บทที่ 1462 : ถูกดุ
ความจริงแล้วเมื่อหลิงหยุนได้รับกระบี่มังกรเทวะมานั้นเขารับรู้ได้ถึงความดีอกดีใจของมัน และวิญญาณกระบี่ก็ได้พยายามที่จะสื่อสารกับเขา เพียงแต่เวลานี้เขาจะต้องไปพบฉินจิวยื่อ จึงมิได้มีเวลาที่จะศึกษามันอย่างละเอียด
“ในที่สุดก็คืนกลับสู่เจ้าของเสียที!”
หลังจากที่หลิงหยุนรับกระบี่มังกรเทวะคืนกลับไปฉินตงเฉวี่ยก็ได้แต่รู้สึกโล่งใจ..
ฉินตงเฉวี่ยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เมื่อครั้งที่บุกไปสำนักกระบี่เทียนซาน เจ้าสามารถใช้กระบี่โลหิตแดนใต้สังหารศัตรูที่เข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้เช่นนั้น ฉะนั้นแล้วกระบี่เล่มนี้ที่พบเจอในที่เดียวกัน ย่อมต้องเป็นกระบี่วิเศษเช่นกัน!”
“ถูกต้อง!”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆพร้อมรีบตอบกลับไปว่า “ในเมื่อเจ้าปฏิเสธไม่ยอมรับไว้ เวลานี้จะมานึกเสียใจก็ไม่ทันแล้วล่ะ!”
ฉินตงเฉวี่ยส่งสายตาค้อนให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าไม่นึกเสียใจเป็นแน่! ขอบอกตามตรง.. กระบี่เล่มนี้มิเคยห่างกายข้า หากเป็นผู้อื่นข้าคงมิยอมมอบให้เป็นแน่..”
ฉินตงเฉวี่ยหันมองไปทางอื่นพร้อมกับพูดต่อว่า“กระบี่เล่มนี้หากอยู่ในมือเจ้า ย่อมสามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่ มันคู่ควรที่จะกลับไปอยู่ในมือของเจ้า”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาและเวลานี้ฉินตงเฉวี่ยซึ่งยืนอยู่บนกระบี่เหิน กระโปรงสีขาวของนางโบกสะบัดไปตามแรงลม ดูงดงามราวกับเทพธิดาที่จุติลงมาจากสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
“ว่าแต่เวลานี้ไป๋เซียนเอ๋อเก็บตัวอยู่ที่ภูเขาเพลิงนั้นใช่ในถู่หลู่ฟ่านหรือไม่”
“ถูกต้องแล้ว..ที่นั่นล่ะ!”
“ที่นั่นอยู่ห่างจากสำนักกระบี่หลิงหยุนมากทีเดียวพวกเจ้าสองคนไปที่นั่นได้อย่างไร แล้วเซียนเอ๋ออยู่ที่นั่นตามลำพังงั้นรึ?”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ก็แค่แปดร้อยกิโลเมตรเท่านั้น!”
ในเมื่อเวลานี้หลิงหยุนสามารถเหาะไปบนอากาศได้ไม่ว่าจะเหาะไปในแห่งหนใด ย่อมสามารถบินตรงไปได้เป็นเส้นตรง โดยมิต้องหลบเลี้ยวสิ่งกีดขวาง ระยะทางจึงสั้นลงกว่าความเป็นจริง
หลิงหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับหันไปบอกกับฉินตงเฉวี่ยว่า “ตงเฉวี่ย เวลานี้เจ้าเองก็เข้าสู่ขั้นซานเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-3) แล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้กระบี่เหินได้อย่างคล่องแคล่ว อีกไม่นานคงจะสามารถเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ได้..”
“ในวันข้างหน้า..เจ้าจะสามารถเข้าใจจิตใจตนเองได้มากกว่านี้!”
หลิงหยุนนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะย้ำใหม่ว่า “ไม่เพียงแค่เข้าใจได้มากขึ้น แต่จิตใจของเจ้าจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว!”
“ข้าจะอธิบายเรื่องนี้อีกทีเมื่อเวลานั้นมาถึง..”
จากการได้สนทนากับฉินตงเฉวี่ยในวันนี้หลิงหยุนตระหนักได้ถึงปัญหาหนักหน่วง เขาจึงได้แต่เกริ่นบอกเส้นทางการบ่มเพาะพลังให้แก่นางรู้คร่าวๆเสียก่อน
การฝึกวรยุทธบ่มเพาะของผู้ฝึกยุทธทั้งหลายนั้นจุดเริ่มต้นอยู่ที่การกลั่นปราณ และทุกครั้งที่สามารถทะลุทะลวงผ่านไปได้ในแต่ละขั้น ย่อมหมายถึงชีวิตที่เปลี่ยนไป แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณภาพ แต่หากมิสามารถปรับสภาพจิตใจให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ย่อมต้องเกิดปัญหาตามมาในไม่ช้า
สิ่งที่จะตามานอกเหนือจากนั้นคือ..ชีวิตที่ยืนยาวขึ้น พลังความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในการก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด และอีกมากมาย.. ในแต่ละครั้งที่ทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปได้นั้นย่อมต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น และจำต้องใช้เวลาในการปรับตัวในแต่ละขั้นให้สมบูรณ์ หาไม่แล้วหากกายกับใจมิไปในทิศทางเดียวกัน วันข้างหน้าย่อมเกิดความเสียหายอย่างแน่นอน
แต่สำหรับหลิงหยุนนั้นแตกต่างกันเขาเคยผ่านขั้นต่างๆมาแล้วทั้งสิ้น การเข้าสู่ขั้นของหลิงหยุนในโลกนี้จึงเสมือนเป็นการทบทวนเท่านั้น การปรับกายและใจจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และไม่มีสิ่งใดผิดพลาด
แต่สำหรับไป๋เซียนเอ๋อตี้เสี่ยวอู๋ และฉินตงเฉวี่ยนั้นแตกต่างกัน ทุกครั้งที่พวกเขาเหล่านี้ทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปได้นั้น ย่อมเสมือนการเปิดประตูบานใหม่ให้กับตนเอง และหลังประตูก็คือโลกใบใหม่ของพวกเขา ฉะนั้นแล้ว.. ย่อมต้องใช้เวลาในการสำรวจโลกใหม่ และปรับตัวให้เข้ากับมัน จึงจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ในด่านกลางขั้นพลังชี่นั้นสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ อีกทั้งยังสามารถใช้พลังวิเศษต่างๆได้..
นับจากด่านนี้ขึ้นไปผู้บ่มเพาะพลังจะต้องเข้าสู่การรับทัณฑ์สวรรค์ และทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วก็นับเป็นทัณฑ์สวรรค์แรก ที่ผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะจะต้องพบเจอ และมันก็เป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับพวกเขาไม่น้อย
หลิงหยุนเอ่ยกับฉินตงเฉวี่ยว่า“การฝึกบ่มเพาะพลังนั้น จุดมุ่งหมายคือการมุ่งสู่ความเป็นเซียน หาใช่เพื่อประโยชน์ในการต่อสู้ หรือสังหารผู้คนไม่..”
ฉินตงเฉวี่ยได้ยินเช่นนั้นจึงอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้“แล้วที่เจ้าสังหารผู้คนตายไปมากมายเล่า”
หลิงหยุนตอบกลับทันที“เจ้าเคยเห็นว่ามีครั้งใดที่ข้าลงมือสังหารผู้บริสุทธิ์หรือไม่เล่า”
ฉินตงเฉวี่ยทำท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงส่ายหัวพร้อมตอบกลับไปว่า “ดูเหมือน.. จะไม่มี” “ไม่มีเลยสักคน!”ฉินตงเฉวี่ยย้ำหนักแน่น
“เห็นหรือไม่เล่า..”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวต่อ“แม้จุดประสงค์ของการฝึกวรยุทธบ่มเพาะ จะมิใช่การเข่นฆ่าสังหารผู้คน แต่หาพบเจอคนชั่วช้าย่อมต้องสังหารให้สิ้น!”
ฉินตงเฉวี่ยถามต่อทันที“ผู้ใดบอกเรื่องพวกนี้แก่เจ้างั้นรึ”
“อาจารย์ของข้า..”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและสามารถโกหกได้อย่างหน้าตายต่อไป “ต่อให้มิมีอาจารย์คอยชี้แนะ อัจฉริยะที่พบเห็นได้ยากยิ่งเช่นข้า ย่อมสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ด้วยตนเอง..”
ฉินตงเฉวี่ยนึกขันท่าทางโอ้อวดของหลิงหยุนนางยิ้มกว้างก่อนจะตอบไปว่า “เจ้าอย่าได้โอ้อวดนัก.. บอกข้ามาตามตรง!”
“นี่คือความจริง!นี่เจ้ามิเชื่อคำพูดของข้างั้นรึ” หลิงหยุนเอ่ยถามออกไป “ข้าเชื่อ..ว่าแต่อาจารย์ของเจ้าเวลานี้อยู่ที่ใด”
ฉินตงเฉวี่ยเอ่ยถามด้วยความอยากรู้แต่หลิงหยุนกลับตอบมาด้วยเสียงกระซิบกระซาบ
“เจ้าอย่าเอ็ดไปนะ..เจ้าเห็นเหล่าเมฆาบนท้องฟ้านั่นหรือไม่ มิแน่ว่าเบื้องหลังนั้นอาจมีโลกลี้ลับซ่อนอยู่ก็เป็นได้!”
“นี่เจ้า!”
ฉินตงเฉวี่ยเห็นหลิงหยุนทำท่าทางทีเล่นทีจริงเช่นนี้นางจึงได้แต่ยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า “ช่างเถิด! ข้าไม่ถามเจ้าเรื่องนี้แล้วก็ได้..”
นางแย้มยิ้มออกมาก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ขอบใจเจ้ามากที่ยอมบอกเล่าให้ข้าฟังมากมายเพียงนี้ แต่ที่ข้าถามเจ้าทั้งหมดนั้น พี่สาวของข้าย่อมต้องถามเจ้าเช่นกัน..”
“ข้ารู้..”
หลิงหยุนรับรู้ได้ถึงความหวังดีของฉินตงเฉวี่ยและเอ่ยตอบไปว่า “เจ้ามิต้องเป็นห่วงเรื่องนี้แทนข้า ไม่ว่าท่านแม่จะถามเรื่องใด ข้าจะตอบนางไปตามความจริง”
หลิงหยุนตอบกลับไปอย่างมั่นใจเพราะหลิงหยุนเชื่อว่า ฉินจิวยื่อจะไม่ถามเรื่องเหล่านี้กับตนเป็นแน่!
“ที่ข้าบอกเจ้าเช่นนี้ก็เพื่อให้เจ้าได้เตรียมคำตอบให้พร้อม..”
หลิงหยุนเปลี่ยนเรื่องสนทนาและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่ (ขั้นพลังชี่-3) มานานกว่าสิบวันแล้ว ข้าเชื่อว่าในราวหนึ่งเดือน เจ้าจะสามารถทะลวงเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ได้ และเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะต้องเข้ารับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วทันที..”
“แต่เจ้าสามารถถามตี้เสี่ยวอู๋หรือไป๋เซียนเอ๋อเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ทั้งคู่ผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์มาแล้ว ย่อมให้คำแนะนำเจ้าได้เป็นอย่างดี”
หลิงหยุนเชื่อว่านอกเหนือจากตัวเขาเองหนิงหลิงยู่ เย่ซิงเฉิน แล้วก็ไป๋เซียนเอ๋อแล้ว คนอื่นๆรอบตัวเขาย่อมสามารถรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วได้ไม่ยาก
ฉินตงเฉวี่ยได้ฟังเช่นนั้นก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี“เจ้าเด็กดื้อ นี่เจ้าไม่คิดที่จะไปกับข้าหรอกรึ”
“ข้าจะต้องเดินทางไปเผ่าเหมี่ยวเจียงและต่อไปยังพื้นที่พิเศษ หากสามารถกลับมาทันเวลา ย่อมต้องไปกับเจ้าแน่!”
เรื่องนั้นดูเหมือนฉินตงเฉวี่ยจะรู้อยู่ก่อนแล้วนางจึได้แต่ขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยถามออกไป “เจ้ามิให้ข้าไปด้วยรึ”
“ข้าเองก็อยากให้เป็นเช่นนั้น..”
หลิงหยุนหยุดนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ“แต่หากเจ้าไปกับข้าก็จะทำให้การฝึกฝนของเจ้าล่าช้า เจ้าจักต้องหาเวลาฝึกฝนให้คุ้นเคยกับขั้นใหม่ของตนเอง และหาวิธีฝึกฝนที่เป็นผลดีต่อตนเองที่สุดด้วยตัวเอง การที่เจ้าติดตามข้าตะลอนไปที่ต่างๆ กลับจะยิ่งเป็นการทำร้ายเจ้า..” นี่คือความจริง!
ไม่ว่าจะเป็นเย่ซิงเฉินไป๋เซียนเอ๋อ ตี้เสี่ยวอู๋ หรือฉินตงเฉวี่ย ทั้งหมดต่างก็ต้องเก็บตัวฝึกฝนอย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถคุ้นเคยกับขั้นใหม่ของตนเองให้มากที่สุด
“นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้นในวันข้างหน้าหากเข้าสู่ขั้นที่สูงยิ่งๆขึ้นไป อาจต้องใช้เวลาเก็บตัวฝึกฝนนานเป็นเดือน หรือกระทั่งเป็นปีเลยทีเดียว และนี่คือเส้นทางของผู้บ่มเพาะ..”
ฉินตงเฉวี่ยจ้องมองหลิงหยุนด้วยใบหน้าที่หม่นหมองพร้อมกับพึมพำเสียงเบา“ฟังจากคำพูดของเจ้า.. ยิ่งเข้าสู่ขั้นสูงขึ้นไปมากเท่าใด ก็จะยิ่งน่าเบื่อหน่ายมากขึ้นเท่านั้น..”
“เจ้าหยุดพูดเดี๋ยวนี้!”
หลิงหยุนได้ยินถึงกับหน้าเปลี่ยนสีและรีบร้องห้ามฉินตงเฉวี่ย “หากเจ้ายังอยากจะเดินบนเส้นทางบ่มเพาะเช่นนี้ อย่าได้กล่าววาจาเช่นนี้อีก หรืออย่าแม้แต่จะคิดเช่นนี้!” หนึ่งความคิด..ทำลายหลายร้อยหนทาง!
ความนึกคิดของผู้บ่มเพาะนั้นสำคัญยิ่งหากความชั่วร้ายผุดขึ้นเพียงแค่หนึ่ง ความคิดที่ชั่วร้ายอีกนับหมื่นแสนก็จะตามมา จึงเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะจะต้องหลีกเลี่ยง
หากเวลานี้มีความคิดว่าการฝึกบ่มเพาะเป็นเรื่องน่าเบื่อและหากความคิดนี้หยั่งรากลงในจิตใจแล้ว คงจะมิต้องคาดหวังว่าจะเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้แน่ในชีวิตนี้
หลิงหยุนจึงต้องห้ามนางไปด้วยถ้อยคำรุนแรงเช่นนั้น!
“นี่คือการต่อสู้กับสวรรค์ต่อสู้เพื่อโชคชะตาของตนเอง..”
หลิงหยุนจำต้องหยุดความคิดเช่นนี้ของฉินตงเฉวี่ยเขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เช่นนี้แล้วจะเป็นเรื่องง่ายๆได้อย่างไรกัน”
“ส่วนเรื่องการเก็บตัวฝึกฝนวิชานั้นวันหน้าหากเจ้าเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เจ้าก็จะสามารถเข้าใจได้เอง” หลิงหยุนไม่กล้ากล่าวอันใดมากไปกว่านั้นเพราะเกรงว่าจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี..
ฉินตงเฉวี่ยเห็นท่าทางจริงจังเช่นนั้นของหลิงหยุนจึงรีบเอ่ยออกไปว่า “ข้าก็พูดไปเช่นนั้นเอง เหตุใดเจ้าต้องทำสีหน้าท่าทางน่ากลัวเช่นนั้นด้วย..”
“คำพูดเพ้อเจ้อไร้สาระบางอย่างก็มิควรเอ่ยออกมาข้าหาได้จงใจทำให้เจ้าหวาดกลัวไม่!”
หลิงหยุนจ้องมองฉินตงเฉวี่ยพร้อมกับกล่าวต่อไป“เวลานี้ข้าได้ถ่ายทอดวิชามังกรทองคะนองและวิชาหงส์เล่นไฟให้กับเจ้าแล้ว แต่เทือกเขาฉิงหลิงเหมาะอย่างยิ่งที่จะฝึกวิชามังกรทองคะนอง ฉะนั้นแล้วเจ้าก็ฝึกวิชานี้ไปก่อน ส่วนวิชาหงส์เล่นไฟนั้น เจ้าสามารถไปฝึกกับไป๋เซียนเอ๋อที่ภูเขาเพลิงได้ ที่นั่นข้าได้สร้างค่ายกลหลุมพลังไว้ มันจะช่วยให้เจ้าก้าวหน้าได้รวดเร็วขึ้นเป็นสองเท่า”
“ข้าจะมอบสิ่งนี้ให้กับเจ้า..”
ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็หยิบเอาหินมณีไฟกว่าห้าร้อยก้อนออกมาให้ฉินตงเฉวี่ยพร้อมกับบอกกล่าวประโยชน์และวิธีใช้ให้กับนาง
“หินมณีไฟล้ำเลิศเช่นนี้เหตุใดเจ้าจึงไม่เก็บไว้ฝึกฝนเองเล่า”
หลิงหยุนยิ้มออกมาและเอ่ยตอบทันที“เจ้าไม่ต้องห่วงข้า ข้ายังมีหินมณีไฟอีกมากมาย เจ้านำไปใช้เถิด!”
เวลานี้..ผู้คนรอบกายหลิงหยุน มีทั้งหมดสามคนที่ฝึกวิชาบ่มเพาะเกี่ยวกับธาตุไฟคือ.. ไป๋เซียนเอ๋อ ฉินตงเฉวี่ย และเกาเฉินเฉิน
แต่หากจะพูดตามตรงหินมณีไฟเพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอให้ทั้งสามคนใช้ฝึกฝนวิชาแน่ แต่นับว่ายังโชคดีที่หลิงหยุนค้นพบภูเขาเพลิง เขาจึงมิต้องกังวลใจนัก
ตอนต่อไป →