คนทั้งหมดกลับไปยังชั้นบน หลี่เหล่าฮั่นเอามือพาดหลังเดินกลับไปกลับมารออยู่ในห้อง เมื่อเห็นคนทั้งหมดเข้ามาแล้ว แววตาก็ฉายประกายแห่งความละโมบ ยื่นมือออกมาพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น ราวกับว่าไม่เห็นท่าทางหมดสภาพของหลี่ชุ่ยฮวาอย่างไรอย่างนั้น “ตั๋วเงินล่ะ?”
หลี่ชุ่ยฮวามองไปที่หลี่เหล่าซาน
หลี่เหล่าฮั่นก็มองตามสายตาของนางไป หลี่เหล่าซานกุมหน้าอกตัวเองตามสัญชาตญาณ “ท่านพ่อ ข้ายังไม่ได้ดูเลยนะ”
หลี่เหล่าฮั่นสะบัดฝ่ามือหนึ่งออกไป “ดูอะไรของเจ้า ถ้าจะดูก็ต้องเป็นบิดาที่ดูก่อน รีบเอามาเร็วเข้า!”
หลี่เหล่าซานไหล่สั่นเล็กน้อย หยิบถุงเงินออกมาอย่างไม่สมัครใจ แต่ไม่ได้มอบให้หลี่เหล่าฮั่น กลับคลายเชือกของถุงเงิน ยื่นมือเข้าไปหยิบตั๋วเงินออกมาแทน เมื่อมองดูแล้วก็มีหลายใบจริงๆ จึงร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านพ่อ ท่านรีบมาดูเร็วเข้า เป็นตั๋วเงินจริงๆ พวกเขาไม่ได้เล่นเล่ห์กับพวกเรา!”
หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานได้ยินแล้ว นัยน์ตาก็เป็นประกายขึ้นมา ยื่นมือออกไปพร้อมกันอย่างคิดจะแย่ง
หลี่เหล่าฮั่นรู้แผนการของพวกเขาตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว จึงตะโกนเสียงดังเต็มที่ว่า “หยุดการกระทำของพวกเจ้าเดี๋ยวนี้!”
การกระทำของทั้งสามคนล้วนหยุดชะงัก
หลี่เหล่าฮั่นยื่นมือออกมา “เอามาให้ข้าดูสิ!”
หลี่เหล่าซานวางตั๋วเงินลงในมือเขาอย่างเชื่อฟัง
หลี่เหล่าฮั่นที่รับมา ก็พบว่าเหมือนใบที่เมิ่งเสียนมอบให้หลี่เซิ่งในวันนั้น จึงได้มีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องจริงขึ้นมา มือสั่นเพราะความตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้ หยิบตั๋วเงินแต่ละใบเข้ามาดูใกล้ๆ “พวกเจ้าพูดว่าตั๋วเงินบางๆไม่กี่แผ่นนี้ จะสามารถแลกเงินก้อนขาวๆ จำนวนแปดร้อยตำลึงได้จริงๆหรือ”
สามพี่น้อง เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครตอบออกมา พวกเขาก็เพิ่งจะได้รับตั๋วเงินใบละห้าสิบตำลึงใบหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเช่นกัน ยังไม่ทันจะนำไปแลกเปลี่ยน แล้วจะรู้ได้เช่นไรว่าสามารถแลกเปลี่ยนได้จริงๆ หรือว่าแลกเปลี่ยนไม่ได้กันแน่
หลี่เหล่าฮั่นถามไปอย่างนั้น และไม่ได้มีความคาดหวังว่าพวกเขาจะสามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างจริงจัง หลังจากเขาหยิบตั๋วเงินขึ้นมามองซ้ายมองขวาแล้วก็ขมวดคิ้ว ถามอีกว่า “พวกเจ้า ใครสามารถบอกข้าได้บ้างว่า ตั๋วเงินพวกนี้ ทุกใบแบ่งออกเป็นใบละเท่าไร”
คนทั้งหมดล้วนมึนงง พวกเขาไม่รู้หนังสือ จะรู้ได้เช่นไรว่าเท่าไร
หลี่เซิ่งที่ได้สติกลับมา “พวกเจ้าว่า เมิ่งชิงผู้นั้นจะทราบว่าพวกเราไม่รู้จักตั๋วเงินพวกนี้หรือไม่ ถึงได้เล่นเล่ห์กับพวกเรา เขาจะให้เงินมากมายขนาดนี้ในคราวเดียวได้เช่นไรกัน”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้เช่นกัน จึงพยักหน้าคล้อยตาม “พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้อง เมิ่งชิงไม่น่าจะใจดีขนาดนี้”
หลี่ชุ่ยฮวาไม่ยินยอมที่จะฟังต่ออีก “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม ชิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนเช่นนั้น เขาไม่เล่นเล่ห์กับพวกเราแน่นอน เขาพูดว่าแปดร้อยตำลึงก็คือแปดร้อยตำลึง”
หลี่เหล่าฮั่นเหลือบตาขึ้นมองนาง “เจ้ารู้ตัวหนังสือที่อยู่บนนี้ด้วยหรือ”
หลี่ชุ่ยฮวาส่ายหน้า “ข้าจะไปรู้หนังสือได้เช่นไรเล่าเจ้าคะ”
“เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะพูดมากทำไมกัน?”
หลี่เหล่าฮั่นตำหนินางอย่างมีโทสะ
หลี่ชุ่ยฮวาขยับปาก อยากจะโต้กลับ แต่สุดท้ายแล้วก็พูดอะไรไม่ออกสักคำหนึ่ง
หลี่เหล่าฮั่นไม่มองนางอีก ส่งตั๋วเงินให้หลี่เซิ่ง พร้อมกับกำชับเขาว่า “เจ้าไปสอบถามจั่งกุ้ย[1]ดูสิว่า ตั๋วเงินเหล่านี้คือแปดร้อยตำลึงใช่หรือไม่!”
“ขอรับ!”
หลี่เซิ่งรับมาด้วยความปีติยินดี หมุนตัวเดินออกไปข้างนอก
หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานกลอกตาไปมาพร้อมกัน และรีบตามออกไป “พี่ใหญ่ พวกเราจะไปกับท่านด้วย”
ในฐานะที่เป็นพี่น้องกัน หลี่เซิ่งเข้าใจความคิดของน้องชายทั้งสองคนดีว่าคิดอะไรอยู่ นั่นก็คือ กลัวว่าตัวเขาจะอาศัยช่วงเวลาที่ลงไปชั้นล่างแอบเก็บซ่อนตั๋วเงินเอาไว้ใบหนึ่ง หลังจากแค่นเสียงหึแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ทั้งสามคนลงไปที่ชั้นล่าง เหลือทิ้งไว้เพียงแค่หลี่ชุ่ยฮวาและหลี่เหล่าฮั่นสองคน
หลี่ชุ่ยฮวาเอ่ยปากขอร้องว่า “ท่านพ่อ ถ้าหากว่าเป็นตั๋วเงินแปดร้อยตำลึงจริงๆ จะสามารถช่วยไถ่ตัวข้าออกมาก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
ในที่สุดหลี่เหล่าฮั่นก็หันมามองนาง เพียงแต่เป็นการถลึงตาใส่นางครั้งหนึ่ง “ไถ่ตัวอะไรของเจ้า เจ้าอายุอานามมากขนาดนี้แล้ว จะกลับมาบ้านตัวเองได้ที่ไหนกัน ล้มเลิกความคิดไร้สาระเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า และทำตัวดีๆ ติดตามเศรษฐีหวังต่อไปเถอะ”
ถ้าหากว่าแปดร้อยตำลึงนี่เป็นของจริง เช่นนั้นพวกเขาสี่คนพ่อลูก ก็แบ่งกันคนละสองร้อยตำลึง เช่นนี้แล้วอีกครึ่งชีวิตที่เหลือก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก แต่ถ้าไถ่ตัวหลี่ชุ่ยฮวาออกมา พวกเขาก็ไม่สามารถแบ่งกันได้เยอะขนาดนั้นแล้ว ที่สำคัญไปมากกว่านั้นก็คือ การกินดื่มอาศัยในเมืองหลวง ล้วนมีเศรษฐีหวังเป็นผู้ออกเงิน กินดี อยู่ดี ทั้งยังไม่ต้องจ่ายเงินของตัวเอง บนโลกใบนี้จะมีเรื่องที่ดีขนาดนี้เสียที่ไหนกัน
หลี่ชุ่ยฮวาคิดไม่ถึงว่าหลี่เหล่าฮั่นจะพูดเช่นนี้ จึงรีบคุกเข่าลงกับพื้น ขอร้องด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นอีกครั้งหนึ่ง “ท่านพ่อ เศรษฐีหวังผู้นั้นไม่ใช่คนนะเจ้าคะ บุตรสาวมีชีวิตอยู่มิสู้ตายอยู่ในมือของเขามาตลอดหลายปี ขอร้องท่านเถอะเจ้าค่ะ ช่วยไถ่ตัวให้บุตรสาวด้วยนะเจ้าคะ รอหลังจากบุตรสาวได้เป็นอิสระแล้ว จะต้องกตัญญูต่อท่านเป็นอย่างดีแน่นอน”
“หลายปีมานี้ เจ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่ตายหรอกหรือ ครานี้ยังมาเสแสร้งแกล้งทำต่อหน้าข้าไปเพื่ออะไร ข้าจะบอกเจ้าให้นะว่า อย่าคิดไปเลยว่าข้าจะไปไถ่ตัวแทนเจ้า ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเศรษฐีหวังไม่ยินยอม และถึงแม้เศรษฐีหวังจะยินยอม พวกข้าก็ไม่มีเงินนั่นหรอก เจ้าก็ล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ!”
“ท่านพ่อ!”
หลี่ชุ่ยฮวาคลานเข่าไปข้างหน้า กอดขาเขาเอาไว้ สะอื้นไห้ขอร้อง “ท่านพ่อ ท่านดูสิ บุตรสาวเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง แม้ว่าทั้งศีรษะจะเต็มไปด้วยผมขาว แต่ก็เป็นเพราะได้รับการทรมานจากเศรษฐีหวัง ท่านก็ถือเสียว่าสงสารบุตรสาวเถอะนะเจ้าคะ ไถ่ตัวแทนบุตรสาวเถอะเจ้าค่ะ”
หลี่เหล่าฮั่นรู้สึกรำคาญเสียแล้ว จึงดึงขาตัวเองอยู่สองสามครั้งอย่างคิดจะสลัดหลุดออกจากมือของหลี่ชุ่ยฮวา แต่จนปัญญาที่หลี่ชุ่ยฮวากอดแน่นเกินไป เขาที่สลัดไม่หลุด จึงมีโทสะขึ้นมา เงื้อมือสะบัดใส่หลี่ชุ่ยฮวาไปฝ่ามือหนึ่ง “นางเด็กสมควรตาย ยังไม่ปล่อยมืออีก!”
หลี่ชุ่ยฮวาที่ถูกตบจนเกิดเสียงดังก้องในศีรษะ ก็ล้มลงไปนั่งอีกด้านหนึ่ง จึงเป็นธรรมดาที่จะปล่อยมือออก
หลี่เหล่าฮั่นยังไม่คลายโทสะ จึงด่าต่อว่า “ทำไมข้าถึงได้ให้กำเนิดตัวไร้ค่าเช่นเจ้าออกมากัน ไม่ยอมใช้ชีวิตผ่านคืนวันที่ดีในปีนั้นกับเมิ่งเสี่ยวเถี่ย แต่ดันไปทำเรื่องอับอายขายขี้หน้าเช่นนั้น ทั้งยังทำให้พี่ชายสามคนของเจ้าเดือดร้อนจนเกือบจะต้องสูญเสียชีวิตไป ถูกทำร้ายเสียจนพวกข้าต้องถูกคนในหมู่บ้านพูดนินทาลับหลังมาตั้งหลายปี มาตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะได้รับเงินมาแปดร้อยตำลึง ถึงเวลาที่เจ้าต้องชดเชยให้พวกข้าแล้ว เจ้ายังคิดอยากจะไถ่ตัวเองออกมา ข้าจะบอกเจ้าให้นะว่า ไม่มีทาง ถึงจะต้องตาย เจ้าก็ต้องตายในจวนตระกูลเศรษฐีหวัง!”
ถึงแม้ว่าในหูของหลี่ชุ่ยฮวาจะมีเสียงดังวิ้งๆ แต่นางก็ยังได้ยินคำพูดของหลี่เหล่าฮั่นอย่างชัดเจน จึงเหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางไม่เคยคิดเลยว่า บิดาของนางจะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาได้
“มองอะไรของเจ้า ยังไม่รีบไสหัวกลับไปที่ห้องของเจ้าอีก!”
หลังหลี่เหล่าฮั่นตำหนินางไปประโยคหนึ่ง ก็หมุนตัวเดินกลับไปนั่งหันหลังให้นางลงบนเตียง คล้ายกับว่าไม่ยินยอมที่จะมองให้มากขึ้นกว่านี้อีกครู่หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
หลี่ชุ่ยฮวาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก้าวขาเดินออกไปข้างนอกด้วยท่าทางเหมือนท่อนไม้
หลี่เซิ่งสามพี่น้องที่ขึ้นมาจากชั้นล่างด้วยท่าทีปลาบปลื้ม มีความสุข ก็มองหน้ากันไปมา เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ปกติเล็กน้อยของนาง หลี่เซิ่งเอ่ยปากถามว่า “น้องเล็ก เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
หลี่ชุ่ยฮวาฝืนยกมุมปาก เดินผ่านร่างพวกเขาไป
ทั้งสามคนมองนางอย่างแปลกใจ หลังจากเห็นนางเดินเข้าไปในห้องและปิดประตูแล้ว ถึงได้สบตากันอีกครั้ง เมื่อเดินเข้าไปในห้อง หลี่เหล่าซานก็ตะโกนโวยวายเสียงดังว่า “ท่านพ่อ พวกข้าไปสอบถามจั่งกุ้ยมาแล้ว ตั๋วเงินพวกนี้คือแปดร้อยตำลึงจริงๆ!”
คาดไม่ถึงเลยว่า ในเวลาเดียวกันกับที่เสียงเขาสิ้นสุดลง ประตูห้องของหลี่ชุ่ยฮวาก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง หลี่ชุ่ยฮวาเดินออกมาจากด้านในอย่างเชื่องช้า จนถึงริมระเบียงชั้นสอง
[1] จั่งกุ้ย เป็นตำแหน่งเรียกผู้จัดการร้าน อาจเป็นเจ้าของร้าน หรือผู้ที่เจ้าของจ้างมาทำหน้าที่บริหารร้านแทน