรี้ยวของนางก็จางหายไป
เพราะคำพูดต่อมาของซูเฉินคือ “มีวิธีอื่น ๆ ที่ดีกว่าในการรักษาความเยาว์ของเจ้าให้มีประสิทธิภาพและใช้งานได้จริงมากกว่าวิธีการของเจ้าในตอนนี้”
ข่าเหมยลาตกตะลึงเมื่อนางได้ยินดังนั้น “ท่านมีสิ่งของเช่นนั้นด้วยหรือ ?”
กู่ชิงหลัวตอบ “30 ปีก่อน สามีของข้าได้สกัดยาที่สามารถเก็บรักษาผิวหน้าที่งดงามของหญิงสาวไว้และลดผลของการเจริญวัยลงให้น้อยที่สุดได้”
ข่าเหมยลาดีอกดีใจ
แต่ซูเฉินก็เปิดเผยคำเตือนบางอย่าง “แต่มันคงจะไม่มีประโยชน์กับเจ้ามากนัก มันทำได้เพียงชะลอกระบวนการเจริญวัยเท่านั้น ไม่ใช่ย้อนกลับกระแสของเวลา”
ข่าเหมยลาดูสลดลงอีกครั้งในทันที
แต่กู่ชิงหลัวก็พูดขึ้น “นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สามารถสร้างยาชนิดใหม่ที่สามารถทำสิ่งนั้นได้นะ สามีของข้ามีความก้าวหน้าบางส่วนในไม่กี่ปีที่ผ่านมาในการศึกษาของเขาเกี่ยวกับยาที่สมบูรณ์”
ข่าเหมยลาดีใจขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ซูเฉินก็ทำร้ายจิตใจนางอีกครั้ง “แต่ข้ายุ่งมากในตอนนี้และอาจไม่สามารถหาเวลาใดมาทำมันได้ขณะนี้”
ข่าเหมยลาหันไปมองยังกู่ชิงหลัวโดยไม่สามารถตามอารมณ์ที่หวิดเหวี่ยงสุดขีดของตนเองอีกต่อไป
แต่กู่ชิงหลัวเพียงแค่หัวเราะไปกับการกระทำของซูเฉิน “แต่เจ้าจะมีเวลาในท้ายที่สุดใช่ไหมล่ะ ?”
ซูเฉินพยักหน้า “แน่นอน ข้าจะแก้ไขปัญหาได้ไม่ช้าก็เร็ว”
ทั้งสองต่างก็ทำให้จิตใจของนางมีความสุขและหมองหม่นหลายครั้งติดต่อกัน
ข่าเหมยลาไม่ใช่คนโง่ และนางก็รู้ว่าทั้งสองกำลังบอกใบ้ถึงสิ่งใด นางเผยยิ้ม “เพลิงทมิฬจะร่วมมือกับท่านซูอย่างสุดความสามารถ ข้าก็เช่นกัน”
ซูเฉินเงียบไป
เขาไม่ชอบหญิงแก่ชั่วร้ายคนนี้
แต่ไม่มีสมาชิกของเพลิงทมิฬคนใดที่บริสุทธิ์ ตามกฎหมายแล้วพวกเขาล้วนสมควรตาย
ในฐานะคนหนึ่งที่มีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ การเกาะอยู่กับศีลธรรมที่เคร่งครัดนั้นมีแต่จะกีดขวางความสามารถในการประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของเขาเท่านั้น
ดังนั้นแล้ว เขาจึงทำได้เพียงอดทนต่อความคับข้องในจิตใจ
เมื่อสถานการณ์ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยเท่านั้นที่เขาจะสามารถคิดหาวิธีการจัดการกับกลุ่มเพลิงทมิฬได้
ในตอนนี้ การร่วมมือกับพวกเขาต้องมาก่อน
ข้างหลังข่าเหมยลามีมนุษย์อีกคนหนึ่ง
มนุษย์คนนี้ปิดบังหน้าของตนไว้ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
บุคคลปริศนานี้มองมายังซูเฉินและขยับมือทักทายเขาแต่ยังคงปิดปากเงียบ
จงเจิ้นจวินเอ่ย “นี่คือผู้นำติ้งเฟิง เขาไม่ชอบเปิดเผยใบหน้าจริงต่อผู้คน ดังนั้นโปรดอภัยให้เขาด้วย”
ซูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา”
เขาไม่เคยได้ยินชื่อ ‘ติ้งเฟิง’ มาก่อน ในเมื่อไม่เคยมีข่าวของผู้ใดที่ใช้ชื่อนี้ก่ออาชญากรรมใดในโลกภายนอก
ในเมื่ออีกฝ่ายกำลังปกปิดใบหน้าของตน ก็ดูเหมือนว่านี่อาจจะไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงของเขาเช่นกัน
มีหลากหลายวิธีในการปิดบังใบหน้าของใครสักคน แต่อีกฝ่ายเลือกวิธีการที่เรียบง่ายที่สุด ในแง่หนึ่งนี่อาจขัดแย้งกับพฤติกรรมทั่วไปอื่น ๆ ของพวกเขา
ในเวลาเดียวกันกับที่เขาทักทายติ้งเฟิง ซูเฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงเจตสังหารที่ชัดเจนหลั่งไหลออกมาจากบุคคลคนนั้น
กระทั่งหลี่ฉงซาน ฉู่อิงหว่าน และคนอื่น ๆ ข้างหลังเขาก็สามารถสัมผัสถึงมันได้เช่นกัน
เหล่าแม่ทัพชราแห่งกองทัพกำลังสวรรค์ต่างมองกันและทำหน้าบูดบึ้งแต่ก็เก็บปากเงียบไว้ในท้ายที่สุด
ข้างหลังติ้งเฟิงคือคนเถื่อนผู้สันโดษ
ชื่อของเขาคือฮาฉี
ซูเฉินรู้จักกับเขามานานแล้ว
ก่อนสงครามระหว่างซูเฉินกับเผ่าคนเถื่อน พวกเขาคงจะหวาดกลัวฮาฉีมากที่สุด
แต่เดิมแล้วฮาฉีมาจากเผ่าค้อนแห้ง
หลังจากที่เผ่าของเขาถูกปราบโดยเผ่าอินทรีแดง สถานะและความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เริ่มลดลงอย่างช้า ๆ จนกระทั่งฮาฉีกำเนิดขึ้น
ฮาฉีเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ยากจน และเขายังเป็นเด็กที่กำยำผู้รักการต่อสู้กับผู้อื่น โดยปกติแล้วการต่อสู้กับเผ่าคนเถื่อนอื่น ๆ นั้นเป็นเพียงงานอดิเรกของเขา
ด้วยตัวของมันเองแล้ว นั่นไม่ได้ทำให้เขาแตกต่างไปจากเผ่าคนเถื่อนอื่น ๆ แต่อย่างใด
แต่วันหนึ่ง ฮาฉีก็เป็นอัมพาตไปอย่างกะทันหัน
แขนทั้งสองของเขาดูจะกลับกลายเป็นของไร้ค่า และพวกมันได้สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวไปเสียแล้ว
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็ถูกมองว่าไร้ค่า และเขาก็ไม่สามารถใช้หมัดราวเหล็กกล้าของเขาในการต่อสู้อีกต่อไป
จนกระทั่งเมื่อครึ่งปีถัดมาที่แขนทั้งสองข้างของเขาเกิดใช้การได้ขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ และเขายังแข็งแกร่งขึ้นจากแต่ก่อนหลายเท่าตัวอีกด้วย
เรื่องราวนี้ฟังดูคุ้นเคยใช่ไหมล่ะ ?
มันก็เหมือนกันของซูเฉินและหลี่ต้าวหง
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือฮาฉีได้ใช้เวลาเพียงครึ่งปีในการฟื้นฟูให้สมบูรณ์จากอาการป่วยของเขา
หลังจากการรักษาแล้ว ฮาฉีก็เรียกหาการแก้แค้น ในคืนที่เขาหายดี เขาสังหารเด็ก ๆ ทั้งหมดที่เคยก่อกวนเขาไว้ในอดีต
แม้ว่าเขาจะทำเป็นเหมือนว่ายังไม่ได้ฟื้นฟูจนสมบูรณ์ แต่เผ่าคนเถื่อนก็ยังความสามารถตรวจจับคำลวงของเขาได้อยู่ดี
ในตอนที่เผ่าค้อนแห้งกำลังจะลงโทษเขานั่นเอง ฮาฉีก็ระเบิดพลังอันรุนแรงออกมาในทันใด
เขาใช้หมัดแข็งราวเหล็กกล้าของตนทุบศีรษะของผู้นำ แล้วจึงขโมยค้อนสะท้านแผ่นดินของเผ่านั้นไป เขาสามารถหลบหนีตีวงล้อม กระทั่งทิ้งแม่ที่เลี้ยงดูเขามาตลอดหลายปีและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตำนานเกี่ยวกับ ‘ผู้ทุบหัว’ ก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วทั้งพื้นที่อาศัยอยู่ของเผ่าคนเถื่อน
ฮาฉีได้เดินทางไปทั่วทั้งพื้นที่นี้กว่า 13 ปี ทั้ง 13 ปีนี้นั้นเต็มไปด้วยการนองเลือด
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะนับว่าชายคนนี้ได้สังหารเผ่าคนเถื่อนไปกี่คนแล้ว เขาถูกจู่โจมโดยสมาชิกของเผ่าต่าง ๆ อย่างน้อยถึง 136 ครั้ง ในจำนวนเหล่านั้น เขายังสามารถปลิดชีพกลุ่มคนที่ไล่ตามมาทั้งหมดได้ถึง 42 ครั้งได้อีกด้วย
ความพยายามในการสังหารฮาฉีของเผ่าทั้งหลายมีแต่จะทำให้เขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเท่านั้น
หลังจากนั้น ผู้คนก็พบว่าแม้ว่าเขาจะไม่เคยผ่านการชะล้างในอารามพลังต้นกำเนิดมาก่อน เขาก็ยังสามารถควบคุมและใช้พลังต้นกำเนิดได้อย่างง่ายดาย
นี่เป็นส่วนหนึ่งในเหตุผลที่เขาทรงพลังยิ่งนัก แขนทั้งสองเหล่านั้นดูจะมอบความสามารถแต่กำเนิดในการควบคุมพลังต้นกำเนิดให้แก่เขา
ด้วยเหตุนี้ ผู้ทุบหัวจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อแขนพลังแต่กำเนิดอีกด้วย
แขนคู่นี้ของเขากลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่หลากหลายเผ่าตั้งมูลค่ามหาศาลให้แก่มัน
เมื่อเผชิญหน้ากับความโลภมากมายจากเผ่าคนเถื่อนที่ติดตามเขา กระทั่งฮาฉีก็ไม่สามารถอดทนต่อแรงกดดันและหลบหนีไปในที่สุด
ระหว่างการหลบหนี เขายังได้ทำร้ายเผ่าคนเถื่อนที่ติดตามมาหลายพันคนโดยปฏิบัติราวกับพวกเขาคือศัตรูตลอดกาลของเขา
จนกระทั่งเขาไปถึงยังเกาะพันมายา
หากที่นั่นจะมีใครที่ซูเฉินสนใจ ก็จะต้องเป็นฮาฉี
แต่หากหลี่ต้าวหงไม่อาจบอกใบ้เขาเกี่ยวกับชายแก่คนนั้นได้แม้แต่น้อย ฮาฉีก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน
ประสบการณ์ของฮาฉีสามารถพิสูจน์ได้เพียงอย่างหนึ่ง อีกฝ่ายไม่ได้อยู่เพียงลำพังในระหว่างที่มันเกิดขึ้น
แต่นอกจากนั้นแล้ว ฮาฉีก็ไม่มีค่าอะไรต่อเขา
ดังนั้นแล้วซูเฉินจึงเพียงแค่พยักหน้าให้กับฮาฉีด้วยความเคารพและสงบปากสงบคำต่อไป
หากเป็นไปได้ เขาต้องการที่จะฉีกแขนของชายคนนั้นออกมาและทำการวิจัยมันเสียหน่อย
แต่ก่อนที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น เขาต้องการมันในการจัดการกับอสูรทะเลเหล่านั้นเสียก่อน
หลังจากที่ทักทายกันแล้ว พวกเขาก็เริ่มถกเถียงถึงขั้นตอนต่อไปกันในทันที
ขณะที่พวกเขาเดินไปตามเกาะพันมายา ซูเฉินก็พูดขึ้น “พวกเจ้าทุกคนคงจะรู้ถึงเหตุผลที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้”
จงเจิ้นจวินพยักหน้า “ท่านซูต้องการยืมทหารบางส่วนหรือ ?”
“ใช่แล้วละ”
จงเจิ้นจวินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับไป “ข้าเข้าใจได้ถึงความต้องการของท่านซูในการจัดการกับเหล่าอสูรทะเล แต่ด้วยกองทัพชาวสมุทรและสาขาของทัพสยบสมุทร รวมไปถึงศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขต ท่านก็น่าจะสามารถจัดการกับอสูรทะเลได้ใช่ไหมล่ะ ?”
เขาไม่รู้ว่านิกายไร้ขอบเขตนั้นแข็งแกร่งเพียงไร แต่จากข้อเท็จจริงที่ว่าเผ่าท้องสมุทรได้ส่งกองกำลังมาและทัพสยบสมุทรก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน… การจัดการกับจักรพรรดิทะเลเพียงตัวเดียวก็คงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
ไม่ใช่ว่าเผ่าท้องสมุทรและกลุ่มเพลิงทมิฬไม่สามารถปราบจักรพรรดิทะเลเหล่านี้ได้ ประเด็นคือพวกเขาจะต้องเผชิญกับความสูญเสียมากมายหลังจากทุก ๆ ศึกจบลง
ธรรมชาติที่คงที่ในการต่อสู้ของพวกเขาทำให้เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรับค่าใช้จ่ายไหว
แต่ชัยชนะเพียง 1 หรือ 2 ครั้งนั้นไม่ใช่ปัญหา
ความจริงก็คือ แม้ว่าเพลิงทมิฬและเผ่าท้องสมุทรจะสู้รบในสงครามที่กำลังจะพ่ายแพ้ แต่พวกก็ยังคงสู้สุดใจเพราะพวกเขาไม่อาจยอมแพ้ได้
ด้วยเหตุนี้ จงเจิ้นจวินจึงเชื่อว่าซูเฉินมีกำลังคนมากยิ่งกว่าพออยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
ซูเฉินตอบ “ข้าจะต้องเข้าใกล้หุบเหวนรกมากกว่านี้หากข้าต้องการตรวจสอบมัน เป้าหมายของเราไม่ใช่การสังหารจักรพรรดิอสูร แต่เพื่อต่อต้านการโจมตีของพวกมันและยื้อเวลาไว้”
จงเจิ้นจวินถามขึ้นในทันที “ใกล้แค่ไหนล่ะ ? และเป็นเวลาเท่าไหร่ ?”
“ข้าต้องการเข้าไปในระยะ 20 ลี้”
ท่าทีของจงเจิ้นจวินเปลี่ยนไปในทันที “ท่านจะบ้าหรือไง ? นั่นมันใกล้เกินไปแล้ว !”
แม้ว่า 20 ลี้จะฟังดูห่างไกล นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับจักรพรรดิอสูรทะเล
ซูเฉินกำลังขอให้พวกเขาช่วยทำการทดลองภายใต้สายตาของจักรพรรดิอสูรทะเลนั่นเอง ไม่น่าแปลกใจที่จงเจิ้นจวินจะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้
“เราสามารถไปได้ไกลกว่านั้น แต่มันจะใช้เวลามากกว่ายิ่งข้าออกไปห่างจากจุดศูนย์กลาง และพวกเราก็ไม่สามารถห่างได้มากกว่า 200 ลี้”
จงเจิ้นจวินตอบกลับ “นั่นก็ยังเป็นไปได้ยากอยู่ดี”
ซูเฉินตอบ “นั่นคือเหตุผลที่ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าช่วย ปัญหาของท้องสมุทรโศกาจะไม่มีทางแก้ไขได้ง่ายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าเจ้าต้องการทำงานให้เสร็จเร็ว ๆ โดยไร้ซึ่งค่าเสียหาย งั้นข้าก็ทำได้แค่บอกเจ้าว่าเจ้าจะต้องฝันไปแน่ ๆ”