บทที่ 1062 เฉินหยาง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เฉินหยางไม่อยากตาย!

แต่เขาก็ยังคงบอกกับตัวเองอยู่นั้นแหละ ว่านี่คือภาพมายา ทว่าเมื่ออีกฝ่ายลงมือบีบคอตน ความรู้สึกหายใจไม่ออกและกลิ่นอายความตายก็คืบคลานเข้ามาใกล้ ตอนนั้นเองเฉินหยางเลือกที่จะดิ้นรน

ผู้ฝึกตนที่ถูกคุมขังสองคนซึ่งไร้พลังเวทเริ่มฆ่าฟันกันในสถานที่ซ่อนตัวคล้ายกับถ้ำแห่งนี้ ท้ายที่สุดเฉินหยางเป็นฝ่ายชนะ

เขาเสียดวงตาไปข้างหนึ่งเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน แต่ก็สามารถหักคอของผู้เยาว์คนนั้นได้

เพียงแต่ว่าดวงตาใกล้ตายของผู้เยาว์คนนั้น วาจาอันแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดและลมหายใจสุดท้าย ทำให้เฉินหยางต้องผงะอยู่

“ไม่ช้าเจ้าก็จะเข้าใจว่าที่นี่จริงหรือเท็จแล้ว”

ประโยคนี้ ดังก้องอยู่ในสมองของเฉินหยาง กระทั่งในยามเที่ยงคืนของวันมาถึง ภาพที่ปรากฏในสมองของเฉินหยาง กลับไม่ได้เป็นภาพความตายของบรรดาญาติสหาย ภาพได้เปลี่ยนเป็นผู้ชราคนหนึ่ง

ผู้ชรานี้ เฉินหยางไม่เคยพบมาก่อน แต่ว่าเขาเคยเห็นรูปสลักของอีกฝ่าย คนผู้นี้ก็คือ…ผู้บุกเบิกสำนักศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในเซียนทั้งหกของจักรวาล คนของสำนักศักดิ์สิทธิ์ล้วนขนานนามเขาว่า ผู้อาวุโสเซียนศักดิ์สิทธิ์

“ผู้ที่เข้าร่วมครั้งนี้ อีกทั้งปฏิบัติตามคำขอแรกได้ ล้วนมองเห็นเงาภาพของผู้ชรา!”

“ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องคาดหวังใดๆ นี่มิใช่การทดสอบหรือเป็นการวัดผลใดทั้งสิ้น สิ่งที่เจ้าได้เห็นทั้งหมด เป็นความจริง หากว่าเจ้ามองเห็นญาติและสหายของตนเองตายนั้น นั่นก็เป็นการตายที่แท้จริงเช่นกัน”

“เชื่อหรือไม่ ตัวของเจ้าเองนั้นหากไม่อยากเข้าร่วม เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียหรือยอมให้คนอื่นฆ่าเสียก็ได้ แต่หากคิดจะเข้าร่วมต่อ เช่นนั้นในยามที่เจ้าฆ่าครบหนึ่งร้อยคนแล้ว ข้าจะมอบคำตอบที่เจ้าต้องการให้เอง”

“โดยอนุมานเช่นนี้ ในหมู่คนพันคน หมื่นคน แสนคน ล้านคน กระทั่งทุกๆ หนึ่งในการสังหารครบสิบล้านคน ข้าจะบอกคำตอบแก่เจ้าส่วนหนึ่งทุกครั้ง ท้ายที่สุด…ก็ไม่รู้ว่าใครจะมีคุณสมบัติที่จะได้รับคำตอบอันสมบูรณ์จากผู้ชราคนนี้!”

ภาพนั้นหายไป ส่วนเฉินหยางยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น เขาจมดิ่งอยู่เป็นเวลานาน กระทั่งสุดท้าย ก็เดินออกจากที่ซ่อนกาย ร่างของเขาในยามนี้ ดวงตายังคงมีประกายแสงเช่นเดิมอยู่บ้าง แม้ว่าจะหม่นทึมไปบางส่วน ก็นับว่ายังคงเหลืออยู่

หลายวันให้หลัง ในบรรดาพวกเขาทั้งหนึ่งร้อยคนตายไปได้กว่าเก้าส่วนแล้ว ในเวลานี้เอง…ก็มีผู้ฝึกตนอีกหนึ่งร้อยคนเข้ามาในคุกนรกสีโลหิต

ฉากการฆ่าฟัน เริ่มขึ้นอีกครา หนึ่งวัน หนึ่งศพ!

ผ่านไปหลายวัน ก็จะเติมจำนวนคนเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งร้อยคน ทำให้สีสันในคุกโลหิตแห่งนี้ค่อยๆ ถูกชโลมกลายเป็นสีแดงสดของเลือด แม้กระทั่งสีของพื้นยังเริ่มเปลี่ยนเป็นโคลนโลหิต เหม็นโฉ่ ผุกร่อน กลิ่นอายแห่งความตายแผ่ซ่านไม่หยุดจากที่นี่มากขึ้นๆ ในทุกที

ราวกับสิ่งเหล่านี้ไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับว่าช่วงเวลาที่สถานที่แห่งนี้จะเหลือคนเพียงคนเดียวนั้นไม่มีวันมาถึง เพราะว่าในเวลาหนึ่งวัน หากคนหนึ่งสังหารคนที่สองสำเร็จ จะมีพลังไร้ลักษณ์สายหนึ่งปรากฏ แล้วค่อยๆ บั่นทอนพลังของผู้สังหาร ทำให้ผู้สังหารอ่อนแอลงจนไม่อาจหยัดยืนต่อได้ ทำได้แค่รอให้ผู้มียังมีสิทธิ์สังหารเหลืออยู่ในวันนั้นสังหารทิ้ง!

วันแล้ววันเล่าเวียนกลับมาซ้ำซาก เป็นยิ่งกว่าฝันร้าย

วันคืนผ่านไปเช่นทุกวัน เฉินหยางเสียหูไปแล้ว จมูกของเขามีแผลเป็นน่ากลัวพาดผ่าน ขาข้างหนึ่งพิการ

ค่าตอบแทนนี้ แลกมาด้วยภาพที่ปรากฏในหัวของเขา ภายหลังจากที่เขาสังหารคนครบหนึ่งร้อยคนสำเร็จ เงาร่างของเซียนศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ปรากฏ

“ชีวิตคือสิ่งใด? เหล่าอนุชนที่ได้ฟังคำพูดนี้ของผู้ชรา พวกเจ้าควรตรึกตรองให้ลึกซึ้ง ข้าจะบอกพวกเจ้าเมื่อสังหารครบหนึ่งพันคนแล้ว”

ภาพนั้นหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงประโยค

แม้ว่าเฉินหยางจะเหลือเพียงดวงตาข้างขวา ประกายแสงในแววตาลดถอยลงไปจนเหลือน้อยเต็มที่ เพราะได้ฟังประโยคนี้ มองเห็นเงาร่างของเซียนศักดิ์สิทธิ์ ค่าตอบแทนที่เขาจ่ายไปทั้งหมดนั้นมิใช่เพียงแค่ร่างกายเท่า ในระหว่างนี้หลังเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายหลายครั้งและไม่อาจทำภารกิจสังหารสำเร็จ สมองของเขาจะปรากฏภาพญาติพี่น้องที่ตายอย่างทุกข์ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า

มารดาของเขาสิ้นชีพแล้ว ท่านปู่ของเขาเองก็จากไปแล้ว…

ทุกครั้งที่มีญาติเสียชีวิต จะทำให้แสงในดวงตาของเขาลดทอนลงไปส่วนหนึ่ง วันเวลาเช่นนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ย้อนวนไม่สิ้นสุด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าใด มีอยู่วันหนึ่ง ภาพญาติคนสุดท้ายตกตายพลันปรากฏขึ้นมาในหัวเฉินหยาง แสงในดวงตาของเขาที่เหมือนแสงไฟอ่อนระโหยก็พลันดับมอดลงเช่นกัน

ช่วงเวลานี้ ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเลือด โลหิตอาบชโลมร่าง เฉินหยางได้เห็นเงาร่างของเซียนศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งที่สาม และได้ฟังคำพูดของเขาอีกครั้ง

“ชีวิต…เป็นเพียงมายา เป็นแค่เรื่องตลกองก์หนึ่งเท่านั้น ก็เหมือนกับที่เวลาของจักรวาลนี้มีไม่มากเสียแล้ว อีกสามสิบปีมันก็จะสิ้นสูญ แตกดับไป และถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง…ส่วนพวกเราจำเป็นต้องอาศัยพิธีนี้ ครั้งนี้…ดำเนินพิธีสังหารเทพ!”

เสียงของเซียนศักดิ์สิทธิ์ยามนี้ ได้มอบข่าวใหญ่เข้าสู่โสตประสาทของเฉินหยาง ทว่าสีหน้าของเขากลับไม่เปลี่ยนแปลง เพราะในคุกโลหิตเล็กๆ แห่งนี้ หลังจากผ่านวันเวลามากมาย ในกลุ่มของผู้ฝึกตนที่เข้ามาใหม่หนึ่งร้อยคน เขาพลันเห็น…เงาร่างคุ้นเคย

“ศิษย์น้องหญิง…” นี่คือครั้งแรกหลังจากสังหารผู้อื่นจนกระทั่งตอนนี้ที่เฉินหยางยอมเอ่ยวาจา สีหน้าของเขาหลังจากเห็นเงาร่างนั้น เอ่ยประโยคสั่นสะท้าน แสงในแววตาพลันกลับมาอีกครั้ง เขาเริ่มมีความหวังอีกครั้ง

ทั้งสองคนเป็นผู้ที่เคยมีสัญญาหมั้นหมายกัน แต่เมื่อได้พบหน้ากันอีก กลับกลายเป็นสถานที่เช่นคุกโลหิต แม้ที่นี่จะไร้ซึ่งความอบอุ่น แต่การปรากฏตัวของศิษย์น้องหญิง ทำให้เฉินหยางที่ชีวิตใกล้ร่วงโรย มีพลังที่จะฝ่าฟันและอยู่รอดต่อไป เพราะว่า…ศิษย์น้องหญิงคือความหวังของเขา!

ทั้งสองเคียงข้างกัน

การมาของศิษย์น้องหญิงเสมือนเป็นการยืนยันทุกสิ่งให้เขารับรู้ เช่นเดียวกับที่เซียนศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวไว้ ญาติของเขาตายหมดแล้ว ส่วนโลกภายนอกก็ปรากฏการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำดิน โดยที่ไร้สัญญาณบอกกล่าว ดาวเคราะห์ต่างๆ เริ่มพังทลาย

ชีวิตนับไม่ถ้วนบ้าคลั่งอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ทั้งจักรวาลกำลังสั่นสะเทือน…

เฉินหยางจมดิ่ง เขาไม่อยากไปคิดเรื่องราวนอกโลกแล้ว เขาเพียงแค่คิดอยู่กับศิษย์น้องหญิงที่นี่ พยายามมีชีวิตจนกว่าความตายจะมาถึง

แต่เรื่องนี้ ไม่เป็นไปตรงกับที่เขาต้องการ แม้ว่าทั้งสองคนจะมีพลังมหาศาล ทว่าเวลาก็ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยไป บาดแผลบนร่างของเฉินหยางเริ่มมากขึ้นๆ พลังฝึกตนของเขาแม้จะกลับคืนมา แต่ก็ยังไม่อาจสู้บาดแผลที่สาหัสได้ จนกระทั่งในท้ายที่สุดนรกโลหิตที่เขาอยู่นี้ วันหนึ่ง…ประตูก็ได้เปิดออก

เพราะเขาทำได้แล้ว ก่อนหน้าที่จะมีคนกลุ่มใหม่เข้ามานั้น ในที่สุดในคุกโลหิตนี้ก็เหลือคนเป็นเพียงคนเดียว เขาไม่ได้เป็นผู้ลงมือสังหาร เป็นเพราะว่า…คนเป็นที่เหลืออยู่นั้นตัดสินใจฆ่าตัวตายเอง

อีกคนที่เหลืออยู่นั้น ย่อมเป็นศิษย์น้องหญิงของเขา

“ศิษย์พี่ใหญ่ คุกโลหิตเปิดประตูแล้ว รบกวนท่านช่วยไปดูให้หน่อยว่า โลกของเรานี้…จักรวาลนี้ สุดท้ายเกิดอะไรขึ้น” ก่อนหน้าที่ศิษย์น้องหญิงจะฆ่าตัวตาย นางกระซิบเสียงเบา

เฉินหยางร้องไห้กอดศพของศิษย์น้องหญิง เขาร้องไห้หนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านรุนแรง ความเจ็บปวดนั้นยิ่งกินลึกขึ้น ส่วนก้นบึ้งหัวใจของสิ่งที่สะสมมาตลอดพลันระเบิดออกไม่หยุด

ในเวลาเดียวกัน หลังจากเปิดประตูคุกโลหิต ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือตัวคุกตั้งอยู่ในโลกที่อาบย้อมด้วยสีเลือด…โลกใบนี้แผ่ขยายไร้ที่สิ้นสุด เต็มไปด้วยทะเลโลหิต และในการก่อรูปของทะเลโลหิตก็เนื่องมาจากบรรดาเกาะนับจำนวนไม่น้อยโดยรอบ ปล่อยเลือดแดงฉานให้ไหลนองออกมารวมกัน

คุกโลหิตก็คือเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง นอกคุกนั้น…กลับเป็นคุกฟ้าดินที่มีอาณาบริเวณใหญ่ยิ่งกว่า และยังคงฉาบด้วยสีแดง ไร้ซึ่งความหวังเช่นเดียวกัน

การสังหาร…ยังคงมีอยู่ กฎนั้น ยังไม่ได้หายไป หนึ่งวัน สังหารหนึ่งคน

ในส่วนของเป้าหมาย ก็คือเหล่าผู้ฝึกตนที่เดินออกมาจากภายในเกาะเล็กนั้น เพราะว่าที่นี่มีเกาะจำนวนมากเกินไป ส่วนจำนวนของเหล่าผู้ฝึกตน…เฉินหยางไร้หนทางที่จะไปนับได้ แต่เขาก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง การละเล่นในครานี้ ผู้ที่เข้าร่วมเล่นไม่เพียงแค่สำนักศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่เป็นสำนักทั้งหมด และผู้เยาว์ทั้งหมดในรุ่นนี้ล้วนถูกคัดส่งมาอย่างต่อเนื่อง

บางคนที่ไม่ได้ลงมือสังหารเพราะคิดว่าพวกเขาไม่มีญาติเหลือให้ถูกสังหารแล้ว การลงโทษสำหรับพวกเขานั้นจะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเจ็บปวดราวกับวิญญาณของตนถูกกระชากแทน

นี่คือวิธีการทรมานอย่างหนึ่ง!

เพราะว่าในคุกที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมนี้ แม้จำนวนของเหล่าผู้ฝึกตนจะมหาศาล แต่ทุกคนก็ดิ้นรนออกมาจากการล่าสังหารเช่นกัน ดังนั้นแต่ละคนย่อมไม่ยอมถูกฆ่าตายอย่างง่ายดายแน่

แล้วในห้วงเวลาที่ยาวนานกว่าเก่า คนจำนวนมากก็ตกอยู่ในสภาวะถูกลงทัณฑ์ ร่างกาย จิตวิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่าง ถูกฉีกกระชาก เจ็บทรมาน

“ทุกสิ่งนี้ สุดท้ายเพราะอะไรกันแน่…” เฉินหยางนั้นไม่รู้ว่าตนเองยังสามารถทนได้อีกนานเท่าไร กระทั่งตัวเขายังไม่รู้ว่าตนเองทนไปเพราะสิ่งใด กี่ครั้งแล้วที่เขาคิดจะฆ่าตัวตาย

“หรือว่า ข้าเองก็อยากได้ยินคำตอบ!”

ท่ามกลางความทุกข์ทรมานของเขา เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า และเพราะไม่ได้ทำภารกิจสำเร็จเป็นเวลานาน หลังจากเฉินหยางผ่านความเจ็บปวดถึงระดับหนึ่ง ดวงตาที่เหลืออีกข้างของเขาก็สิ้นประกายแสงไปจนหมด

โลกทั้งใบ ในสายตาเขากลายเป็นสีดำสนิท หลังจากเสียดวงตาไปแล้ว สิ่งที่เฉินหยางเห็นนั้นกลับเป็นสีเลือดข้นคลั่ก สีเลือดที่ไม่อาจชะล้าง

แต่เขาก็ยังยืนหยัดอยู่เช่นนั้น เนิ่นนาน เนิ่นนาน…จนกระทั่งสองแขนยังเปลี่ยนสภาพ ร่างกายกว่าครึ่งเน่าเฟะ ทว่าเขากลับยังอยู่ในทะเลโลหิต ทุกข์ทรมานจนไม่อาจจะหาคำใดมาพรรณนา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้เลือกที่จะฆ่าตัวตาย

แม้น้ำเสียงของเซียนศักดิ์สิทธิ์จะไม่ปรากฏขึ้นอีก ราวกับว่าลืมที่นี่ไปแล้ว…

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าใด ร่างอีกครึ่งหนึ่งของเขาเริ่มเน่าสลายเช่นเดียวกัน ทั้งร่างเหลือเพียงครึ่งศีรษะ เห็นชัดว่าควรจะตายอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังคงรอดชีวิตมาด้วยสภาพอันน่าเวทนา!

ในยามนี้เอง มีเสียงเย็นเยียบดังขึ้น พลันปรากฏก้องเข้าไปในสมองของเขา

“ทุกคนล้วนตายไปหมดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยืนหยัดอยู่?”

“เพราะในหัวใจของข้ามีแรงแค้น แค้นเซียนศักดิ์สิทธิ์ แค้นทุกผู้คน แค้นโลกใบนี้ แค้นจักรวาลนี้…”

“ข้าเกลียดฟ้าดิน ข้าเกลียดชีวิตที่นี่ ข้าเกลียดชะตาของตนเอง!”

“ดังนั้น…ข้าต้องการจะรอด ข้าต้องการเห็นจักรวาลนี้พินาศด้วยตาตนเอง!!” เฉินหยางไม่ทราบว่าตนเองพูดสิ่งใด เขาเพียงแค่รู้ว่า ตนบ้าไปแล้ว

น้ำเสียงเย็นชานั้นเงียบงันไปเนิ่นนาน ราวกับเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ราวกับสิบปี ราวกับร้อยปี มันถึงค่อยดังกลับมา

“เซียนทั้งหกแห่งจักรพิภพนี้ ต้องการสร้างอาวุธที่สามารถสังหารข้าได้ และหลอมล้างจักรพิภพขึ้นมาใหม่ ดังนั้นแล้วจึงมีความเจ็บปวดและแรงแค้นของสรรพชีวิตเช่นเจ้า…”

“เซียนทั้งหกพ่ายแพ้แล้ว ส่วนเจ้า…ไม่ใช่ทางเลือกของพวกเขา จึงถูกลืมทิ้งไว้ตรงนี้ น่าเสียดายพวกโง่ทั้งหก เลือกเป้าหมายผิดพลาด ไม่เช่นนั้นเจ้าซึ่งมีระดับความอาฆาตเช่นนี้ บางทีอาจจะฆ่าข้าได้จริงๆ…”

“แต่อย่างไรก็ดีแรงแค้นและความเกลียดชังของเจ้า ก็เป็นเหตุและผลมาจากการมีตัวตนของข้า…ข้าไม่รู้ว่านิสัยของข้าหลังจากตื่นขึ้นในโลกถัดไปแล้วจะเป็นอย่างไร   จะเหมือนโลกนี้หรือว่าเปลี่ยนเป็นผู้มีจิตใจงดงามสมบูรณ์ แต่ข้าคิดว่า…หากเจ้าได้กลายเป็นอาวุธชิ้นหนึ่ง บางทีคงน่าสนใจยิ่ง”

“อาวุธที่สามารถสังหารข้าได้ อาวุธที่สามารถหลอมรวมความแค้นและเกลียดชังของเจ้าไว้ทั้งหมด”

“น่าเฝ้ารอนัก” หลังจากเสียงนี้ดังกังวาน ขุมพลังอันมหาศาลก็ไหลเข้ามาจากแปดทิศ กวาดเศษซากของเฉินหยางที่เหลืออยู่พร้อมหอบเอาสติของเขาม้วนจากไป เฉินหยางยามนี้มองไม่เห็นโลกอีก ดวงตาทั้งคู่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

ความมืดมิดขุมนี้ ราวกับว่าจักรวาลสิ้นไร้สีสัน ราวกับผืนราตรีไร้ดวงดาว มีเพียงความว่างเปล่าอนันต์ อีกทั้งในความว่างเปล่า…ยังมีเงาร่างของหญิงสาวในชุดชาววังสีขาวอยู่ร่างหนึ่ง

หญิงสาวผู้นี้หน้าตางดงามเป็นที่สุด นางยืนเกียจคร้านอยู่ตรงนั้น ในมือมีสมุดมายาเล่มหนึ่ง ยามนี้นางยกมือขึ้น จากนั้นพลิกสมุดเบื้องหน้าดู และบนหน้ากระดาษหนึ่ง มีภาพของสรรพสัตว์อยู่ราวกับจะแสดงให้เห็นถึงทุกสิ่งในจักรวาล

แต่ในยามนี้ หลังจากที่นางกำลังจะพลิกเปิดหนังสือ ทันใดนั้นเอง มือของนางกลับชะงักขึ้นมา

“คล้ายกับว่า…ข้าเคยเห็นวิญญาณที่ค่อนข้างพิเศษนี้มาก่อน…” หญิงสาวผู้นี้ขมวดคิ้ว หลังจากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ

“ที่แท้แล้วเป็นมันหรอกหรือ…” ท่ามกลางเสียงพึมพำ ดวงตาของนางเผยแววระลึกถึงบางสิ่งออกมา…

………………………