ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 56 ประชันจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์!

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เจ้าเมืองมังกรเหล็กตื่นตระหนกเหลือแสน เขาคิดไม่ถึงว่าภายในจวนของเขา ‘เถี่ยหลงอวิ๋นซาน’ บุตรชายคนโตซึ่งเป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้วจะต้องขอความช่วยเหลือจากเขาและถูกจับตัวไว้รวดเร็วถึงเพียงนี้

“นอกจากนี้ข้ายังสัมผัสความเคลื่อนไหวของการต่อสู้ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับว่ายังมิทันได้ประมือก็ยุติแล้วอย่างไรอย่างนั้น” เจ้าเมืองมังกรเหล็กไม่อยากจะเชื่อ เขาเองก็อยู่ในจวน หากมีการต่อสู้กันจริงๆ ไหนเลยจะสามารถปิดบังความเคลื่อนไหวของการต่อสู้จากเขาได้

“เจ้าเมืองมังกรเหล็ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก

“เจ้าเป็นใครกัน” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเย็นชา “คิดจะลอบทำร้ายบุตรชายข้า ที่แท้แล้วต้องการอะไรกันแน่”

ในสายตาของเจ้าเมืองมังกรเหล็ก

อีกฝ่ายจะต้องวางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว เขาจึงสามารถจับตัวบุตรชายคนโตของเขาซึ่งเป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเอาไว้ได้อย่างไร้สุ้มเสียง! นอกจากนี้เมื่อจับเอาไว้แล้ว เกรงว่าเป้าหมายที่แท้จริงคงจะเป็นเขา เจ้าเมืองมังกรเหล็ก

“พูดมาเถิด! เจ้าต้องการอะไร พูดออกมาให้หมด” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเย็นชา “ข้าขอให้เจ้าอย่าได้ทำร้ายบุตรชายข้าแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นแล้วข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เจ้าเมืองมังกรเหล็ก ข้ามิได้คิดจะทำร้ายบุตรชายท่านจริงๆ และมิได้คิดจะทำร้ายท่านด้วย! ทั้งหมดนี้เป็นบุตรชายท่านที่หาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น”

“เฮอะ” เจ้าเมืองมังกรเหล็กยิ้มเย็น “อย่าพูดเรื่องพวกนี้อีกเลย เจ้าต้องการอะไร จึงจะปล่อยบุตรชายข้าไปได้”

“ปล่อยเขาน่ะหรือ ก็ได้ สมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “หากท่านนำสมบัติล้ำค่าจำนวนมากเท่านี้มาให้ข้า ข้าก็ปล่อยเขาไปได้”

ก่อนหน้านี้คุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็กแย่งชิงสมบัติล้ำค่าไป ทว่าก็ไม่มีจิตคิดสังหารเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยินดีที่จะไว้ชีวิตคุณชายใหญ่ผู้นี้สักครั้ง! เพียงแต่ว่า…แม้สมบัติล้ำค่าในตัวคุณชายใหญ่จะถูกตนเอาไปหมดแล้ว ทว่าสมบัติล้ำค่าน้อยนิดเท่านี้ อาจจะทำให้คุณชายใหญ่เจ็บปวดใจมาก แต่สำหรับ ‘เจ้าเมืองมังกรเหล็ก’ แล้ว ก็คงเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของเจ้าเมืองมังกรเหล็กผู้ร่ำรวยกระมัง!

ต้องให้พวกเขาเจ็บปวดใจพอ!

“สมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่นหรือ” เจ้าเมืองมังกรเหล็กตกใจเล็กน้อย แม้จะเจ็บปวดใจ แต่เขาก็ยังคงตกใจที่อีกฝ่ายเรียกร้องมูลค่า ‘ต่ำ’ นัก! เขายังคิดว่าอีกฝ่ายจะเรียกร้องอะไรที่ยากกว่านี้ เช่นให้เขา เจ้าเมืองมังกรเหล็กไปทำเรื่องบางอย่างให้ เป็นต้น

“หากข้ามอบให้ เจ้าสามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าจะปล่อยบุตรชายข้า” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเคร่งขรึม

“ท่านไม่มีทางเลือก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

เจ้าเมืองมังกรเหล็กกัดฟันแน่น เขาโบกมือคราหนึ่ง ก็มีกำไลเก็บวัตถุวงหนึ่งลอยไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงรับไปแล้วก็สัมผัสรับรู้ดูเล็กน้อย แล้วก็อดลอบทอดถอนใจมิได้ ไม่เสียทีที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นอันดับเจ็ดของรายนามจักรพรรดิเทพ สมบัติล้ำค่าที่สั่งสมเอาไว้มากมายนัก แต่คาดว่าเมื่อรวมกับสิ่งที่ได้จากคุณชายใหญ่แล้ว สมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งแสนกว่าหยกแก้วคละถิ่น…เกรงว่าเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็คงจะต้องเจ็บปวดรวดร้าวไปถึงกระดูกแล้วกระมัง

“ให้ท่าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงโยนเถี่ยหลงอวิ๋นซานที่จับไว้ในมือไปให้

เจ้าเมืองมังกรเหล็กรีบรับบุตรชายมา บุตรชายค่อยๆ ฟื้นคืนสติขึ้นมา เจ้าเมืองมังกรเหล็กจึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นเขาก็โบกมือคราหนึ่งเพื่อเก็บบุตรชายลงไปในคูหาสวรรค์สมบัติล้ำค่าก่อนชั่วคราว

จากนั้นเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ความชั่วร้ายทวีความเข้มข้นขึ้น มุมปากเผยรอยยิ้มเยียบเย็นออกมา “ช่างกล้าดีจริงๆ ยังคิดว่าเจ้าจะหนีไปนอกเมืองก่อนค่อยมอบบุตรชายให้ข้า คิดไม่ถึงว่าอยู่ในจวนมังกรเหล็กของข้า เจ้าก็จะมอบให้ข้าทันที เห็นที เจ้าคงจะเชื่อมั่นในตนเองมากสินะ”

“ใช่แล้ว หลังจากข้าบำเพ็ญจนพลังสำเร็จ ยังไม่เคยต่อกรกับระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์จนสุดกำลังอย่างแท้จริงเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “ในเมื่อมีโอกาสนี้ ก็อยากจะประมือกับเจ้าเมืองมังกรเหล็กเสียหน่อย”

“อ้อ ฮ่าฮ่าฮ่า…” เจ้าเมืองมังกรเหล็กหัวเราะขึ้นมา เสียงนั้นทำเอาอากาศรอบด้านสะท้านสะเทือนขึ้นมา ราวกับอสนีบาตที่ม้วนตัวขึ้น “กล้าต่อกรกับข้า เช่นนั้นข้าก็จะดูสิว่า ที่แท้แล้วเจ้าจะมีพลังสักแค่ไหนกันเชียว”

ทั้งจวนมังกรเหล็กพลันมีพายุเมฆฝนกระหน่ำขึ้นมาทันที

ค่ายกลแห่งแล้วแห่งเล่าผุดขึ้นมา

อสนีบาตจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนตัวอยู่โดยรอบ ตัดขาดจากรอบด้าน เห็นได้ชัดว่าเจ้าเมืองมังกรเหล็กไม่อยากจะให้ลูกหลงจากการต่อสู้ของพวกเขาต้อกระทบถูกคนอื่นๆ ในจวนไปด้วย

“มาเถอะ” เจ้าเมืองมังกรเหล็กมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง เขาคร้านจะใช้ค่ายกลภายในจวนกดดันตงป๋อเสวี่ยอิง ขณะเดียวกันร่างกายของเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็เกิดความเปลี่ยนแปลง อาภรณ์ของเขาอันตรธานไป เหนือผิวกายกลับมีเกล็ดสีดำแผ่นแล้วแผ่นเล่าผุดขึ้นมา บนใบหน้าของเขามีแผ่นเกล็ดผุดขึ้นมา บนศีรษะก็มีเขาสองอันงอกขึ้นมา ปลายหางของเขาก็งอกออกมาเป็นหางยาวราวหกเจ็ดเมตรซึ่งเต็มไปด้วยเกล็ด

ขาทั้งสองของเจ้าเมืองมังกรเหล็กขยายใหญ่ขึ้นมา อีกทั้งข้อยังกลับด้านอีกด้วย

มือทั้งสองก็กลายเป็นกรงเล็บคมกริบ

ยามนี้เจ้าเมืองมังกรเหล็กก็เหมือนกับมังกรที่ยืนขึ้นมา! เกล็ดเหนือผิวกายของเขามีพละกำลังชั้นแล้วชั้นเล่าปกคลุมเอาไว้ ชั้นในมีความหนาวเหน็บอันไร้สีหมุนเวียนอยู่ ส่วนชั้นกลางมีพละกำลังสีแดงโลหิตปกคลุมอยู่ ส่วนชั้นนอกสุดส่งเสียงสะท้อนก้องดังฟึ่บๆๆ ทำให้อากาศรอบด้านแหลกสลายไปอย่างต่อเนื่อง ตัวอากาศเองก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยามนี้กลิ่นอายของเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็ปะทุออกมาจนสิ้น ทำเอาฟ้าดินรอบด้านสะท้านสะเทือนไปหมด

“ร่างกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซึ่งมีร่างกายอันแข็งแกร่งจนสามารถเทียบได้กับท่าน เจ้าเมืองมังกรเหล็กนั้นพบเห็นได้น้อยมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากชม “ไม่เสียทีที่การห้ำหั่นซึ่งหน้าเป็นอันดับสองของโลกเทพ”

หากพูดถึงพลังโดยรวม เจ้าเมืองมังกรเหล็กจัดเป็นอันดับเจ็ด แต่การห้ำหั่นซึ่งหน้ากลับจัดเป็นอันดับสอง เป็นรองเพียงเจ้าเมืองหงส์เมฆาเท่านั้น

“เจ้ามิได้จะประลองกับข้าหรือไร เจ้ายังบอกว่าเจ้าบำเพ็ญจนสำเร็จ จะประลองกับข้าเสียหน่อย แต่เจ้าโง่งมมากจริงๆ ที่เลือกข้า” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างกายของเขาก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น แต่หางกลับฟาดลงมาในทันใด!

ขณะเดียวกับที่หางสะบัดฟาดลงมานั้น หางก็ขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว

พละกำลังอันน่าหวาดหวั่นอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทำให้อากาศถูกกดดันเสียจนกลายเป็นชั้นๆ อากาศที่ถูกกดดันจนทับซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่านั้นปรากฏรอยแยกขึ้นมารางๆ เผยให้เห็นอสนีบาตสีทองที่อยู่นอกผนังเยื่อของโลกเทพแห่งนี้!

หางซึ่งเต็มไปด้วยเกล็ดนี้ขยายออกแล้วฟาดเข้ามา อานุภาพรุนแรงเหิมเกริมเกินไปแล้ว เหิมเกริมจนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงประหวั่นใจหาใดเปรียบ

“วิ้ง”

เพียงชั่วความคิดเดียว เขตลวงอันน่าหวาดหวั่นก็เข้าปกคลุมเจ้าเมืองมังกรเหล็กเอาไว้

เจ้าเมืองมังกรเหล็กรู้สึกเพียงว่ามีโลกอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งกำลังฉุดรั้งวิญญาณของเขาอย่างบ้าคลั่ง เขาสามารถบำเพ็ญมาจนถึงระดับขั้นเช่นทุกวันนี้ได้ ปณิธานวิญญาณก็ย่อมไม่ธรรมดา เขาพยายามต้านทานเอาไว้ได้อย่างพอถูไถ โลกอันกว้างใหญ่นี้ยังโจมตีวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสระลอกหนึ่ง ราวกับมีดเล่มแล้วเล่มเล่าเชือดเฉือนลงบนวิญญาณของเขา ความรู้สึกเช่นนี้ทนรับได้ยากยิ่งนัก สมาธิส่วนใหญ่ของเขาล้วนต้องถูกแบ่งไปใช้ต้านทานสิ่งเหล่านี้ จนมิอาจรับมือยอดฝีมือเร้นลับผู้นั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

หางซึ่งเดิมทีน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ อานุภาพที่สำแดงออกมาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว กระบวนท่าก็หยาบขึ้นเป็นอันมาก

“ปัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือขวาคราหนึ่ง มิติชั้นแล้วชั้นเล่าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาสกัดกั้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อานุภาพนั้นลดลงเป็นอย่างมาก และสามารถสกัดกั้นกระบวนท่าที่ อานุภาพลดลงเป็นอันมากทั้งยังหยาบขึ้นเอาไว้ได้อย่างง่ายดายในที่สุด

“กระบวนท่าที่สามของเขตลวงโลกเทียมช่างร้ายกาจโดยแท้ คุณชายใหญ่ซึ่งเป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้ายพอจะครองสติสายหนึ่งได้อย่างพอถูไถ แต่จากนั้นก็จมดิ่งลงไปอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

ระดับจักรพรรดิเทพเป็นระดับขั้นใหญ่

ปณิธานวิญญาณมิได้แตกต่างกันมากนัก เมื่ออยู่ในดินแดนจิตโลกา ตอนนั้นท่าไม้ตายเขตลวงโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถลงมือกับจักรพรรดิเทพช่วงกลางหรือระดับแม่ทัพเทพบางส่วนได้ แต่บัดนี้ท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมนั้นมีการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ พลังก็แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้าย เกรงว่าส่วนมากก็ล้วนต้องจมดิ่งลงไปทันทีกันทั้งสิ้น!

ระดับ ‘จักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์’ ตงป๋อเสวี่ยอิงดูจากกระบวนท่าที่เจ้าเมืองมังกรเหล็กลงมือ ก็พบว่าพลังลดลงไปมากถึงเจ็ดแปดส่วน

“นี่มันกระบวนท่าอะไรกัน นี่…”

เจ้าเมืองมังกรเหล็กรู้สึกว่าตื่นตระหนกจนจิตใจไม่สงบ

ทนรับได้ยากเกินไปแล้ว

ถูกโลกอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดใบหนึ่งฉุดรั้งวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง เขารู้ว่า หากจมดิ่งลงไปเมื่อใดเขาก็จบเห่ทันที เขาจะต้องพยายามต้านทานโลกใบนี้ให้ได้อย่างสุดกำลัง! สมาธิที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อยจึงจะสามารถสู้กับศัตรูได้ การควบคุมกายหยาบก็กลายเป็นเลือนรางขึ้นมา วิญญาณของเขาถึงขั้นมิอาจควบคุมกายหยาบอันแข็งแกร่งร่างนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว กระบวนท่าที่สำแดงออกมาก็ยิ่งหยาบเข้าไปใหญ่

“ปัง” บุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นมิทันได้ชักกระบี่ออกมา แค่ตะปบลงไปบนกรงเล็บของเขาคราหนึ่ง

การตะปบครั้งนี้

เจ้าเมืองมังกรเหล็กก็สะดุ้งและถอยโซซัดโซเซไปหลายก้าว สายพลังระลอกแล้วระลอกเล่าแทรกตรงเข้าไปในร่างของเขาอย่างน่าประหลาด

“เสริมความแกร่งของค่ายกล” เจ้าเมืองมังกรเหล็กไม่สนใจแล้ว ในฐานะที่เขาเป็นอันดับเจ็ดของรายนามจักรพรรดิเทพ ก่อนหน้านี้จึงคร้านที่จะควบคุมค่ายกล เนื่องจากมาถึงระดับเช่นเขาแล้ว ค่ายกลธรรมดาสามัญช่วยเพิ่มพลังได้น้อยจนมองข้ามไปได้ แม้แต่ในถิ่นเขาเอง ความช่วยเหลือของค่ายกลนี้ก็ธรรมดามาก แต่ยามนี้เขาจะมัวแต่สนใจมิได้แล้ว ขอเพียงสามารถช่วยเหลือตนเองได้ เขาก็จะทำทันที

โครมมมมม…พละกำลังค่ายกลสายแล้วสายเล่าโหมซัด บ้างก็ปกคลุมเหนือผิวกายเจ้าเมืองมังกรเหล็ก บ้างก็เริ่มกดดันตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ไม่ดีแล้ว ข้ามิอาจควบคุมค่ายกลได้อย่างสมบูรณ์แบบเสียแล้ว”

สมาธิส่วนใหญ่ของเขาล้วนต้องสกัดกั้นโลกอันน่ากลัวที่ฉุดรั้งวิญญาณของเขาอยู่

ส่วนสมาธิที่หลงเหลืออยู่ ต้องควบคุมทั้งการต่อสู้ของกายหยาบ ทั้งยังต้องควบคุมค่ายกลด้วย ค่ายกลของจวนมังกรเหล็กทั้งแข็งแกร่งและซับซ้อน แต่สมาธิอ่อนเกินไป ก็ทำได้เพียงควบคุมอานุภาพบางส่วนเท่านั้นเอง

“ที่แท้แล้วเป็นยอดฝีมือที่โผล่มาจากไหนกันแน่ บุตรชายข้าไปรู้จักยอดฝีมือพรรค์นี้ได้อย่างไรกัน” ยามนี้เจ้าเมืองมังกรเหล็กรู้สึกร้อนใจขึ้นมา เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ในจวนตนเอง ตอนที่เขาประมือจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากได้

……………………………