ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 20 ถอนฟืนใต้กระทะ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

นางมองดูห้องโถงใหญ่ชั้นล่างที่เต็มไปด้วยความครึกครื้น เมื่อคิดได้ว่าหลังจากนี้ตัวนางยังต้องใช้ชีวิตที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันอีก หลี่ชุ่ยฮวาก็มีความคิดที่จะกระโดดลงไป เช่นนี้ก็ดี ปัญหาทุกอย่างจะได้สิ้นสุดตามไปด้วย หลังจากนี้นางก็ไม่ต้องได้รับความเจ็บปวดอีกแล้ว 

 

 

ในตอนที่นางกำลังจะกระโดดก็ไม่รู้ว่าใครที่อยู่ในห้องโถงใหญ่แหงนหน้าขึ้นมาเห็นนางพอดี และตะโกนออกมาว่า “พวกเจ้ารีบดูเร็วเข้า นั่นก็คือมารดาของจอหงวนฝ่ายบู๊” 

 

 

สายตาของผู้คนในห้องโถงใหญ่บริเวณชั้นล่างล้วนเหลือบขึ้นมองตามเสียงของเขา บ้างก็มองอย่างพิจารณา บ้างก็อยากรู้อยากเห็น ที่มากยิ่งกว่าก็คืออิจฉา 

 

 

ในใจของหลี่ชุ่ยฮวาราวกับถูกอะไรบางอย่างโจมตีใส่ เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที ใช่แล้ว นางเป็นมารดาของชิงเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ไม่มีทางไม่สนใจนาง ขอเพียงแค่นางสามารถคิดหาวิธีไปพบหน้าเขาสักหลายครั้ง ชิงเอ๋อร์จะต้องรู้ว่าในใจนางคิดถึงเขามาโดยตลอด และจะต้องให้อภัยนางแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากนี้นางก็จะได้ไม่ถูกเศรษฐีหวังเหยียดหยามอีก 

 

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ก็ล้มเลิกความคิดที่จะรนหาที่ตายไป และหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง ท่ามกลางสายตาไม่เข้าใจของฝูงชน 

 

 

อีกด้านหนึ่ง บ่าวรับใช้ที่รับหน้าที่แอบตามนางก็ถอนหายใจเสียงหนัก มารดามันเถอะ เขาตกใจแทบตาย ยังนึกว่านางแพศยานี่จะกระโดดลงมาแล้วจริงๆ ทำให้เขาตื่นตระหนกเสียเหงื่อไหลโซมกาย จนเกือบจะพุ่งตัวออกไปช่วยชีวิตนางเข้าแล้ว 

 

 

เศรษฐีหวังที่ได้รับการรายงานจากบ่าวรับใช้ ก็รับรู้เรื่องราวในวันนี้แล้ว ดวงตาเรียวหรี่ลง “ดูจากท่าทีของเมิ่งชิงแล้ว ยังคงไม่ยอมรับหลี่ชุ่ยฮวา เช่นนั้นก็ทำได้เพียงแค่ต้องใช้แผนการที่โหดเหี้ยมมากกว่าเดิมแล้ว มิเช่นนั้น เสียเวลาอยู่ที่เมืองหลวงต่อไปแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปจนถึงเมื่อใด” 

 

 

ทางเขาวางแผนเรียบร้อยแล้ว ก็รอเวลาหลายวันหลังจากนั้น ไม่เพียงแต่ไม่อาจหาโอกาสที่เหมาะสมให้หลี่ชุ่ยฮวาได้พบกับเมิ่งชิง แต่ยังต้องพบกับเรื่องอันน่าตื่นตระหนกอีกเรื่องหนึ่งแทน 

 

 

นายหญิงหวังที่ขายทรัพย์สินในจวนและที่นาทั้งหมด ลากเกวียนคันใหญ่ที่ด้านในบรรจุทรัพย์สินมาหลายเล่ม นำคนในตระกูลทั้งหมดมาถึงเมืองหลวงอย่างเอิกเกริก ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นเศรษฐีหวังอ้าปากค้างมองมาที่นาง“ท่านพี่ สีหน้าของท่านหมายความว่าอย่างไรกันเจ้าคะ นี่เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ท่านก็มีคนใหม่ข้างนอกแล้วหรือเจ้าคะ”  

 

 

“มีคนใหม่บ้านเจ้าน่ะสิ!” 

 

 

เศรษฐีหวังด่าออกมาอย่างรุนแรง “เจ้าบอกข้ามาก่อนสิว่า นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” 

 

 

นายหญิงหวังที่รีบร้อนเดินทางมาด้วยความลำบากหลายวันนั้น เฝ้ารอคอยการมาถึงเป็นอย่างมาก แต่เมื่อพบหน้ากันแล้วกลับเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็มีโทสะขึ้นมาบ้าง จึงเอ่ยเสียงแหลมโวยวาย โดยไม่สนใจสายตาของฝูงชน “อะไรที่ว่าหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ท่านไม่ได้ส่งคนกลับไป แจ้งว่าตั้งรกรากในเมืองหลวงแล้ว ให้พวกข้าขายทรัพย์สินทั้งหมดในจวนแล้วมาเมืองหลวงหรอกหรือเจ้าคะ” 

 

 

“พูดพล่ามไร้สาระอะไรของเจ้า!” 

 

 

เศรษฐีหวังอารมณ์ร้อน โมโหขึ้นมาทันที “เจ้าไม่เห็นหรือว่า ตอนนี้ข้ายังพักอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยม กระทั่งสถานที่ปักหลักอย่างมั่นคงก็ยังไม่มี? จะจัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้วได้เสียที่ไหนกัน” 

 

 

เห็นเขาถลึงตาหนวดกระดิก ท่าทางที่โมโหจนแทบจะเป็นลมหมดสติแล้ว ในที่สุดนายหญิงหวังก็รู้สึกถึงความผิดปกติของเรื่องนี้ และไม่สนใจอารมณ์โมโห ถลึงตาโต ถามว่า “มีอันใดไม่ถูกต้องหรือเจ้าคะ” 

 

 

“อันใดก็ล้วนไม่ปกติทั้งนั้น ใครส่งจดหมายให้เจ้ากัน โผล่หน้าออกมาเดี๋ยวนี้ ดูสิว่าบิดาจะไม่ถลกหนังเจ้าได้หรือ!” 

 

 

ถึงอย่างไรเศรษฐีหวังก็ชรามากแล้ว เมื่อโมโหโกรธา และเอ่ยจบไปได้ไม่กี่ประโยค ก็ไอออกมาอย่างรุนแรง 

 

 

“ท่านพี่!” 

 

 

นายหญิงหวังกรีดร้องตกใจ ก้าวขึ้นไปข้างหน้า และทุบแผ่นหลังให้เขาเบาๆ “ท่านอย่างเพิ่งโมโห ข้าจะเรียกคนมาเดี๋ยวนี้!” 

 

 

เศรษฐีหวังผลักนางออกอย่างโมโห “เร็วหน่อย!” 

 

 

นายหญิงหวังไม่กล้ารีรอ หันไปออกคำสั่งกับสาวรับใช้ข้างกายว่า “เจ้าไปเรียกหวังเอ้อร์มานี่!” 

 

 

หวังเอ้อร์เป็นบ่าวรับใช้ในจวนคนหนึ่ง ถูกซื้อตัวมาจากในเมืองเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ปีนี้เพิ่งจะอายุได้ยี่สิบปีพอดี คนฉลาดเฉลียวดี ตอนที่อยู่ในบ้านเกิด พ่อบ้านให้ความสนใจในตัวเขามาก ทั้งยังเอ่ยชื่นชมเขาต่อหน้าเศรษฐีหวัง สองสามีภรรยาบ่อยๆ อีกด้วย คราวนี้เขาก็เป็นผู้กลับไปส่งข่าว 

 

 

สาวรับใช้รับคำ วิ่งเหยาะๆ ไปยังเกวียนม้าเล่มสุดท้าย หาอยู่นานสองนาน ก็หาหวังเอ้อร์ไม่พบ หลังจากสอบถามคนรอบแล้ว ก็กลับไปรายงานด้วยสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย “นายท่าน นายหญิง พวกเขาล้วนพูดว่า ตอนที่เข้าเมืองมานั้น ยังเห็นหวังเอ้อร์อยู่เลย แต่ว่าตอนนี้หาตัวคนไม่พบแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

นายหญิงหวังหันหน้าไปมองเศรษฐีหวัง หัวใจเต้นระรัว เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา  

 

 

“พ่อบ้าน พ่อบ้านล่ะ ให้เขาไสหัวมาพบข้าเดี๋ยวนี้!” 

 

 

เศรษฐีหวังตะโกนจบ ก็โมโหเสียจนไอออกมาอีกระลอกหนึ่ง 

 

 

พ่อบ้านรีบร้อนวิ่งมา “นายท่าน เรียกข้าน้อยหรือขอรับ” 

 

 

“หวังเอ้อร์ล่ะ หวังเอ้อร์ไปอยู่ที่ไหนแล้ว” 

 

 

พ่อบ้านตอบคำถามทั้งที่ตัวสั่นงันงก “ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ ตอนที่เพิ่งจะเข้าเมืองมา เขายังอยู่นะขอรับ มาตอนนี้กลับไม่เห็นเสียแล้ว” 

 

 

“สวะ ล้วนเป็นพวกสวะไร้ค่า!” 

 

 

เศรษฐีหวังชี้ไปที่พ่อบ้านและบ่าวรับใช้ทุกคน พร้อมกับด่าว่าอย่างรุนแรง 

 

 

คนทั้งหมดล้วนก้มหน้า ใครก็ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ 

 

 

ในเวลานี้ หวังเอ้อร์ที่เศรษฐีหวังเอ่ยถึงกลับอยู่ในมุมที่ดูเปล่าเปลี่ยวไม่ไกลจากประตูเมืองแห่งหนึ่ง โจวอันยืนอยู่ด้านหน้าเขา หยิบตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงใบหนึ่งและสัญญาขายตัวส่งให้เขา “นี่คือของของเจ้า จำเอาไว้ว่า หลังจากรับไปแล้ว ก็ไปจากเมืองหลวงเดี๋ยวนี้ จากไปยิ่งไกลยิ่งดี อย่าให้ใครหาเจ้าพบ” 

 

 

หวังเอ้อร์ก้มศีรษะ สองมือยื่นไปรับมา หลังจากเอ่ยขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเบื้องหน้าไม่มีเงาร่างของโจวอันอยู่อีกแล้ว ก็ถอนหายใจออกมา เมื่อสิบกว่าวันก่อน ในค่ำคืนหนึ่งก็ถึงคราวที่เขาต้องเข้าเวรยามในช่วงเวลากลางคืน เพิ่งจะเข้าเวรยามได้ไม่นาน ก็ถูกฟาดจนสลบไป รอจนถึงตอนที่ลืมตาขึ้นมา คนก็อยู่ในที่แปลกถิ่นแห่งหนึ่งแล้ว คนที่เขาพบก็คือโจวอัน โจวอันมีสีหน้าจริงจัง มีวิทยายุทธที่รวดเร็วและรุนแรง เมื่อเห็นเขาได้สติแล้ว ประโยคแรกที่เอ่ยก็คือ “ข้าสังเกตมาหลายวันแล้ว เห็นเจ้ามีท่าทางเฉลียวฉลาด มีงานดีๆ งานหนึ่งที่จะมอบหมายให้เจ้าไปทำ เจ้ายินยอมที่จะทำหรือไม่” 

 

 

แน่นอนว่าเขาไม่ยินยอม ลักพาตัวคนในยามค่ำคืนจะมีงานดีๆ อะไรที่มอบหมายให้ทำกัน แต่เขาก็ไม่กล้าพูดว่าไม่ยินยอม เพราะเห็นท่าทางของโจวอัน ที่สามารถมอบจุดจบให้เขาได้ตลอดเวลา จึงทำได้เพียงแต่แสดงท่าทีว่า “ยินยอมๆ แน่นอนว่ายินยอมอยู่แล้วขอรับ ท่านจอมยุทธ์ เชิญท่านกล่าว” 

 

 

โจวอันมองเขาครู่หนึ่ง คิ้วคล้ายกับว่าขมวดขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

หวังเอ้อร์หัวใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม 

 

 

“ที่เลือกให้เจ้าไปปฏิบัติหน้าที่นี้ เพราะเห็นว่าเจ้าเฉลียวฉลาด ถ้าหากว่าเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็ไม่ฝืนใจเจ้า จะส่งเจ้ากลับไปทันที และตามหาผู้อื่นมาทำแทน” 

 

 

เสียงทุ้มต่ำของโจวอันดังขึ้นอีกครั้งในคืนเดือนมืด 

 

 

หวังเอ้อร์ใจสั่นเล็กน้อย ในสมองปรากฏภาพศีรษะตัวเองแยกออกจากกันขึ้นมาทันที จึงตกใจเสียจนแข้งขาอ่อนแรง จนเกือบจะลงไปคุกเข่า รีบร้อนโบกไม้โบกมือ “ไม่ๆๆ ท่านจอมยุทธ์ ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้าน้อยยินยอม ยินยอมขอรับ ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง” 

 

 

โจวอันมองเขาอีกครู่หนึ่ง พร้อมกับเอ่ยว่า “เจ้าเขยิบหูมาใกล้ๆ!” 

 

 

หวังเอ้อร์เขยิบเข้าไปอย่างตัวสั่นงันงก หลังจากโจวอันกระซิบเสียงเบาข้างหูเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็เห็นนัยน์ตาเขาเบิกกว้างราวกับกระดิ่ง จึงเอ่ยเสริมต่อว่า “ขอเพียงแค่เจ้าจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จ นอกจากสัญญาขายตัวของเจ้าแล้ว ยังมีเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่มอบให้เจ้าเพิ่มด้วย” 

 

 

นัยน์ตาของหวังเอ้อร์เบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม จนเกือบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว หลังจากพยายามกลืนน้ำลายไปหลายอึก ก็เอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง “ท่านจอมยุทธ์ สิ่งที่ท่านพูดล้วนเป็นความจริงหรือขอรับ” 

 

 

โจวอันเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง โดยไม่พูดอะไรอีก 

 

 

หวังเอ้อร์กลืนน้ำลายอยู่หลายครั้ง กัดฟันเอ่ย “ได้ เรื่องนี้ข้ารับปากแล้ว เพียงแต่ว่าข้าต้องจากไปสิบกว่าวัน ไม่รู้ว่าจะทำให้เศรษฐีหวังเกิดความสงสัยขึ้นมาหรือไม่” 

 

 

“เรื่องนี้จัดการได้ง่ายมาก ข้าจะจัดการให้เอง ถ้าหากว่าเจ้ายินดี ข้าสามารถส่งเจ้าออกเดินทางได้เลย” 

 

 

“ดีขอรับ!” 

 

 

ก็เป็นเช่นนี้ หวังเอ้อร์กลับไปที่บ้านเกิด บอกนายหญิงหวังตามคำกำชับของโจวอันว่า เศรษฐีหวังลงหลักปักฐานในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว ให้นางขายทรัพย์สินทั้งหมดในจวนและมาที่เมืองหลวง