ดาราจักรดวงดาราไม่รู้สิ้น ระบบดาวเคราะห์ชะตา บนดาวเคราะห์ชะตา
ท่ามกลางหมอกในการทดสอบ อาณาเขตภายในซึ่งในตอนแรกแบ่งแยกออกเป็นแสนกว่าอาณาเขตเล็กๆ ทุกอาณาเขตนั้นมีผู้ฝึกตนอยู่ แต่ในยามนี้…กว่าครึ่งของสถานที่ เหลือเพียงความว่างเปล่า
ราวกับว่าครึ่งหนึ่งของเหล่าผู้เข้าทดสอบ หลังจากระลึกชาติที่หนึ่งแล้วก็ไม่มีโอกาสในการเข้าสู่ชาติที่สองอีก และเพราะเหตุทางโชคชะตาทำนองนี้จำต้องละทิ้งวาสนาอย่างเสียไม่ได้
แล้วก็ยังมีบางคนซึ่งร่างกายไม่อาจรับสภาพการระลึกชาติหลายครั้งได้ สูญเสียพลังงานบนร่างไปมาก แม้จะได้รับพลังงานฟื้นกลับมาไม่น้อย แต่จิตวิญญาณก็ยังมีจำกัดอยู่ไม่อาจย้อนได้อีก
บางกรณีนั้น แม้ว่าร่างกายของบางคนยังทนรับไหว แต่กลับถูกผู้อื่นคุกคาม ถูกคนอื่นๆ ที่มีจิตใจชั่วร้ายอาศัยเบื้องหลังของวงศ์ตระกูลหรือพลังการต่อสู้ของพวกเขาเอง หรือกระทั่งบางคนยอมใช้เงินเข้าช่วงชิงแสง เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแล้วพวกเขาได้แต่ยินยอมส่งมอบแสงชี้นำที่เหลืออยู่กับตัวออกไป หากไม่มีแสงชี้นำพวกเขาจะถูกเวทเคลื่อนย้ายส่งออกนอกสถานที่ทดสอบเมื่อเวลาของอีกวันย่างมาถึง
เหล่าผู้เข้าทดสอบกว่าครึ่งที่เหลือนั้นหนีไม่พ้นชะตากรรมสองเส้นทางที่ว่า ดังนั้นแล้วช่วงหลังของวันที่สองและวันที่สามก็มีคนมากมายที่ทยอยเสียสิทธิ์ไป กล่าวคือ ในยามนี้แม้ว่าชาติที่สี่ยังคงดำเนินต่อไปได้ แต่กว่าเก้าส่วนของจำนวนผู้ฝึกตนนั้นต่างกลับโลกภายนอกไปแล้ว
โลกภายนอกยามนี้ บนร่างของอสูรดึกดำบรรพ์ทั้ง 39 ตัวนั้นจึงมีเหล่าผู้ฝึกตนแน่นขนัดตา บ้างก็กำลังถกเถียงเสียงเบา บ้างก็อดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ บ้างก็ราวกับมีความคิดบางอย่างพยายามดูดกลืนสิ่งที่ตนได้รับมา
แต่ทุกคนต่างแยกสมาธิส่วนหนึ่งจับจ้องไปทางเกาะภูเขาไฟ และหมอกสีขาวที่ยังคงไหลวนอยู่อย่างไม่มีข้อยกเว้น
เนื่องจากเวลาไหลผ่านแตกต่างกัน สำหรับสี่วันในหมอกขาวนั้น ด้านนอกหมอกขาวกลับเป็นระยะเวลาไม่นานเท่าไร ดังนั้นทุกคนจึงเฝ้ารอ…ว่าสุดท้ายแล้วจะมีคนกลุ่มไหน ที่สามารถระลึกได้สิบชาติบ้าง!
ท่ามกลางการรอคอยของทุกคน บนเกาะในปากปล่องภูเขาไฟ ประมุขกฎสวรรค์ซึ่งนั่งอยู่ตรงใจกลาง ในยามนี้ลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังทิศทางของหมอก ดวงตาลึกล้ำราวกับว่าผ่านวันเวลาอันไม่มีทางสิ้นสุด มันแฝงไปด้วยริ้วรอยทับซ้อนจนยากจะหายไป
“วันที่เท่าไรแล้ว” หลังจากลมหายใจหลายครา ประมุขกฎสวรรค์ก็เอ่ยเสียงเบา
“นายท่าน เป็นวันที่สี่แล้ว” ผู้มีพลังฝึกตนอันแข็งกล้าด้านข้าง และคนรับใช้เฒ่าผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพตอบเสียงเบา
“วันที่สี่เช่นนั้นหรือ…” ประมุขกฎสวรรค์พึมพำ หลังจากนิ่งไป ก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ในเวลาเดียวกัน… ภายในหมอกนั้น ท่ามกลางเขตที่ว่างเปล่ามากมาย รอบทิศซึ่งหวังเป่าเล่อนั้นอยู่ มีเงาร่างหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน
เงาร่างเหล่านี้ก็คือผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยคน พวกเขาทุกคนดวงตาไร้ประกายราวกับเป็นหุ่นเชิดไม่ปาน สิ่งที่น่าประหลาดก็คือแม้พวกเขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงล้ำแต่กลับไร้กลิ่นปราณ ไร้เสียง
ด้านหลังของผู้ฝึกตนนับร้อย ท่ามกลางหมอกนั้นมีเงาร่างสองเงาห่างกันประมาณสิบกว่าจั้ง กำลังจับจ้องกันอยู่โดยมองเห็นอีกฝ่ายแต่เพียงเลาๆ เท่านั้น
“ในเมื่อเจ้าหาตำแหน่งของเขาเจอแล้ว เหตุใดจึงยินยอมละทิ้งดาวเคราะห์เต๋าของเขา แล้วให้ข้าสังหารเขาเท่านั้นเล่า?” เงาร่างหนึ่งในนั้นเอ่ยปากเสียงเบา น้ำเสียงเย็นชา แถมยังแฝงด้วยความยโสเต็มเปี่ยม
“อวี่หลินรู้ว่า ตัวเองมีดาวเคราะห์เต๋าแล้ว อวี่หลินไม่ต้องการมากไปกว่านี้อีก อีกทั้งอวี่หลินรู้ค่าของตนเองดี รู้จักหนักเบา ไม่โลภมากเกินตัว ข้าจึงไม่ต้องการดาวเคราะห์เต๋าของเขา!”
“ดังนั้นแล้วข้าต้องการแค่สังหารเขาเท่านั้น นั่นคือเหตุผลส่วนตัวของข้า ทำไมเล่า…ในฐานะที่เป็นเต๋าลำดับเจ็ดแห่งสำนักเต๋าที่หนึ่ง เต๋าเก้ารัฐ สำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย ท่านกลัวแผนร้ายนี้เช่นนั้นหรือเจ้าคะ? หรือจะพูดอีกที ท่านกลัวหวังเป่าเล่อ?” หญิงสาวที่เอ่ยคำพูดนี้ นั่นก็คือสวี่อวี่หลิน
“เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดเด็กน้อยเช่นนี้มากระตุ้นข้า ดาวเคราะห์เต๋าของเขา ข้าต้องชิงมาแน่ พวกเจ้าเล่า มีเงื่อนไขอะไรอีก?” ผู้ฝึกตนลำดับที่เจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐค่อยๆ เอ่ยปาก ดวงตากวาดมองไปยังอีกด้านหนึ่งของหมอก
หลังจากที่ดวงตาของเขาเพ่งมอง พลันปรากฏเงาร่างหนึ่งอยู่กลางหมอกอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเงาร่างของคนผู้หนึ่งกลับค่อนข้างเด่นชัดขึ้น นั่นก็คือ…ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ!
“แล้วยังมีฝ่าบาท ในเมื่อมาแล้ว ทำไมถึงไม่ออกมาเล่า!” ดวงตาเย็นเยียบกวาดมองศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ผู้ฝึกตนลำดับที่เจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐหันศีรษะแล้วมองไปยังอีกด้านหนึ่งของหมอก
ในชั่วพริบตานี้ หมอกทางด้านนั้นหมุนวน นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าก็เดินออกมาจากในนั้น ดวงตาสะท้อนจิตสังหาร มันเอ่ยปากเสียงต่ำ
“ข้าเพียงแค่อยากสังหารเขา!”
“ข้าก็เช่นกัน” ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ดวงตาทอแสงวาวโรจน์เช่นกัน เอ่ยออกมาเสียงหนัก
ในยามนี้…พวกเขาทั้งสามคนปรากฏตัวอยู่ที่นี่พร้อมกัน ก็เพราะไม่รู้ว่าสวี่อินหลินสรรหาวิธีใดควานหาตัวพวกเขาพบ อีกทั้งยังบอกพวกเขาถึงสถานที่กักตัวระลึกชาติของหวังเป่าเล่อ หากเปลี่ยนเป็นเวลาที่เพิ่งเข้ามานั้น ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณและนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าคงไม่สนใจจะร่วมมือกันอย่างแน่นอน
แต่ในตอนนี้ทุกคนต่างเคยปะทะกับหวังเป่าเล่อมาก่อนแล้ว พวกเขาตกใจอย่างยิ่งกับพลังอันแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อ เข้าใจดีว่าหากอยู่เพียงคนเดียว พวกเขาย่อมไม่ใช่คู่มือของหวังเป่าเล่อเป็นแน่
ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงตัดสินใจร่วมมือกันคราหนึ่งเป็นเวลาสั้นๆ เพราะว่า…พวกเขาสองคนรู้ชัด หากตอนนี้ไม่เอาชนะหวังเป่าเล่อแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายระลึกชาติเข้าไปได้มากกว่าเก่า ตนเองและคนอื่นๆ ในยามนี้สุดท้ายจะกลายเป็นดั่งมดปลวกในสายตาของอีกฝ่าย
หากสืบเสาะต้นเรื่องก็คือ พวกเขาพบว่าหวังเป่าเล่อเติบโตรวดเร็วยิ่ง ทำให้บังเกิดความหวาดกลัวสุดขีด
ส่วนผู้ฝึกตนลำดับที่เจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐนั้น แม้ไม่เข้าใจเรื่องราวมากนักแต่เขาก็ไม่ได้โง่เง่า พอจะเดาคำตอบพวกนี้ได้อยู่ แม้ครานี้ยากจะเลี่ยงการถูกหลอกใช้ แต่ก็ไม่สนใจ สิ่งที่เขาต้องการก็คือดาวเคราะห์เต๋า! ส่วนกฎนั้น เขามีวิธีหลบหลีก!
“ไปเถอะ!” หลังจากเห็นสองคนนี้ปรากฏกาย ร่างของเขาก็ขยับคราหนึ่ง ตามติดอยู่หลังร้อยคนนั้นมุ่งหน้าไปยังที่ที่หวังเป่าเล่ออยู่โดยพลัน
หลังจากนั้นศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณและนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า รวมถึงสวี่อินหลิน ทั้งสามคนพลันพุ่งตัวมุ่งไปยังสถานที่ที่หวังเป่าเล่อกักตัวอยู่
ในชั่วเวลาหลายสิบอึดใจให้หลัง เหล่าผู้ฝึกตนที่ดวงตาไร้ประกายและทะยานไปหาหวังเป่าเล่อก่อนเป็นพวกแรกๆ นั้น ท่าทางพวกเขาราวกับว่าขาดสติสัมปชัญญะไปแล้ว โดยที่ไม่ได้หยุดแม้แต่น้อย พวกเขาเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ พริบตานั้นก็พากันพุ่งตัวออกจากหมอก ในยามปรากฏกายอีกครั้ง…พลันเห็นหวังเป่าเล่อที่หลับตานั่งขัดสมาธิอยู่กลางสถานที่ว่างเปล่านี้ในทันที
อีกทั้ง…รอบด้านหวังเป่าเล่อนั้น เงาร่างสิบกว่าร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่รายล้อมยามนี้พลันเบิกตาขึ้นเพราะการปรากฏกายของพวกเขา
โดยไม่ต้องเอ่ยคำกล่าวใดแม้แต่น้อย รังสีฆ่าฟันฉายโชนออกมาจากดวงตาของทั้งสองฝ่าย จิตสังหารพลันระอุขึ้นมา บรรดาผู้เข้าสอบนับร้อยแต่ละคนพุ่งเข้าหาร่างแยกของหวังเป่าเล่อ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แทบจะสะท้อนฉีกท้องฟ้ากระหน่ำไปทั่วทิศ พาให้หมอกรอบด้านสั่นคลอนตามไปด้วย
ดูไปแล้วแนวโน้มเช่นนี้ ผู้ได้เปรียบย่อมเป็นฝั่งหวังเป่าเล่อ แม้จำนวนผู้มาจะมีนับร้อย แต่สรุปรวมแล้วพละกำลังไม่มากเท่าไร แม้พวกเขาจะแยกกันโจมตี หลายคนรุมหนึ่งร่าง ทว่าความสามารถในการต่อสู้กลับแตกต่างเกินไป ยังคงทำให้การซุ่มโจมตีนี้ไม่ก่อเกิดผลกระทบมากนัก
โดยเฉพาะ พวกผู้ฝึกตนเหล่านี้อยู่ในสภาพไร้สติ แต่ก็เพราะเหตุนี้เช่นกันเหล่าผู้เข้าร่วมทดสอบเลยหาญกล้าไม่กลัวตาย กระทั่งในการปะทะครั้งหนึ่งถึงกับมีคนยอมระเบิดตนเอง!
แต่ต่อให้พวกเขาแข็งแกร่ง ก็ยังเป็นระดับดาวพระเคราะห์ อีกทั้งผู้ที่สามารถมางานฉลองอวยพรอายุของประมุขสวรรค์ได้นั้น ย่อมไม่ใช่พวกอ่อนแออยู่แล้ว ดังนั้นการระเบิดตนเองของพวกเขาจึงสร้างแรงสะเทือนอันน่าครั่นคร้าม
โดยเฉพาะ…ที่นี่คือสถานที่ซึ่งหวังเป่าเล่อปิดด่านระลึกชาติ การระเบิดตนเองในที่นี้ หากยังอยู่ในสภาวะระลึกชาติก็จะได้รับแรงกระทบใหญ่หลวง และนี่…ก็คือหนึ่งในแผนการของสวี่อินหลิน
ท่ามกลางเสียงกึกก้อง ตามมาด้วยการระเบิดตนเองของผู้เข้าร่วมทดสอบหลายคน ร่างแยกของหวังเป่าเล่อย่อมถูกบีบให้ล่าถอยไปเล็กน้อย ส่วนร่างจริงของเขานั้นคล้ายกับว่าจะได้รับคลื่นกระแทกจากการระเบิด จึงเริ่มสั่นสะท้านอยู่บ้าง…และในระหว่างที่สถานการณ์ทวีความรุนแรงและร่างจริงของหวังเป่าเล่อกำลังสั่นสะท้านอยู่นั้น เงาร่างหนึ่งก็กระโจนลงมาจากหมอกด้านบนด้วยความรวดเร็ว
เงาร่างนี้เป็นชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง…เขามิใช่หนึ่งในสี่ผู้สมคบคิด แต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสวี่อินหลิน ภายในสถานที่ทดสอบนี้ ชายฉกรรจ์ผู้นี้นับว่าเป็นพวกที่แข็งแกร่งที่สุด แม้ชื่อเสียงไม่อาจเทียบเท่าสามคนนั้น ทว่าความสามารถในการต่อสู้ก็ถึงระดับดาวพระเคราะห์ชั้นสมบูรณ์ เมื่อรวมกับสมบัติที่สวี่อินหลินส่งให้ ทำให้ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่…เป็นราวกับเทพสวรรค์เสด็จเยือนโลก!
“ตาย!!”
หลังจากเสียงคำรามต่ำ ชายฉกรรจ์ผู้นี้ใช้มือหนึ่งหยิบเอาขวานศึกที่มีแสงสีขาว จัดการกวาดมันเข้าไปยังตำแหน่งศีรษะของหวังเป่าเล่อซึ่งนั่งอยู่ ขวานดังกล่าวกวาดเข้าผ่านราวกับเส้นรุ้ง สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน กระทั่งว่าก่อให้เกิดการโจมตีอันรุนแรงพาให้เหล่าผู้ฝึกตนรอบด้านเงาร่างชะงัก
จังหวะที่พวกมันชะงักนี้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายฉกรรจ์ร้องตะโกน และในพริบตาที่ขวานนั้นมาถึง…ร่างกายที่สั่นสะท้านของหวังเป่าเล่อพลันลืมตาตื่นขึ้นมา!
ภาพที่ได้เห็นยามนี้คือแววตาที่ไม่อาจพรรณนาได้ ลูกตาสีแดงฉานเกือบจะกลืนกินเนื้อดวงตาทั้งหมด สีหน้าที่แสดงถึงความบ้าคลั่งบิดเบี้ยว เมื่อทุกอย่างนี้หลอมรวมกัน ทำให้เหล่าผู้ที่ได้เห็นล้วนแต่ปรากฏคำหนึ่งขึ้นมาในใจ!
เคียดแค้นชิงชัง!
นี่เป็นความแค้นลึกล้ำสุดขีด ความเกลียดชังโหดเหี้ยม แล้วยังมีโลหิตอันบ้าคลั่ง!
ภาพเหตุการณ์นี้คือ…การระเบิดพลังแค้นบ้าคลั่งถึงที่สุด ต่อโลก ต่อจักรพิภพ ต่อสรรพสัตว์ในฟ้าดิน อย่างไร้ขีดจำกัด!
…………………………………