ภาคที่ 6 บทที่ 16 ปลูกถ่ายสายเลือด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 16 ปลูกถ่ายสายเลือด

“อ้า !”

หลังจากเสียงกรีดร้องนี้ดังขึ้น เยี่ยเฟิงหานกับฉางเหอก็บุกเข้ามาในทันที ก่อนจะพบกับเยี่ยเม่ยที่กำลังกอดกระต่ายตัวหนึ่งเอาไว้แน่นและกำลังอ้อนวอนชายชรา

“เยี่ยเม่ย ! เจ้า…” ทั้งสองกล่าวขึ้นพร้อมกัน

“ในที่สุดพวกเจ้าก็มากันเสียที !” เยี่ยเม่ยกล่าวอย่างยินดี “เร็วเข้า ช่วยข้าหยุดเขาที ! ชายชราคนนี้ชั่วร้ายยิ่งนัก ! เขาคิดที่จะผ่าเจ้ากระต่ายตัวนี้ กล้าทำอย่างนั้นกับกระต่ายแสนน่ารักได้อย่างไร ?”

กระต่าย ?

เยี่ยเฟิงหานกับฉางเหอมองหน้ากัน

เมื่อพวกเขาเห็นว่าเยี่ยเม่ยไม่ได้ถูกกักขังแต่อย่างใด พวกเขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

เยี่ยเฟิงหานลดดาบที่ยังไม่เก็บเข้าฝักลง ฉางเหอเองก็หยุดร่ายสุเมรุสูญ แล้วกล่าวถามขึ้นอย่างพร้อมเพรียง “ที่เจ้าตะโกนโวยวายร้องไห้เช่นนี้ เพราะกระต่ายเพียงตัวเดียวงั้นรึ ?”

เยี่ยเม่ยเหลือบมองพวกเขาอย่างไม่เข้าใจ “มันมีอะไรผิดงั้นหรือ ?”

เป็นการตอบสนองที่สมเป็นเยี่ยเม่ย

เยี่ยเฟิงหานหันไปมองชายชรา “เจ้าเป็นใครกันแน่ ? จับเรามาเพื่ออะไร ?”

ชายชราเอื้อมมือไปจับกระต่ายโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองเยี่ยเฟิงหาน เยี่ยเม่ยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกันกระต่ายหลบจากเขา ทว่านางก็พบว่าแม้แต่การเคลื่อนไหวง่าย ๆ ของเขา นางก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้เลย นางเฝ้ามองดูกระต่ายกลับคืนสู่มือของอีกฝ่ายด้วยความกระวนกระวายใจมากจนร้องไห้ออกมา

ชายชราหิ้วหูกระต่ายก่อนจะเดินปลีกออกไป “เจ้าหนู ถ้าเจ้าไม่คิดจะใช้ดาบทำร้ายข้า เจ้าควรเก็บมันไปเสีย มันไม่ดีเลยที่เจ้าจะมาขู่คนแก่อย่างข้า”

เยี่ยเฟิงหานไม่เก็บดาบ เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะหวาดกลัวคำของผู้อื่นง่าย ๆ

เขายกคมเหมันต์ชี้ไปทางชายชราและกล่าวว่า “ข้าจะถามอีกครั้งเท่านั้น เหตุใดเจ้าถึงซุ่มโจมตีพวกเรา ถ้าเจ้าไม่คิดจะตอบ ข้าก็ไม่ลังเลที่จะลงมือ !”

“ซุ่มโจมตี ?” ชายชราหัวเราะคิกคัก “สรุปว่าเจ้าไม่พอใจ ? เจ้าคิดว่าเจ้าโดนจับมาเพราะข้าซุ่มโจมตีเจ้า ? ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าประเมินความสามารถของข้าต่ำไปหรอกหรือ ?”

สีหน้าของเยี่ยเฟิงหานดูน่าเกลียดขึ้นในทันใด “หากเจ้ามีความสามารถอย่างที่พูดจริง เช่นนั้นก็มาสู้กับข้า”

ชายชรากลับส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้สู้กับใครมานานมากแล้ว ไม่สู้ ไม่สู้”

เยี่ยเฟิงหานโกรธจัด อย่าไร้ยางอายนักจะได้ไหม ? ไม่ได้สู้กับใครมานานแล้ว ? แล้วที่ลงมือซุ่มโจมตีจับพวกข้ามานั้นเล่าเรียกว่าอะไรกัน ?

“นอกจากนี้… ” ชายชราลากน้ำเสียงของเขาก่อนจะพูดต่อ “ข้าไม่จำเป็นจะต้องลงมือทำอะไรคนอย่างเจ้าเองด้วยซ้ำ แค่ลูกน้องคนใดคนหนึ่งของข้าก็ฆ่าเจ้าได้ง่าย ๆ แล้ว”

ลูกน้องคนใดคนหนึ่ง ?

เยี่ยเฟิงหานกับฉางเหอหันมองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม นอกจากพวกเขา 4 คนแล้ว ทั้งคู่ก็ไม่พบใครอื่นที่อยู่ในห้องอีก รอบ ๆ นี้มีเพียงกรงไก่ เป็ด กระต่าย และสัตว์อื่น ๆ ไม่กี่ตัว

เยี่ยเม่ยถามตรง ๆ “ท่านผู้เฒ่า ลูกน้องของท่านอยู่ที่ไหนกัน ?”

ชายชรายกกระต่ายในมือขึ้น “นี่ไม่นับหรือ ?”

เยี่ยเฟิงหานหัวเราะขึ้นด้วยความโมโห “ดี ดี ! ข้า เยี่ยเฟิงหาน ฝึกฝนมาหลายปีแต่กลับไม่ดีเท่ากระต่าย ? ทำไมไม่ให้ข้าดูหน่อยเล่าว่ามันทำอะไรได้บ้าง ?”

“ตามที่เจ้าขอ” ชายชราตกลงทันที

เขาดึงขวดยาออกมาป้อนให้กระต่าย “งั้นเจ้าก็ออกมาสู้กับมันหน่อยละกัน”

ขณะที่พูดชายชราก็เอื้อมมือไปคว้าเยี่ยเฟิงหาน

เยี่ยเฟิงหานพยายามหลบ แต่ก็พบว่าตนไม่อาจหลีกให้พ้นจากท่าจับกุมที่แสนธรรมดานี้ได้เลย

เขาใช้ทักษะการเคลื่อนไหว 3-4 อย่างติดต่อกันอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งวิชาดาบอีก 7-8 อย่าง เขาใช้แม้กระทั่งวิชาลับอีก 2 อย่างที่ซึ่งหนึ่งในนั้นคือวิชาที่แม้แต่ฉางเหอก็ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่ช่วยให้เขาหลบจากเงื้อมมือของชายชราพ้น วิชาทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้ผลเลยสักนิด แถมบางวิชาที่เยี่ยเฟิงหานพยายามจะใช้ออกมานั้นกลับถูกยกเลิกก่อนที่พวกมันจะออกจากมือของเขาไปเสียอีก

เพียงชั่วพริบตา เยี่ยเฟิงหานก็ได้ปลดปล่อยทักษะวิชาอย่างเปล่าประโยชน์ไปเกือบโหล

ครู่ต่อมา มือของชายชราก็คว้าเข้าที่ไหล่ของเขา “เข้าไปสิ”

หลังสัมผัสคล้ายสายลมวูบผ่าน เยี่ยเฟิงหานก็พบว่าตัวเองอยู่ในอีกห้องหนึ่งแล้ว

เคลื่อนย้ายผ่านพื้นที่ !

และที่ชายชราทำยังเป็นการส่งผู้อื่นด้วยการเคลื่อนย้ายผ่านพื้นที่อีกด้วย !

หัวใจของเยี่ยเฟิงหานสั่นสะท้าน

ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงความแข็งแกร่งอันน่ากลัวของชายชราผู้นี้

อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องซุ่มโจมตีเพื่อจับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

ที่คนผู้นี้ทำเช่นนั้น ก็แค่เพราะเขาต้องการ

ชายชรากำลังเล่นสนุกกับพวกเขา

ก่อนที่เยี่ยเฟิงหานจะเข้าใจกระจ่างถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เจ้ากระต่ายก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องตามมาในทันใด

เขาโยนกระต่ายเข้ามาจริง ๆ!

ไม่เพียงเท่านั้น ชายชรายังกล่าวอีกว่า “เจ้ากับมัน มีเพียงหนึ่งเท่านั้นที่จะรอดออกมาได้”

ล้อกันเล่นอยู่หรือ ?

เยี่ยเฟิงหานกำลังจะพูดตอบโต้ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เมื่อหันกลับไป เขาก็เห็นว่ากระต่ายกำลังจ้องมองเขาอย่างเย็นชา กลิ่นอายทรงพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากทั่วร่างกายของมัน ทั้งดุร้ายและรุนแรง เปี่ยมไปด้วยความกระหายเลือด

ช่างเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย

เยี่ยเฟิงหานคุ้นเคยกับความรู้สึกเช่นนี้เป็นอย่างดี ในระหว่างการเดินทางผจญภัยของเขา เขาเคยพบคู่ต่อสู้ที่ให้สัมผัสที่คล้ายคลึงกันนี้มาแล้วถึง 3 ครั้ง

ในแต่ละครั้งนั้นแม้ว่าเขาจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้มาได้ แต่มันก็จบลงด้วยการที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี

อีกทั้ง 1 ใน 3 นั่นเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าสมาชิกนิกายคนอื่นผ่านทางมา เยี่ยเฟิงหานก็คงตายไปแล้ว

และตอนนี้ กลิ่นอายที่คุ้นเคยและน่าสะพรึงกลัวนี้กลับปรากฏขึ้นบนตัวกระต่ายน้อยตรงหน้าเขา

กระต่ายที่อ่อนโยนและดูไม่มีพิษมีภัยที่เยี่ยเม่ยเพิ่งหลั่งน้ำตาให้มันเมื่อไม่นานนี้ !

ดวงตาสีแดงดุจเลือดของกระต่ายจับจ้องตรงไปทางเยี่ยเฟิงหาน ก่อนจะเริ่มแยกเขี้ยวข่มขู่ กรงเล็บแหลมคมโผล่พ้นปลายเท้าทั้ง 4 ที่เหยียดออก ขนของมันเริ่มยืดออกและตั้งตรงขึ้นราวกับขนแม่น ทำให้มันดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือหมอกสีเลือดที่เริ่มรวมตัวกันอยู่ที่ด้านหลังของมัน ทำให้ดูเหมือนกับว่าเจ้ากระต่ายกำลังสะสมพลังบางอย่างอยู่

“นี่มัน… ” เยี่ยเฟิงหานพึมพำด้วยความตกใจ

กระต่ายพุ่งเข้ามาและตวัดกรงเล็บใส่เยี่ยเฟิงหานโดยไม่รั้งรอที่จะรวบรวมความแข็งแกร่งให้เต็มกำลังก่อนที่จะโจมตี

เยี่ยเฟิงหานรีบยกดาบขึ้นป้องกันการโจมตีอย่างรวดเร็ว

เคร้ง !

เสียงปะทะระหว่างกรงเล็บกระต่ายกับดาบคมเหมันต์ดังก้องประหนึ่งเหล็กกล้ากระทบกัน ทว่าเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 4 นี้กลับไม่สามารถทำอะไรกระต่ายได้มากนัก ทั้งหมดที่มันทำได้คือสร้างชั้นน้ำแข็งบาง ๆ ขึ้นบนผิวหนังของกระต่าย

อย่างไรก็ตาม จังหวะต่อมา เจ้ากระต่ายก็กระโจนผ่านเยี่ยเฟิงหานไป ก่อนที่จะกลับหลังกลางอากาศและหมายจะกัดลงที่หลังคอของเขา

เยี่ยเฟิงหานวาดดาบของเขาขึ้นไปในอากาศ สร้างคลื่นความเย็นเฉียบขึ้นขวางหน้าเขา

ความชำนาญในการใช้ดาบของเยี่ยเฟิงหานไม่ได้สูงล้ำมากนัก แต่เนื่องจากความเรียบง่ายและบริสุทธิ์ พวกมันจึงมีประสิทธิภาพและเฉียบคมอย่างยิ่ง

เพียงแค่วาดดาบออกไปคราเดียว ทั้งห้องพลันเต็มไปด้วยน้ำค้างแข็งและหิมะ

ร่างที่บินโฉบเฉียวของกระต่ายแข็งค้างอยู่กลางอากาศ

มันเงยหน้าขึ้นก่อนจะกรีดร้องออกมา

“กี๊ดดด !”

เสียงกรีดร้องแหลมฟังดูราวกับเสียงหวีดร้องของนกนักล่า มากกว่าจะเป็นเสียงกระต่ายเสียอีก

อุ้งเท้าหน้ายื่นออกมาตวัดกรงเล็บโจมตีอีกครั้ง เยี่ยเฟิงหานรู้สึกราวกับโลกทั้งใบของเขากำลังถูกกดทับ อย่างกับว่ากรงเล็บนี้จะสามารถทะลุผ่านเกราะป้องกันที่เขาสร้างขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เขาสัมผัสได้ถึงความอันตรายของสถานการณ์ในยามนี้ได้ทันที เยี่ยเฟิงหานจึงฟาดดาบติดต่อกัน 3 ครั้งเพื่อสร้างกำแพงน้ำแข็ง 3 ชั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว

แครก !

กรงเล็บของกระต่ายกระแทกเข้ากับกำแพงน้ำแข็งและเจาะทะลุพวกมัน เยี่ยเฟิงหานฉวยโอกาสกระโดดถอยหลังแล้วแทงดาบในมือสวนกลับไป คมดาบแพรวพราวพุ่งเข้าหากระต่ายอย่างรวดเร็ว

แต่จู่ ๆ ปีกคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาบนหลังกระต่าย และกระพือออกอย่างแรง

มันบิน !

คมดาบของเยี่ยเฟิงหานถูกกระแสลมหยุดลง

กระต่ายบินขึ้นไปในอากาศ หมอกสีเลือดที่รวมตัวกันอยู่ด้านหลังก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ มันควบแน่นกลายเป็นอินทรีสีโลหิต เมื่อมันกางปีกออกทั่วทั้งห้องก็เต็มไปด้วยแรงกดดัน

“นี่มันอะไร ?”

เยี่ยเฟิงหานที่อยู่ข้างใน และฉางเหอกับเยี่ยเม่ยที่อยู่ด้านนอก ต่างก็ตกตะลึง

“เย้ยเมฆา !”

“เย้ยเมฆา !”

“เย้ยเมฆา !”

ทั้งสามร้องออกมาด้วยความตื่นตกใจอย่างพร้อมเพรียง

อินทรีเย้ยเมฆา สายเลือดเทพอสูรประจำตระกูลตู ยามนี้กลับมาปรากฏตัวขึ้นบนร่างของกระต่าย

พวกเขาจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร ?

“ฮ่า ๆๆๆ! พวกเจ้าคงคิดไม่ถึงกันล่ะสิ ในที่สุดข้าก็ประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายสายโลหิตได้สำเร็จ ด้วยทักษะนี้ ข้าย่อมสามารถควบคุมทุกสายเลือดที่อยู่ภายใต้สรวงสวรรค์นี้ได้ ข้าสามารถมอบสายเลือดที่ทรงพลังให้แก่ทุกคนได้ตราบที่ข้าต้องการ และนี่ก็ไม่ใช่สายเลือดผสม แต่เป็นสายเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริง ! ถ่ายทอดได้หลายชั่วอายุคนเป็นพลังที่ส่งต่อได้ ! ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังสามารถหลอมรวมสายเลือดที่หลากหลายเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสายเลือดที่ใหม่กว่าและทรงพลังกว่าได้ด้วย เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าจะรวบรวมเทพอสูรบรรพกาลทั้งหมดเป็นหนึ่งและผนวกเข้ากับ 7 สายเลือดเทพอสูร ผสานทั้ง 8 เป็น 1 เพื่อก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ข้าจะอยู่ยงคงกระพัน จะไม่มีใครสามารถต่อต้านข้าได้อีก !”

หลังชายชราพูดจบ เขาก็แหงนหน้าและเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้า

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยเม่ยและฉางเหอก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งในทันที พวกเขาจ้องไปที่ชายชราด้วยความตกใจ “เจ้าคือราชาแห่งความโกลาหล หลินจุ้ยหลิว !”

“โอ้ ? ในที่สุดพวกเจ้าก็รู้ตัวแล้วงั้นหรือ ?” ชายชราหัวเราะและไม่ปฏิเสธพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

ใช่ เขาคือราชาแห่งความโกลาหล หลินจุ้ยหลิว

ย้อนกลับไปเมื่อสมัยนั้น เขาทำการก่อกบฏได้สำเร็จและกลายเป็นจักรพรรดิของอาณาจักรหลงซาง ทว่าไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ถูกปลดลงจากอำนาจ แผนการต่อจากนั้นของเขาก็มีแต่ล้มเหลว เหตุผลนั้นก็เป็นเพราะอีก 6 อาณาจักรได้รวมตัวกันเพื่อจัดการกับเขา

และสาเหตุของการรวมมือนั้นก็เพราะว่าหลินจุ้ยหลิวต้องการรวมสายเลือดทั้งหมด เพื่อสร้างสายเลือดใหม่ที่ไม่มีใครเทียบได้ขึ้นมา

ความคิดของเขาทำให้ทั้งโลกตะลึง แต่มันก็สร้างความขุ่นเคืองให้กองกำลังและอำนาจเก่าแก่เช่นกัน เรื่องนี้ได้ทำให้คนเหล่านั้นไม่พอใจอย่างมาก

ไม่มีใครชอบที่สภาพที่เป็นอยู่ของตนต้องพังทลาย หากแนวทางของซูเฉินเป็นการทำลายรูปแบบเก่า ๆ เหล่านั้น แล้วหลินจุ้ยหลิวเล่าต่างกันหรือ ?

ไม่ว่าจะลบล้างสายเลือดหรือรวบรวมสายเลือด พวกเขาก็ไม่ชอบมัน

เพียงแต่ซูเฉินนั้นพอจะรู้จักเก็บซ่อนตนไม่ให้โดดเด่นจนเกินไปนัก อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จจริง ๆ ทั้งยังรู้จักประนีประนอมกับพวกชนชั้นสูง ทว่าหลินจุ้ยหลิวไม่ได้ทำเช่นนั้น ถ้าเขาได้เป็นจักรพรรดิ ใครเล่าจะหยุดเขาได้ ?

บางทีไม่นานหลังจากนั้น ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ใหม่อาจจะถือกำเนิดขึ้นมาด้วยมือของเขาก็เป็นได้

แม้ว่ามันจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่มีอาณาจักรไหนในบรรดา 6 อาณาจักรที่ต้องการเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น

ดังนั้นหลินจุ้ยหลิวจึงต้องตาย !

น่าเสียดายที่ชายผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป ในตอนนั้นเขาได้อยู่ขั้นปลายสุดของด่านหยั่งรู้ฟ้าดินไปแล้ว และด้วยความรู้จากการศึกษาสายเลือด วิชาลับ ตลอดจนกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถมากมาย ทำให้ท้ายที่สุดเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ได้แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ก็ตาม

ไม่นานหลังจากที่ชายชราไปถึงเกาะพันมายา เขาก็ได้ทะลวงเข้าสู่ด่านมหาราชันและยืนอยู่บนจุดสูงสุดของผู้แข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ นับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครสามารถควบคุมเขาได้อีก

จนกระทั่งเขาก่อกบฏอีกครั้งและถูกขับไล่ออกจากเกาะพันมายา

ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ และยังจับกุมรุ่นเยาว์ทั้งสามไปด้วย

หลังจากที่รู้ถึงตัวตนของชายชราแล้ว ฉางเหอก็หมดหวังอย่างสมบูรณ์

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะหรือวิชาใด ๆ มันก็ล้วนไร้ประโยชน์

หนี ? ลืมไปได้เลย

ไม่น่าแปลกที่ชายชราไม่ได้วางยาหรือกักขังอะไรพวกเขาเลย นั่นเพราะมันไม่จำเป็นแต่แรกแล้ว

ในตอนนั้นเองเสียงกรีดร้องโหยหวนอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังขึ้นมาห้องใกล้เคียง

เป็นกระต่าย

พวกเขาหันกลับมาด้วยความตกใจ และพบว่าคมเหมันต์ของเยี่ยเฟิงหานได้แทงทะลุร่างของกระต่ายไป ในขณะที่ ‘กรงเล็บนกอินทรี’ ของกระต่ายเองก็เจาะทะลวงลึกเข้าไปในหน้าอกของเยี่ยเฟิงหานเช่นกัน

ทั้งสองออกแรงพร้อมกัน คมเหมันต์ค่อย ๆ แช่แข็งกระต่ายและเริ่มเปลี่ยนมันให้กลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็ง ส่วนกรงเล็บที่แหลมคมก็แทงทะลุตัวเยี่ยเฟิงหานไปอย่างสมบูรณ์ ทำให้เลือดของเขาสาดกระจายไปทั่ว

กระต่ายพยายามจะกรีดร้องอีกครั้ง แต่น้ำแข็งก็ได้ปกคลุมใบหน้าของมันเอาไว้หมดแล้ว จนกระทั่งมันถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งทั้งร่างและไม่อาจเคลื่อนไหวอย่างสมบูรณ์

เยี่ยเฟิงหานปล่อยมือของเขา ทิ้งกระต่ายให้ร่วงตกลงมาแตกกระจายเป็นชิ้น ๆ นับไม่ถ้วนอยู่บนพื้น

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมีสายเลือดอะไร หากเจ้าต้องการจะฆ่าข้า ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน !” เขาถ่มน้ำลายทิ้งและกล่าวอย่างเย็นชา ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างอ่อนแรง