ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 57 วันคืนล่วงเลย

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

“สหายเอ๋ย” แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่กลับสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเจ้าเมืองมังกรเหล็กเช่นกัน แม้กระบวนท่าการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามจะหยาบขึ้นมาก อานุภาพที่สำแดงออกมาก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ ตนอาศัยความพิสดารของกระบวนท่ก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามแตะต้องตนมิได้แล้ว! ตนเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง คิดอยากโจมตีเช่นไร ก็โจมตีเช่นนั้นได้!

แต่ทว่า…

“ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงชักกระบี่คมกริบขึ้นมาจากด้านหลัง ขณะที่ประกายกระบี่กะพริบวาบคราหนึ่งแล้วฟันลงบนลำคอของเจ้าเมืองมังกรเหล็กนั้น ผิวเกล็ดของเจ้าเมืองมังกรเหล็กมีพละกำลังอยู่ถึงสามชั้น ชั้นนอกสุดยังทำให้อากาศแหลกสลายไปตลอดเวลาอีกด้วย ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงแทรกซึมเข้าไปภายในกายของศัตรูผ่านกระบวนท่าที่เพิกเฉยต่อการป้องกันของผิวกาย มิอาจทำร้ายเกราะเกล็ดของเจ้าเมืองมังกรเหล็กได้เลยแม้แต่น้อย!

ฟึ่บๆๆ แต่ละครั้งที่ปะทะ กระบี่เทพก็ปะทะเข้ากับพละกำลังอันไร้รูปร่างทั้งสามชั้นเหนือผิวกายของเจ้าเมืองมังกรเหล็ก กระบี่เทพสั่นสะท้านไปหมด

“แค่พละกำลังคุ้มกายก็สามารถทำให้จักรพรรดิเทพช่วงท้ายบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว เคราะห์ดีที่ข้าไม่ตาต่อตาฟันต่อฟันกับเขา” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ

ปล่อยให้ตนใช้กระบี่หรือไม่ก็ฝ่ามือ ท่าไม้ตายวิถีอากาศกระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่าถูกสำแดงออกมา แม้เจ้าเมืองมังกรเหล็กจะถูกโจมตีจนโซซัดโซเซถอยหลังไปหรือถึงขั้นกระเด็นลอยไป แต่ร่างกายของเจ้าเมืองมังกรเหล็กกลับไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ผิวก็ยังไม่ปริแตก อวัยวะต่างๆ ของเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็แข็งแกร่งจนถึงขั้นน่าหวาดหวั่น อย่างน้อยตนก็มิอาจทำร้ายได้!

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตน ‘ทำร้าย’ ฝ่ายตรงข้ามมิได้

แต่เจ้าเมืองมังกรเหล็กต่างหากที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและอดสูใจ

วิญญาณประสบกับการฉุดรั้งของโลกอันกว้างขวาง จึงพยายามต้านทานอย่างบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา  สมาธิที่หลงเหลืออยู่ก็สามารถต่อสู้ได้ กระบวนท่าของบุรุษอาภรณ์ขาวตรงหน้าก็พิสดารนัก “สมควรตาย หากข้าสามารถสำแดงพลังออกมาได้สิบเต็มสิบส่วน ข้าก็จะสามารถแก้ไขกระบวนท่าพวกนั้นของเขาได้! แต่ตอนนี้ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่ากายหยาบหนักหน่วงถึงเพียงนี้ เมื่อสำแดงออกมาก็ยากเย็นถึงเพียงนี้”

ร่างกายประหนึ่งขุนเขาหนักอึ้ง งุ่มง่ามเกินไปแล้ว

ต่อสู้กันมาถึงตอนนี้ เขาก็ไม่สามารถโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงได้ตรงๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว!

“ถูกกลั่นแกล้งเล่นอย่างสิ้นเชิง!”

“ต่อให้มีค่ายกลคอยช่วยเหลือ ก็ยังคงถูกกลั่นแกล้งเล่นอยู่ดี” เจ้าเมืองมังกรเหล็กทั้งอดสูใจ ทั้งแตกตื่น เขาแตกตื่นที่กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของอีกฝ่ายน่ากลัวนัก! ส่วนการห้ำหั่นประชิดตัวน่ะหรือ เขาไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย เนื่องจากเขามองออกว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นั่นเป็นเพราะเขาเป็นเหมือน ‘เป้า’ ที่ถูกกระทำอยู่ตลอดเวลา อันที่จริงแล้วอีกฝ่ายไม่สามารถทำลายพละกำลังคุ้มกายพื้นฐานที่สุดของกายหยาบของเขาได้เสียด้วยซ้ำไป

เจ้าเมืองมังกรเหล็กเรียกได้ว่าเป็นอันดับสองของโลกเทพในด้านการต่อสู้ซึ่งหน้า ซึ่งมีสาเหตุมาจากกายหยาบอันแข็งแกร่งของเขานั่นเอง! เนื่องจากสมาธิได้รับผลกระทบ พลังจึงลดลงอย่างรวดเร็ว แต่กายหยาบของเขากลับมิได้อ่อนแอลงเลยแม้แต่น้อย

“ไม่เสียทีที่เป็นเจ้าเมืองมังกรเหล็ก นับถือๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม ทันใดนั้นก็พลันถอยหลังไป เขาโบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มีรอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา “ขอตัวก่อน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก็เข้าไปในรอยแยกสีดำแล้วหายวับไป

โลกอันกว้างขวางที่ฉุดรั้งวิญญาณอยู่อันตรธานไป เจ้าเมืองมังกรเหล็กจึงรู้สึกว่าตนกลับคืนสู่สภาพที่มีสติกลับคืนมาเต็มที่ เขามองดูรอยแยกสีดำสมานกันพลางพูดเสียงต่ำว่า “การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นหรือ กระบวนท่าทางด้านวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ยังมีการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นด้วยหรือนี่”

ศัตรูพรรค์นี้น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว

อาศัยการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ก็สามารถตรงมายังจวนของเขาได้ แล้วใช้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณสักท่าหนึ่งปกคลุมจวนของเขาเอาไว้ได้อย่างง่ายดายกระมัง นอกจากเขาที่สามารถต้านทานได้แล้ว คนอื่นๆ ในจวนล้วนมิอาจต้านทานได้เลย!

“ต่อให้เป็นข้าก็ต้องทุ่มเทสมาธิส่วนมากเพื่อต้านทาน ถ้าหาก ถ้าหากกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่านี้สักหน่อย เกรงว่าข้าก็คงจะต้องจมดิ่งลงไปในโลกลวงนั่นทันทีเสียแล้วกระมัง!” เจ้าเมืองมังกรเหล็กตัวสั่นระริกทั้งที่มิได้หนาว หากวิญญาณต้านทานเอาไว้ไม่ได้และจมดิ่งลงไปแล้ว ตัวเขาซึ่งบำเพ็ญมานานแสนนานจนมีกายหยาบที่ไร้เทียมทานถึงเพียงนี้ ก็สำแดงประโยชน์ออกมาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว!

“วิญญาณจึงจะเป็นแก่นแท้”

“โลกเทพมียอดฝีมือทางด้านวิญญาณที่น่าเกรงกลัวถึงเพียงนี้ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หากเขาก้าวหน้าขึ้นไปอีก ลำพังแค่อาศัยกระบวนท่าทางด้านวิญญาณ ก็คงสามารถกวาดล้างจักรพรรดิเทพทั้งหมดได้แล้วกระมัง” เจ้าเมืองมังกรเหล็กสั่นสะท้าน

ต่อให้เป็นตอนนี้ พลังของอีกฝ่ายก็ไม่ย่อหย่อนไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย!

เจ้าเมืองมังกรเหล็กมองดูซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างในลานรอบด้าน ซึ่งล้วนแต่เป็นพวกกำแพงลานของเขาซึ่งถูกโจมตีจนแตกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นเขาก็โบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มี เถี่ยหลงอวิ๋นซาน’ คุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็ก‘ ปรากฏกายขึ้น เถี่ยหลงอวิ๋นซานในอาภรณ์สีดำทั้งร่างมองไปทั่วทิศ รอบด้านเต็มไปด้วยซากปรักหักพังเบื้องบนยังมีค่ายกลโหมซัด เห็นได้ชัดว่าค่ายกลทั้งจวนมังกรเหล็กล้วนถูกกระตุ้นขึ้นมาหมดแล้ว

“ท่านพ่อ ท่านจับตัวเขาไว้หรือไม่” เถี่ยหลงอวิ๋นซานถาม

“จับไว้รึ” เจ้าเมืองมังกรเหล็กมองดูเขาแล้วเผยสีหน้าเย็นชาออกมา “บอกข้าสิว่า เขาเป็นใครกัน แล้วเจ้าไปรู้จักได้อย่างไร เล่าเรื่องให้ข้าฟังตั้งแต่ต้นจนจบ”

เถี่ยหลงอวิ๋นซานเห็นสายตาเย็นชาราวน้ำแข็งของผู้เป็นบิดาแล้วก็อดใจสะท้านขึ้นมามิได้ เขาพูดอย่างเชื่อฟังว่า “เป็นเช่นนี้ขอรับ เมื่อวานจักรพรรดิเทพผู้มีนามว่าเมฆาเขียวคนนี้ได้มาพบข้า อยากจะขอซื้อซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศร่างหนึ่ง… ” เถี่ยหลงอวิ๋นซานเล่าเรื่องทั้งหมดโดยละเอียดรอบหนึ่งโดยมิกล้าปิดบังเลยแม้แต่น้อย

“…ข้าคิดว่าอยู่ในจวนมังกรเหล็ก ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ข้าก็กล้าสู้สักยก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่านพ่ออยู่ด้วย เขายังโง่งมมอบสมบัติล้ำค่าให้ข้าทันที ข้าก็ย่อมละโมบเอามาเป็นธรรมดา…”

“แล้วผลก็เป็นเช่นนี้!”

เถี่ยหลงอวิ๋นซานพูดจบ

เจ้าเมืองมังกรเหล็กฟังแล้วก็จนคำพูด อีกฝ่ายมาขอเจรจาแลกเปลี่ยนเอง บุตรชายตนกลับละโมบอยากได้สมบัติล้ำค่าของอีกฝ่าย

“คนที่โง่เง่าก็คือเจ้า!” เจ้าเมืองมังกรเหล็กโกรธเสียจนพูดอะไรไม่ออก เขาจับใจความได้ว่า ยอดฝีมือผู้เร้นลับที่ชื่อ ‘จักรพรรดิเทพเมฆาเขียว’ คนนี้นับว่านิสัยดีมาก มิใช่พวกที่เห็นแก่ตัวโหดเหี้ยมอำมหิตเหล่านั้น หากเป็นพวกที่ใจดำอำมหิตเหล่านั้น เกรงว่าคงไม่มาเจรจาด้วยแต่แรก หากแต่คงจะลงมือฆ่าคนชิงทรัพย์เสียเลย

“เป็นข้าที่โง่เอง แต่ท่านพ่อ แล้วคนอื่นๆ เล่า” คุณชายใหญ่ซักไซ้ต่อ

“ท่านพ่อของเจ้าอย่างข้าเกือบจะต้องสะดุดในเงื้อมมือเขาแล้ว” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเย็นเยียบ “ต่อให้ข้าพยายามสุดกำลัง ก็ยังคงตกเป็นรองเขาอยู่ดี!”

“ตกเป็นรองหรือ” คุณชายใหญ่ตกตะลึง

“เขาสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นจากไปแล้ว” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเย็นชา “พลังน่ากลัวถึงเพียงนี้ กระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ทั้งยังสามารถส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้อีกด้วย…เจ้าสามารถยั่วยุผู้แกร่งกล้าระดับนี้ได้ ข้าล่ะนับถือจริงๆ”

“ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว” คุณชายใหญ่ละล่ำละลัก เขาก็จนใจ เขามั่นใจว่าทุกสิ่งจะเป็นไปตามแผน ไหนเลยจะคิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเช่นนี้โผล้ออกมาเสียได้

“นอกจากนี้ เจ้าจงจำเอาไว้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ห้ามแพร่งพรายไปภายนอกเด็ดขาด!” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเย็นชา “ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวผู้นี้ อย่าได้เผยออกไปเด็ดขาด”

คุณชายใหญ่ตอบว่า “วางใจเถิดขอรับท่านพ่อ ข้าจะไม่แพร่งพรายออกไปไปภายนอกอย่างแน่นอน ครั้งนี้จวนมังกรเหล็กของเราเสียเปรียบครั้งใหญ่ สมบัติล้ำค่าที่ข้าพกติดตัวไว้ถูกเอาไปหมดแล้ว! เรื่องเข่นนี้จะเผยแพร่ออกสู่ภายนอกได้อย่างไรกัน เฮอะๆ เชื่อว่าอีกไม่นานสักเท่าใดนัก ก็คงจะมีผู้แกร่งกล้าจากขุมอำนาจอื่นๆ ต้องมาสะดุดด้วยน้ำมือของจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวผู้นี้อีกเป็นแน่”

เจ้าเมืองมังกรเหล็กเหลือบมองบุตรชายตนแวบหนึ่ง “ไม่ใช่แค่สมบัติล้ำค่าของเจ้าเท่านั้นที่หมดเกลี้ยง เพื่อชีวิตน้อยๆของเจ้า ข้าได้ชดใช้ด้วยสมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่นอีกด้วย”

“หา…” คุณชายใหญ่ชะงักค้างไป

เสียเปรียบใหญ่แล้ว

เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาก็พบว่าสมบัติล้ำค่าของเขาหมดเกลี้ยงแล้ว แค่นี้ก็เจ็บปวดใจอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะขูดรีดบิดาของตนอย่างโหดร้ายอีกด้วย

“หากรู้เสียก่อน ข้าแค่แลกเปลี่ยนแต่โดยดีก็ใช้ได้แล้วมิใช่หรือไง” คุณชายใหญ่รู้สึกสำนึกเสียใจเป็นอันมากขึ้นมาในทันที

“เจ้ามีชีวิตรอดมาได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว หากพบคนที่ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตเข้า หากเจ้ากลั่นแกล้งผู้อื่นเช่นนี้ เกรงว่าเจ้าคงถูกสังหารทันทีไปแล้ว” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเย็นชา

คุณชายใหญ่พยักหน้ารัว

ถูกต้อง อีกฝ่ายถึงขั้นสามารถใช้พลังกดดันท่านพ่อได้ ก็ย่อมไม่เกรงกลัวเมืองมังกรเหล็กของพวกเขาเป็นธรรมดา

……

แม้ศึกครั้งนี้จะเป็นตัวแทนของการประมือกันระหว่างยอดฝีมือที่ยอดเยี่ยมซึ่งอยู่ในระดับยอดสุดของโลกทางฟากฝั่งนี้ก็ตามที แต่เจ้าเมืองมังกรเหล็กกลับเก็บไว้เป็นความลับ! อันที่จริงแล้วขณะที่ประมือกัน เขาก็ได้ควบคุมค่ายกลเพื่อตัดขาด มิให้คนอื่นๆ ภายในจวนล่วงรู้ถึงการต่อสู้ครั้งนี้ เนื่องจากศัตรูสามารถจับตัวบุตรชายของเขาเอาไว้ได้ในชั่วพริบตาเดียว เจ้าเมืองมังกรเหล็กจึงรู้แล้วว่าศัตรูน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง

การต่อสู้ระดับนี้ มิใช่ว่าเหมาะแก่การเปิดเผยให้รู้กันทั่วทุกครั้งไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นไปได้มากว่าจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวผู้นี้จะ ‘ปลอมแปลงตัวตน’

*****

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไปถึงเมืองจวิ้นซานแล้ว

การต่อสู้ครั้งนี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่า แม้เขาจะมีพลังด้านวิถีอากาศระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางซึ่งสามารถเทียบได้กับผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ด้านอานุภาพการโจมตีกลับอ่อนแอเสียแล้ว เพียงแต่อาศัยความพิสดารของกระบวนท่าจึงสามารถเทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย เมื่อพบกับ ‘ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์’ ต่อให้อีกฝ่ายพลังลดลงเป็นอย่างมาก แต่เมื่อยืนอยู่ตรงนั้น ตนก็ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามมิได้เลยแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าท่าไม้ตายที่สามของเขตลวงโลกเทียมก็ไร้เทียมทานมากเช่นกัน! ทำให้พลังของเจ้าเมืองมังกรเหล็กอ่อนแอลงจนกลายเป็นเช่นนั้น ตนสามารถกลั่นแกล้งได้อย่างง่ายดาย

“หากเขตลวงโลกเทียมของข้าก้าวหน้าไปได้อีกขั้นหนึ่ง! ลำพังแค่พูดถึงอานุภาพเพียงอย่างเดียว ปณิธานวิญญาณของผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ก็คงต้านเอาไว้ไม่ไหวกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “เพียงพอให้กวาดล้างผู้แกร่งกล้าที่ต่ำกว่าระดับคละถิ่นได้แล้ว!”

เขายิ่งตั้งตารอคอยมากขึ้น เขตลวงโลกเทียมบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว!

“วิถีอากาศก็ต้องค้นคว้าอีก”

วิถีสองสายมุ่งหน้าไปพร้อมกัน

ครั้งนี้เขาได้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศมาทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอยวันคืนที่จะมาถึงเป็นอันมาก

……

เวลาล่วงเลยไป

แม้ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ทั้งสามได้แก่ ‘เจ้าเมืองมังกรเหล็ก’ ‘เจ้าเมืองหงส์เมฆา’ และ ‘จักรพรรดิเทพหงส์อัคคี’ ต่างก็รู้ว่ามียอดฝีมือผู้มีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งปรากฏขึ้นมาในโลกเทพ พวกเขาต่างก็รอคอยให้ยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้ลงมืออีกสักครั้ง แต่พวกเขากลับต้องผิดหวัง เพราะยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้กลับมิได้ลงมืออีกนานแสนนาน ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้มีความสนใจต่อการแย่งชิงในโลกใบนี้ บัดนี้เขากำลังตั้งใจค้นคว้าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศร่างนั้น

วันคืนยาวนาน โลกเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ผ่านไปเช่นนี้นานถึงสามแสนล้านปี ผู้แกร่งกล้ายุคใหม่รุ่งโรจน์ขึ้นมาในโลกใบนี้ แต่แน่นอนว่าผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ซึ่งยืนอยู่ในระดับยอดสุดไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

…………………………………………