ตอนที่ 2059 ขอผมลองดู!

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 2059 ขอผมลองดู!

“หลิวหยาง?” คุ่ยเฉี่ยวขมวดคิ้ว

ชื่อนี้…เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน!

“เข้าไปดูกันเถอะ”

รู้ดีว่าเข้าไปดูให้เห็นกับตาย่อมดีกว่ามัวตั้งคำถาม คุ่ยเฉี่ยวรีบเพ่งสมาธิเข้าสู่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล

ที่สังเวียนประลอง เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกวาดสายตาไปทั่วฝูงชนอย่างตั้งอกตั้งใจ “มีใครอยากดวลกับผมอีกไหม?”

ไม่มีเสียงตอบ

อีกฝ่ายเอาชนะได้ถึง 14 รอบติดต่อกัน ปราบได้แม้แต่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหมายเลข 1 ของสำนักดาวเจ็ดดวง เมื่อรู้แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ไม่โง่เง่าพอจะคิดว่าตัวเองมีโอกาสเอาชนะปีศาจที่เก่งกาจระดับนั้นได้

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครเต็มใจขึ้นสู่สังเวียน

“ขอผมลองดู!” ผู้อาวุโสหงอู่ประกาศ

เมื่อครู่นี้เองที่เขาเพิ่งท้าทายเหล่าผู้อาวุโสและเอาชนะทุกคนได้ เขายังคงฮึกเหิมด้วยเจตจำนงการต่อสู้เต็มเปี่ยม

“ระวังตัวด้วย” คุ่ยเฉี่ยวแนะ

การลงทะเบียนเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าผู้อาวุโสหงอู่ก็ประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ของเขาบนสังเวียนประลอง

อีกฝ่ายดูมีอายุราว 20 ปี แต่ก็นั่นแหละ การปลอมแปลงรูปลักษณ์ในหอนิรันดร์เป็นเรื่องง่ายมาก จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามประเมินใครด้วยรูปร่างหน้าตาที่ปรากฏในหอนิรันดร์

แต่โดยมาก คนหนุ่มก็มักไม่เต็มใจปลอมตัวเป็นผู้อาวุโส และผู้อาวุโสก็ไม่นิยมปลอมตัวเป็นคนหนุ่มเช่นกัน

อีกอย่าง ด้วยบุคลิกและท่าทีของอีกฝ่าย ผู้อาวุโสหงอู่พอประเมินได้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่น่าจะอายุมากนัก อย่างมากที่สุดก็คง 50 ปี

ผู้อาวุโสหงอู่ส่งโทรจิต “ผมคือหงอู่จากสำนักดาวเจ็ดดวง เป็นไปได้ไหมว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน?”

“หงอู่?” ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามส่ายหน้า “ผมไม่คิดว่าผมรู้จักคุณนะ”

ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสหงอู่เลิกคิ้ว

ถึงตัวเขาจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวซึ่งเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่ก็เป็นที่รู้จักทั่วไปในหมู่สมาชิกของสำนักดาวเจ็ดดวง แทบไม่มีใครในเมืองปี้หยวนที่ไม่รู้จักเขา

แต่ชายผู้นี้ดูเหมือนจะจดจำเขาไม่ได้เลย

เขาไม่ใช่คนในพื้นที่ของเมืองปี้หยวนหรือ?

ชายหนุ่มดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้อาวุโสหงอู่ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “ขอแค่คุณยอมจ่ายเงิน 2,560 เหรียญนิรันดร์ถ้าคุณแพ้ ผมก็ไม่รังเกียจหรอกนะที่จะบอกว่าผมรู้จักคุณ ถ้าเรื่องนั้นมันสำคัญกับคุณล่ะก็”

เมื่อเลยจากรอบที่ 10 ไป อัตราส่วนเดิมพันของเหรียญนิรันดร์จะไม่ใช่ 2 เท่าแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นจำนวนเงินที่ไม่มีใครสามารถหาได้

พูดอีกอย่างก็คือ การดวลทุกนัดที่เกินไปกว่ารอบที่ 10 จะทำเงินให้จางเซวียนได้เพียงรอบละ 2,560 เหรียญนิรันดร์เท่านั้น

เพราะเอาชนะได้ถึง 14 รอบติดต่อกัน จางเซวียนจึงมีเงินทั้งหมด 15,353 เหรียญนิรันดร์ ถือว่าไม่ไกลจากเป้าหมายของเขาที่ 20,000 เหรียญ

คำพูดนั้นทำให้ผู้อาวุโสหงอู่หน้าเปลี่ยนสี เขารีบส่ายหัวและพูดว่า “เริ่มเถอะ!”

คนที่พูดจาไม่เข้าหูอย่างคุณไม่น่าจะมีเพื่อนหรอก*!*

ถ้าคุณรู้จักผม ก็ตามนั้น แต่ถ้าคุณไม่รู้จักผม…ก็ตามนั้นเหมือนกัน ทำไมถึงพูดราวกับว่าผมร้องขอให้คุณรู้จักผม?

ที่สำคัญกว่านั้น มันเรื่องอะไรถึงพูดอย่างกับว่าผมต้องแพ้แน่ๆ คุณต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเสียเงิน 2,560 เหรียญนิรันดร์ รู้ตัวไว้ด้วย!

ผู้อาวุโสหงอู่คร้านจะเสียเวลา ร่างของเขาพร่าเลือนไปทันทีขณะพุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง เขาเงื้อฝ่ามือและกระโจนขึ้นสูงเพื่อปล่อยพละกำลังจากฝ่ามือเข้าใส่จางเซวียนจากด้านบน

ฝ่ามือไร้บุปผา!

พลังปราณที่ถูกรวบรวมไว้ในการโจมตีจากฝ่ามือนั้นร้อยรัดชายหนุ่มไว้แน่นราวกับเถาวัลย์

แม้วรยุทธของเขาจะถูกลดต่ำลงให้เป็นแค่นักรบอมตะตัวจริง แต่ก็ยังสามารถดึงพละกำลังที่แท้จริงของฝ่ามือไร้บุปผาออกมาได้ เถาวัลย์มากมายนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปและร้อยรัดตัวมันรอบเป้าหมาย ไม่มีพละกำลังหรือแรงส่งอันน่าทึ่งใดๆ แต่การโจมตีจากฝ่ามือนั้นดูจะโอบล้อมอีกฝ่ายไว้อย่างแน่นหนา

ก็เพราะกระบวนท่านี้ที่ทำให้เขาเอาชนะผู้อาวุโสได้มากมาย!

“ไม่เลวนี่” จางเซวียนพยักหน้า

ทักษะของคู่ต่อสู้ที่เขากำลังเผชิญอยู่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคู่ต่อสู้ทั้ง 14 คนที่เขาเจอมา

ก็เหมือนกับครั้งก่อนๆ จางเซวียนตอบโต้ด้วยการปล่อยพละกำลังจากฝ่ามือ

เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้าก็เอาชนะอีกฝ่ายได้

การโจมตีจากฝ่ามือของจางเซวียนดูเหมือนจะมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมา แผดเผาเถาวัลย์ทั้งหมด

ความแปลกประหลาดนี้ทำให้ผู้อาวุโสหงอู่หรี่ตาด้วยความตกใจ พริบตาต่อมา เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ตรึงร่างของเขาไว้ ทำให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้

พลั่ก!

การโจมตีจากฝ่ามือปะทะศีรษะของเขาอย่างจัง ร่างไร้ชีวิตทรุดฮวบลงกับพื้น

หลังจากเล่นงานคู่ต่อสู้แล้ว จางเซวียนพบว่าเงินของเขาเพิ่มขึ้นอีก 2,560 เหรียญนิรันดร์ ทำให้ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาหันไปมองฝูงชนอีกครั้ง “เอาล่ะ มีใครอยากดวลกับผมไหม?”

ตอนนี้เขารวบรวมเงินได้ 17,915 เหรียญนิรันดร์แล้ว แค่เอาชนะคู่ต่อสู้อีกคนเดียวก็จะสะสมได้ครบ 20,000 เหรียญนิรันดร์!

“ขนาดหงอู่ยังพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วแบบนั้น?”

ที่ด้านล่างสังเวียนประลอง เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวสูดหายใจลึก

ผู้อาวุโสหงอู่เพิ่งเอาชนะผู้อาวุโสทุกคนในสำนักดาวเจ็ดดวงได้สำเร็จ ไม่มีพ่ายแพ้สักครั้ง แต่เมื่อเจอกับหมอนี่ ก็แพ้ราบคาบด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว

เขาเป็นใครกัน*!* เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวขมวดคิ้ว คงไม่ได้มาจากสำนักดาวเจ็ดดวงของเราแน่ไม่อย่างนั้นเราคงได้ยินชื่อเขาไปนานแล้ว

การที่อีกฝ่ายเข้าสู่หอนิรันดร์ของวรยุทธขั้นอมตะตัวจริงได้ก็แปลว่าเขาสำเร็จวรยุทธขั้นอมตะตัวจริงแล้ว ถ้าเป็นที่สำนักดาวเจ็ดดวง อย่างน้อยชายผู้นี้ก็ต้องได้เป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด

ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นงานเมิ่งฮั่นและผู้อาวุโสหงอู่ให้พ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย สำนักดาวเจ็ดดวงก็น่าจะรับรู้ถึงชื่อเสียงของเขานานแล้ว ถ้าอีกฝ่ายเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดจริงๆ ก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ไม่เห็นแบบนี้!

“หลิวหยาง…” คุ่ยเฉี่ยวครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหู

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครรับคำท้าของหลิวหยาง ผู้อาวุโสที่ 1 ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกระโจนขึ้นสู่สังเวียน “ผมจะลองดู”

แม้วรยุทธของเขาจะเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ แต่ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ เขาแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสหงอู่มาก เป็นเพราะเขาอายุเกิน 100 ปีแล้ว จึงไม่มีสิทธิ์เข้าท้าทายสะพานเบื้องบน

แต่เมื่อเห็นหลิวหยางคนนี้เอาชนะผู้อาวุโสหงอู่ได้อย่างง่ายดาย ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเขาจะรับมือกับชายหนุ่มได้หรือไม่

บนสังเวียนประลอง จางเซวียนกำลังใจเต้นตึกตักด้วยความกังวลเมื่อไม่มีใครรับคำท้าของเขา จึงโล่งใจมากที่เห็นผู้อาวุโสอีกคนกระโจนขึ้นมา เขาแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็โบกมือ “เริ่มกันเถอะ”

เขาตั้งใจจะปิดจ๊อบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่มีโอกาสตอบโต้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจต้องชวดเหรียญนิรันดร์

ส่วนเหตุผลที่เขาใช้ชื่อ ‘หลิวหยาง’…

ก็แน่ล่ะ จางเซวียนไม่มีทางเลือก เพราะสมญานามโดยปกติของเขาอย่าง ‘ผมน่ะถ่อมตัว’ และ ‘ผมน่ะหล่อมาก’ ดูจะบ่งชี้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขามากเกินไป เมื่อมาคิดดู ในเมื่อเขาโพล่งชื่อเจิ้งหยางออกมาแล้วเมื่อตอนอยู่ที่หอนานาอสูร แทนที่จะมัวเค้นหัวสมองหาชื่อดีๆ ก็น่าจะใช้ชื่อของศิษย์สายตรงอีกคนหนึ่งของเขาเลยดีกว่า

ตราบใดที่เขาไม่เลือกชื่อจ้าวหย่าหรือเว่ยหรูเหยียน ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร

สิ่งนี้ช่วยลดความลำบากลงได้มาก

“เริ่มกันเถอะ” ผู้อาวุโสที่ 1 ของสำนักดาวเจ็ดดวงพยักหน้า

เขาปล่อยการโจมตีอันทรงพลังตั้งแต่ต้น

ในชั่วพริบตา ภาพติดตาหลายสิบภาพของฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันเชื่อมโยงกันด้วยบางสิ่งที่มีลักษณะเหมือนโซ่

ฝ่ามือมังกรกลายร่าง!

ว่ากันว่าหากทำความเข้าใจได้ถึงขั้นการประสบความสำเร็จในภาพรวม ผู้ฝึกเทคนิคนี้จะสามารถ แปรสภาพฝ่ามือของตัวเองให้กลายเป็นมังกรสวรรค์ และสร้างความบอบช้ำแสนสาหัสให้คู่ต่อสู้ได้

“เหลือเชื่อจริงๆ ผมไม่นึกเลยว่าเขาจะฝึกฝนฝ่ามือมังกรกลายร่างได้ถึงขั้นนี้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี เขาใกล้จะประสบความสำเร็จในภาพรวมแล้ว” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า

ตั้งแต่ตัวเขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ ก็แทบไม่ได้ต่อสู้กับนักรบระดับอมตะขั้นสูงอย่างผู้อาวุโสที่ 1 เลย จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพัฒนาตัวเองไปถึงระดับไหน

เมื่อเห็นกระบวนท่านี้ จึงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าด้วยอาการยอมรับ

ฝ่ามือมังกรกลายร่างคือหนึ่งในเทคนิคการต่อสู้ที่ฝึกฝนได้ยากที่สุดของสำนักดาวเจ็ดดวง แต่อีกฝ่ายเข้าถึงความเชี่ยวชาญระดับสูงแล้ว พูดกันตามตรง ต่อให้ตัวเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้

“น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสที่ 1 อายุเกิน 100 ปีแล้ว ไม่อย่างนั้น ผู้อาวุโสหงอู่คงสู้เขาไม่ได้แน่” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวส่ายหน้าอย่างเสียดาย

การฝึกฝนวรยุทธด้วยวิธีการธรรมดานั้นไม่อาจทำให้เข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ ต่อให้ผู้ฝึกฝนจะปราดเปรื่องแค่ไหนก็ตาม

วิธีเดียวก็คือเข้าสู่สะพานเบื้องบนและท่องไปในหอเทพเจ้า!

เหตุผลหลักที่เขามีวรยุทธอย่างทุกวันนี้ก็เพราะเคยเข้าสู่สะพานเบื้องบนเมื่อร้อยปีก่อน

แน่นอนว่าผู้อาวุโสหงอู่นั้นไม่ธรรมดา ถึงขนาดที่ในเวลานี้ไม่มีใครในสำนักดาวเจ็ดดวงที่เทียบชั้นกับเขาได้ แต่ในครั้งนั้น อีกฝ่ายก็ยังอ่อนด้อยกว่าเขาเล็กน้อย

“ในบรรดา 6 สำนักใหญ่ มีแต่สำนักดาบเมฆเหินเท่านั้นที่ดูจะมีภาษีดีกว่า” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตั้งข้อสังเกต

เป้าหมายสูงสุดของทั้ง 6 สำนักใหญ่ก็คือการได้เข้าสู่หอเทพเจ้าและฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มา

การฉกฉวยตัวอักษรคำว่าเทพเจ้าไม่ใช่แค่การกระทำที่นำเกียรติยศและความภาคภูมิใจมาสู่สำนัก ที่สำคัญกว่านั้น ตัวอักษรคำว่าเทพเจ้ายังเป็นกุญแจสู่การสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ด้วย

ส่วนสำนักที่ไม่มีตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ ก็ได้แต่รอคอยการลงมาของสะพานเบื้องบนในทุกๆ 100 ปีเพื่อฝ่าด่านวรยุทธ ถ้าไม่ใช่เพราะสะพานเบื้องบน ต่อให้สำนักหนึ่งจะมีอัจฉริยะผู้เก่งกาจเหนือชั้นอยู่มากมายแค่ไหน ก็จะไม่มีใครมีโอกาสเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์!