ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 21 ลอบหนีไปอย่างเงียบๆ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เศรษฐีหวังรู้สึกไขสันหลังเย็นยะเยือกขึ้นมากะทันหัน เมื่อเห็นว่าหาตัวหวังเอ้อร์ไม่พบ ไร้กระทั่งร่องรอยใดๆ และมองสายตากระตือรือร้นของผู้คนในตระกูล รวมไปถึงเกวียนบรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่อีกหลายเล่มที่อยู่เบื้องหน้า ก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองมาเยือนเมืองหลวงนั้นอาจจะเป็นความผิดพลาดประการหนึ่ง 

 

 

นายหญิงหวังก็รู้สึกเช่นกันว่าผิดปกติ ทั้งยังเห็นว่าสีหน้าเขาไม่ค่อยดี จึงตกใจยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก 

 

 

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบ่าวรับใช้ที่แทบจะหดตัวให้กลายเป็นลูกกลมๆ ลูกหนึ่ง ก้มหน้าลงต่ำเพื่อลดการมีอยู่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ 

 

 

หน้าประตูโรงเตี๊ยมเงียบสงัดจนได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลของเศรษฐีหวัง 

 

 

ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ[1] บนใบหน้าของบ่าวรับใช้ล้วนมีเม็ดเหงื่อผุดออกมา ถึงได้ยินเสียงกัดฟันกรอดของเศรษฐีหวังดังขึ้น “จั่งกุ้ย!” 

 

 

จั่งกุ้ยก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ไปชั่วครู่หนึ่งเช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกของเขา จึงตอบรับตามสัญชาตญาณ 

 

 

“ขอรับ!” 

 

 

“โรงเตี๊ยมของเจ้ามีห้องว่างมากพอที่จะให้คนมากมายขนาดนี้พักอาศัยหรือไม่” 

 

 

ใบหน้าของจั่งกุ้ยมีความปีติยินดีขึ้นมาก่อน และตามด้วยสีหน้าลำบากใจในภายหลัง “นายท่าน ต้องขอประทานโทษด้วยจริงๆ ในโรงเตี๊ยมมีเหลือเพียงแค่ห้องเดียวขอรับ” 

 

 

เมื่อกล่าวจบ จั่งกุ้ยก็กุมหน้าอกด้วยความเจ็บปวดใจ คนมากมายขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะพักแค่คืนเดียว ก็สามารถมีเงินไหลเข้าบัญชีไม่น้อย น่าเสียดายที่โรงเตี๊ยมของเขาเข้าพักไม่ได้แล้ว 

 

 

คาดไม่ถึงเลยว่าเศรษฐีหวังจะเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “ห้องเดียวก็เพียงพอแล้ว!” 

 

 

นัยน์ตาจั่งกุ้ยเป็นประกาย เอ่ยถามเสียงสั่น “ความหมายของนายท่านก็คือ…” 

 

 

แม้ปากจะถาม แต่ในใจกลับขอพรอธิษฐานให้เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้ ให้เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้ 

 

 

เสียงไพเราะน่าฟังของเศรษฐีหวังดังขึ้นข้างหูเขา “พวกข้าต้องการเพียงแค่ห้องเดียว ส่วนคนที่เหลือนั้น เจ้าก็จัดการตามสมควรเถอะ” 

 

 

จัดการตามสมควร เช่นนั้นพักในคอกม้าก็ได้สินะ นัยน์ตาจั่งกุ้ยเป็นประกายสว่างยิ่งขึ้น น้ำเสียงดีใจจนสั่น “ได้เลยขอรับ ข้าน้อยจะรีบสั่งคนให้ไปจัดการเดี๋ยวนี้” 

 

 

เอ่ยจบแล้ว ก็หัวเราะฮาๆ “ถ้าเช่นนั้น ท่านคิดว่าค่าที่พักโรงเตี๊ยม?” 

 

 

คอกม้าก็เป็นของโรงเตี๊ยมพวกเขา จึงเป็นธรรมดาที่ไม่อาจให้คนเหล่านี้อาศัยอยู่เปล่าๆได้ 

 

 

เศรษฐีหวังรำคาญใจ เอ่ยอย่างหงุดหงิด โดยไม่เหลือบมองฝูงชน รวมถึงจั่งกุ้ยด้วยเช่นกัน “ให้เจ้าคืนหนึ่งยี่สิบตำลึง แบบนี้ก็ได้แล้วสินะ” 

 

 

น้อยไปหน่อย จั่งกุ้ยอยากจะพูดเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเศรษฐีหวังแล้ว ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมรับปาก เกรงว่าคราวนี้คงทะเลาะแตกหักกับเขาไปข้างหนึ่ง ถึงตอนนั้นก็ไม่แน่ว่า เขาจะคืนห้องทั้งหมดที่พักอยู่ที่นี่ และไปพักอาศัยที่โรงเตี๊ยมแห่งอื่นแทน จึงพยักหน้าหัวเราะฮาๆ ในทันที “ได้ขอรับ ได้ขอรับ นายท่านโปรดวางใจ ข้าจะจัดการหาที่พักสำหรับพวกเขาให้เรียบร้อยแน่นอนขอรับ” 

 

 

เศรษฐีหวังไม่พูดอะไรอีก หมุนร่างเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยสีหน้าทะมึน นายหญิงหวังลังเลอยู่ชั่วครู่ ค่อยยกเท้าเดินตามไปด้านหลัง 

 

 

บุตรชายของเศรษฐีหวังและภรรยากลับสบตากันครู่หนึ่ง แต่ไม่กล้าขยับเขยื้อน 

 

 

เศรษฐีหวังได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลังผิดปกติ ก็หันหน้ากลับไปมองคนสองคนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จึงตะคอกอย่างโมโหว่า “ยังไม่รีบไสหัวขึ้นมาอีก พวกเจ้าสองคนจะทำตัวน่าขายหน้าไปถึงเมื่อใดกัน” 

 

 

ทั้งสองคนรีบเดินเข้ามา และตามหลังขึ้นไปทันที 

 

 

เศรษฐีหวังแค่นเสียง หันหน้ากลับ เดินขึ้นชั้นบนต่อไป 

 

 

เหล่าเสี่ยวเอ้อร์[2]ล้วนพากันไปทำความสะอาดคอกม้าแล้ว จั่งกุ้ยจึงทำได้เพียงแค่ขึ้นไปที่ชั้นบน เปิดห้องที่เชื่อมถึงกันให้พวกเขาห้องหนึ่งด้วยตัวเอง “เป็นห้องนี้ขอรับ พวกท่านลองดูก่อนว่าได้หรือไม่” 

 

 

“สามารถนอนได้ก็พอแล้ว ยังจะมีอะไรไม่ได้อีกกัน” 

 

 

ลูกชายของเศรษฐีหวังยังไม่ทันได้เอ่ยพูดอะไร เศรษฐีหวังก็เอ่ยขึ้นมาอย่างหมดความอดทนเสียก่อน 

 

 

หวังเต๋อหดตัวด้วยความตกใจ 

 

 

จั่งกุ้ยมองเขาด้วยความประหลาดใจครู่หนึ่งแล้วหมุนตัวลงไปชั้นล่าง 

 

 

เศรษฐีหวังก็เห็นท่าทางของหวังเต๋อเช่นเดียวกัน จึงยิ่งโมโหมากกว่าเดิม ชีวิตนี้ของเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกระทำเรื่องผิดมโนธรรมมากเกินไป หรือว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่นใด นอกจากนายหญิงหวังแล้ว ก็ยังรับอนุภรรยาอีกมากมาย แต่ว่ามีเพียงแค่หวังเต๋อที่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียว คนเดียวก็ช่างเถอะ สั่งสอนเลี้ยงดูอย่างดีสักหน่อย ให้เหมือนตนเองอีกคนก็ยังดี แต่ว่าเจ้าบุตรชายคนนี้กลับเป็นคนไร้ความสามารถ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ จนหมดหนทางเยียวยาคนหนึ่ง ทำอะไรก็ไม่เป็น กินสิ่งใดสิ่งนั้นล้วนอร่อย ตอนนี้ก็อายุเท่าไรเข้าไปแล้ว กระทั่งกิจการของตระกูลสักแห่งก็ยังควบคุมดูแลไม่รอด มิเช่นนั้น เขาที่ชราถึงเพียงนี้ จะยังต้องเป็นกังวลถึงอนาคตของหลานชายทั้งสองคนให้ลำบากไปเพื่ออะไร มาวันนี้ก็ตกอยู่ในสภาพที่ถูกคนดีดลูกคิดวางแผนเล่นงานอีก 

 

 

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ถูกคนดีดลูกคิดวางแผนเล่นงานแล้ว ก็นึกถึงทรัพย์สินที่ตัวเองหามาได้อย่างยากลำบากกว่าครึ่งค่อนชีวิตที่หายไป โทสะจึงยิ่งไม่มีทางให้ระบายออก จึงตำหนิหวังเต๋อด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “ไสหัวเข้าไปในห้องพักเสีย ไม่มีคำอนุญาตจากข้า ไม่อนุญาตให้เจ้าออกมา” 

 

 

หวังเต๋อตกใจจนหดตัวอีกครั้ง ไถลตัวเข้าไปในห้องทันที ภรรยาหวังเต๋อก็ตามเข้าไปติดๆ เช่นกัน 

 

 

เศรษฐีหวังโกรธเสียจนหนวดกระดิก ถลึงตาใส่นายหญิงหวัง “ล้วนเป็นบุตรชายแสนดีที่เจ้าเลี้ยงออกมา!” 

 

 

เมื่อเอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อ เดินเข้าไปในห้องของตัวเอง 

 

 

นายหญิงหวังรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างมาก ตัวนางเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรชายนั้นไม่ผิด แต่ว่าเขาเลี้ยงดูมาเองกับมือ ในวันนี้ถึงได้กลายเป็นสภาพแบบนี้ จะมาโทษตัวนางได้อย่างไรกันเล่า แต่ว่าในตอนนี้นางไม่กล้าเอ่ยคำโต้แย้งเช่นนี้ออกไป ทำได้เพียงแค่ก้มศีรษะเดินตามเข้าไปในห้องด้วย 

 

 

จวนอ๋องฉี 

 

 

โจวอันที่จัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปรายงานเมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบแล้ว ก็หัวเราะเบาๆ มิน่าเล่า ตลอดหลายวันมานี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่แท้ก็ลอบหนีไปอย่างเงียบๆ นี่เอง เจ้าท้องดำ[3]ผู้นี้นี่ คิดจะให้เศรษฐีหวังและคนทั้งตระกูลเป็นขอทานในเมืองหลวงเลยหรือ 

 

 

ตอนที่เศรษฐีหวังเกิดโทสะอยู่ที่ชั้นล่าง พ่อลูกตระกูลหลี่ทุกคนล้วนได้ยินหมดแล้ว เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า และเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจทันที เรื่องนี้แปดส่วนต้องมีความเกี่ยวข้องกับเมิ่งชิงอย่างแน่นอน กระทั่งเศรษฐีหวังก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นพวกเขา… 

 

 

หลี่เหล่าฮั่นเงียบกริบไม่พูดไม่จา หลี่เซิ่งสามพี่น้องก็ยื่นมือออกมาลูบคอตัวเองในเวลาเดียวกัน อดนึกถึงท่าทางโหดเหี้ยมของเมิ่งเชี่ยนโยวในปีนั้นขึ้นมาไม่ได้ และตัวสั่นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย 

 

 

“พี่ พี่ใหญ่…” 

 

 

หลี่เหล่าเอ้อร์ปากสั่น ตะโกนเรียกคน 

 

 

หลี่เซิ่งหันหน้าไปมองเขา ความหวาดกลัวในนัยน์ตานั้นมีมากกว่าเขามาก 

 

 

“พวก พวกเรา…” 

 

 

หลี่เหล่าซานก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก ไม่เพียงแต่ปากสั่นฟันกระทบกัน กระทั่งร่างกายก็เริ่มสั่นเทาเช่นกัน 

 

 

ภายในห้องเงียบสงัดเสียจนเหลือเพียงแค่เสียงหอบหายใจด้วยความเคร่งเครียดของทั้งสี่คน 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่เซิ่งถึงได้เอ่ยรอดไรฟันที่กระทบกันอยู่ออกมาคำหนึ่ง “ไป!” 

 

 

“ไป ไปที่ ไปที่ไหนเล่า” 

 

 

หลี่เหล่าซานเอ่ยถามขึ้นตามจิตใต้สำนึก 

 

 

เมื่อเอ่ยคำว่าไปออกมาแล้ว หลี่เซิ่งก็สงบเยือกเย็นขึ้นมาก คำพูดในตอนท้ายก็ชัดเจนยิ่งขึ้น “แน่นอนว่ากลับบ้านเกิด ยิ่งเร็วยิ่งดี ยามนี้ในมือพวกเรามีเงินมากมายขนาดนี้ ไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงเพื่อกระทำเรื่องที่ผิดมโนธรรมร่วมกับผู้อื่นได้อีก” 

 

 

เดิมเป้าหมายของพวกเขาก็คือกอบโกยเงินเล็กน้อย ตอนนี้ก็ได้มาไว้ในมือแล้ว อีกทั้งยังเป็นจำนวนไม่น้อย มากพอที่จะให้พวกเขาไร้ซึ่งความกังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหารในอีกครึ่งชีวิตที่เหลือแล้ว หากยามนี้ไม่จากไป และต้องสละชีวิตเพราะเหตุนี้ ก็ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย 

 

 

คำพูดของเขาเพิ่งจะเอ่ยจบ หลี่เหล่าเอ้อร์ หลี่เหล่าซานก็พยักหน้าเหมือนลูกเจี๊ยบจิกข้าวสาร “ใช่ๆๆ ฟังพี่ใหญ่เถอะ พวกเราไปกัน ไปเดี๋ยวนี้ ออกเดินทางในตอนนี้เลย” 

 

 

เอ่ยจบแล้ว ทั้งสามคนก็หันหน้าไปมองหลี่เหล่าฮั่นพร้อมกัน 

 

 

หลี่เหล่าฮั่นในตอนนี้มีสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม และรู้ว่าหากอยู่ในเมืองหลวงต่อไปจะต้องไม่เหลือชีวิตอย่างแน่นอน จึงไม่ได้คัดค้าน เพียงแต่มองเตียงตัวใหญ่ที่ตัวเองนอนหลับอย่างสบายในหลายวันมานี้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ เค้นเสียงรอดไรฟันออกมาคำหนึ่งว่า “ไป!” 

 

 

เขาก็เห็นด้วยเช่นกัน ยามนี้ทุกคนไม่มีความลังเล กระทั่งเสื้อผ้าเก่าซอมซ่อที่นำมาด้วยเล็กน้อยก็ไม่ได้เก็บ เคลื่อนไหวลงไปที่ชั้นล่าง และออกจากประตูโรงเตี๊ยม ไปด้วยความรวดเร็ว 

 

 

  

 

 

  

 

 

 [1] เค่อ  เป็นวิธีการนับเวลาแบบจีน 1 เค่อ เทียบเท่ากับ 15 นาที 

 

 

[2] เสี่ยวเอ้อร์ ในหนังกำลังภายในเป็นศัพท์ที่รู้กันว่าหมายถึง บ๋อยหรือบริกรในโรงเตี๊ยมขายเหล้าขายอาหาร 

 

 

[3] ท้องดำ หมายถึง คนที่ภายนอกดูใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ภายในใจนั้นเต็มไปด้วยแผนการและเล่ห์กล