ตอนที่ 1007 ตำหนักเป่ยหาน

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

พลังของทั้งสองล้วนแต่เป็นขั้นมหาจักรพรรดิ ถึงแม้คนเหล่านี้จะมีพลังขั้นมหาจักรพรรดิระดับสูง แต่ด้วยทักษะวิญญาณการต่อสู้แบบก้าวกระโดดและทักษะกระบี่ของพวกเขา อีกทั้งยังมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัว คนเหล่านั้นจึงถูกกำหนดให้ต้องพ่ายแพ้ไปทีละคน

กว่าเย่เฉินจะจัดการคู่ต่อสู้ของเขาได้เสร็จสิ้นอย่างยากลำบาก มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีก็ได้เอาชนะคนอื่น ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว

บ้างก็ตาย บ้างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไร้ซึ่งกำลังในการต่อสู้แล้ว

ฉึก! กระบี่ยาวของเย่เฉินแทงทะลุหัวใจของคนผู้นั้น

เลือดสีแดงสดของคนผู้นั้นกระเด็นเปื้อนเสื้อผ้าของเขา ดวงตาของเย่เฉินเคร่งขรึมลง ฆ่าไปได้คนหนึ่งแล้ว

เย่เฉินไม่ใช่จวินโม่ซีที่วัน ๆ คิดแต่เรื่องกินโดยไม่สนใจอย่างอื่น

เขามีจิตใจที่เจ้าเล่ห์ราวกับแมงป่องมีพิษ ความอาฆาตแค้นต่อผู้ที่ฆ่าล้างทำลายตระกูลของเขา เขาไม่เคยลืมมันได้เลย

หากเขามีโอกาสจับคนเหล่านั้นมาได้ เขาต้องจับพวกนั้นมาแล่เนื้อเอาเกลือทาอย่างแน่นอน

เผชิญหน้ากับผู้อาฆาตแค้นพยาบาทผู้นี้ ในใจของคนเหล่านั้นก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมาบ้าง

มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเจ้าอยากได้แผนที่ม้วนไผ่โบราณของหม้อเทพนิรันดร์หรือไม่?”

“ไม่ ๆ ๆ พะ พวกเรา…” พวกเขารีบส่ายหน้าพลางกล่าว

ในตอนนี้ได้พ่ายแพ้ยับเยินแล้ว อย่าว่าแต่จะเอาแผนที่ม้วนไผ่โบราณของหม้อเทพนิรันดร์มาเลย แม้แต่จะรอดชีวิตก็เป็นเพียงแค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ

“อย่าฆ่าข้า!” แววตาของพวกเขาฉายแววขอร้องอ้อนวอน

ถูกขังอยู่ในที่แห่งนี้มานานหลายปี กว่าค่ายกลของตระกูลเย่จะเปิดออกได้นั้นมันไม่ง่ายเลย พวกเขากลับต้องมาประสบกับภัยพิบัติที่นำไปสู่หนทางแห่งความตายเช่นนี้อีก

หากรู้เร็วกว่านี้ พวกเขาไม่มีทางลงมือกับคนทั้งสามนี้เพื่อแย่งชิงแผนที่ม้วนไผ่โบราณของหม้อเทพนิรันดร์เพื่อเอาความดีความชอบเด็ดขาด แต่คงจะแอบหนีออกไปนานแล้ว

กระบี่เปื้อนเลือดเล่มหนึ่งทาบลงตรงคอของมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าผู้นั้น

“พวกเจ้าฆ่าล้างทำลายตระกูลของข้าจนสิ้น มาตอนนี้ยังกล้าเอ่ยปากอ้อนวอนให้พวกข้าปล่อยพวกเจ้าไปอีกอย่างนั้นเหรอ?”

ไม่มีทาง! เว้นเสียแต่เขาจะเป็นคนที่ไม่อาลัยอาวรณ์และไม่สนใจตระกูลของเขาแล้ว

ตาเฒ่าเหล่านี้ก็เป็นสุนัขจิ้งจอกที่มีชีวิตอยู่มากี่ปีต่อกี่ปีแล้วไม่รู้ เพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาได้ระดมกำลังและสมองอย่างสุดความสามารถ จากนั้นก็เริ่มขายมันไปอย่างน่าเวทนา

“สำหรับเรื่องที่ตระกูลเย่ถูกฆ่าทำลายนั้น อันที่จริงแล้วพวกข้าก็รู้สึกเสียใจไม่น้อย แต่พวกข้าได้รับคำสั่งมา จำเป็นต้องทำเช่นนี้”

เย่เฉินมองพวกเขาด้วยสายตาถากถางและเย็นยะเยือก

“พวกเจ้าก็น่าจะรู้ดี ผู้ที่สามารถบัญชาการให้พวกข้าฆ่าล้างทำลายตระกูลเย่ได้นั้นมันแข็งแกร่งมาก เจ้าเป็นเด็กที่มีจิตใจกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ แต่ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้นเจ้าไม่สามารถที่จะรับมือได้ ขอเพียงแค่เจ้าไว้ชีวิตข้า ข้ายอมรับใช้เจ้า ทำตามที่เจ้าบอกทุกอย่าง ข้าจะช่วยเจ้าแก้แค้น เป็นเช่นไร?”

พวกเขาโยนเหยื่อที่ช่างน่าดึงดูดใจออกมาจริง ๆ

ในตอนนี้เอง เสียงอันเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้น “เจ้าเป็นคนของตำหนักตงจี๋หรือตำหนักเป่ยหาน?”

สามารถฆ่าทำลายกองกำลังของสามตระกูลยาโบราณได้ ก็มีเพียงแค่กองกำลังระดับสามแล้ว

ทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศมีกองกำลังระดับสามเพียงแค่สามกองกำลัง

ตำหนักตงจี๋ ตำหนักเป่ยหาน และแคว้นเทพฟ้านอิน

แคว้นเทพฟ้านอินอยู่ห่างไกลทางแดนตะวันตก และปราศจากการช่วงชิงใดใดมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยกระทำเรื่องฆ่าล้างทำลายตระกูลเช่นนี้มาก่อน

น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกนั้นคล้ายกับจะทำให้พวกเขาตกใจจนตัวแข็งทื่อก็มิปาน เบื้องลึกในหัวใจของพวกเขาเกิดความลังเลขึ้นแล้วว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่

เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ถึงดวงตาอันเย็นยะเยือกนั้นของกู้ไป๋อี ในที่สุดก็ยอมเปิดปากพูดออกมา

อันที่จริงกู้ไป๋อีก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย เขาไม่อยากได้ยินคำสี่คำที่ออกมาจากปากคนเหล่านี้

ทว่า เรื่องราวไม่ได้เป็นไปดั่งใจหวัง พวกเขากล่าวออกมาว่า “ตำหนักเป่ยหาน”

“ตำหนักเป่ยหาน!” ในขณะที่กล่าวสี่คำนี้ออกมา เย่เฉินก็ปล่อยจิตสังหารอันบ้าคลั่งออกมาด้วย

มู่เฉียนซีคาดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้จวินโม่ซีเคยสงสัยตำหนักเป่ยหานมาก่อน มาในตอนนี้เมื่อได้ยินจากปากคนเหล่านี้อีก ในที่สุดความจริงนั้นก็ได้ถูกยืนยันอย่างชัดเจนแล้ว

สีหน้าของกู้ไป๋อีตอนนี้ไม่ค่อยจะดีนัก เขาเหลือบมองไปที่มู่เฉียนซีเล็กน้อย

พวกเขากล่าว “แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่พวกเจ้าก็คงจะรู้ดีว่าตำหนักเป่ยหานนั้นไม่อาจที่จะข่มได้ เจ้าคิดจะแก้แค้น นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ข้าช่วยเจ้าได้ ขอเพียงแค่เจ้าไว้ชีวิตข้า…”

“นายท่าน!” เย่เฉินได้ยินคำพูดเหล่านี้ของพวกเขาก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นแล้ว

อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็เป็นยอดฝีมือระดับสูง หากสามารถเก็บนำมาใช้ประโยชน์ได้ ก็จะกลายเป็นว่าได้เพิ่มกำลังในการต่อสู้มาส่วนหนึ่ง

มู่เฉียนซีเอาเข็มยาเข็มหนึ่งออกมาและแทงเข้าที่คอของคนผู้นั้น ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มีเวลาจะมาฟังคำพูดอืดอาดยืดยาดของพวกเจ้าแล้ว เจ้ารู้อันใดมาบอกมาให้หมดเถอะ!”

ดวงตาของคนผู้นี้เริ่มเหม่อลอย มู่เฉียนซีมองเขาและกล่าวว่า “บอกมาเถอะ! ตกลงแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ที่สั่งให้เจ้าฆ่าล้างทำลายสามตระกูลยาโบราณ ในตำหนักเป่ยหาน ผู้ใดเป็นผู้บงการ”

เขากล่าวอย่างไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่า “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านผู้อาวุโสสูงสุดเป็นคนสั่งให้พวกข้าทำ”

ผู้อาวุโสสูงสุด แววตาของกู้ไป๋อีเริ่มทวีความเย็นยะเยือกมากขึ้น

มู่เฉียนซีกล่าว “แค่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตำหนักเป่ยหานอย่างนั้นเหรอ เรื่องใหญ่เช่นนี้หัวหน้าตำหนักของพวกเจ้าไม่รู้เรื่องด้วยอย่างนั้นเหรอ ข้าไม่เชื่อ!”

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าได้รับคำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุดมาโดยตลอด หัวหน้าตำหนักมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่นั้น ข้าไม่รู้”

มู่เฉียนซีมองกู้ไป๋อี “กองกำลังระดับสามกองกำลังหนึ่ง หากเป็นแมลงเม่าทั้งหมดต้องแย่แน่ ผู้ใดก่อเรื่อง ผู้นั้นต้องเป็นคนรับผิดชอบ ต้องแก้แค้นกับผู้บงการ แก้แค้นกับผู้ที่บงการเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับทุกคนในตำหนักเป่ยหาน”

อันที่จริงแล้ว มู่เฉียนซีก็เคยรู้มาก่อนว่าท่านอารองของตนเองนั้นถูกตำหนักเป่ยหานควบคุมเอาไว้ นางมีความคิดเช่นเดียวกันกับเย่เฉิน

จะสู้ให้ถึงที่สุด สาบานว่าหากไม่พังพินาศกันไปข้างหนึ่งจะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด ญาติสนิทของนาง จะมาทำร้ายกันง่าย ๆ ได้เช่นไรกัน

เมื่อตอนที่ได้เจอกับกู้ไป๋อี และก็รู้ว่าเขาเป็นคนของตำหนักเป่ยหานด้วย

นางรับรู้ได้ถึงจิตใจอันเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่เกี่ยวกับการฝึกยุทธ์โดยปราศจากเรื่องซับซ้อนใดใด จิตใจมุ่งมั่นแต่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง ทำให้นางรู้ว่าคนในตำหนักเป่ยหานไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้อุบายเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์

ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่นางก็ไม่ใช่คนที่ผลีผลามจนกระทั่งสังหารทุกอย่างเพื่อความโกรธโดยไม่สนใจอันใด

เย่เฉินได้ยินคำพูดของมู่เฉียนซีก็พยักหน้าลง “นายท่าน ข้าเข้าใจแล้ว”

หากไม่แยกแยะถูกผิดจนฆ่าทำลายไปทั้งกองกำลัง เช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างอะไรกับมือสังหารที่ฆ่าล้างทำลายตระกูลเย่

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉียนซี กู้ไป๋อีก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง

ถึงแม้ว่านางจะเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นและซุกซนไปบ้างในบางครั้ง แต่นางก็ไม่ใช่คนที่ไม่แยกแยะผิดถูก

เขากล่าวเสียงขรึมว่า “คุณหนูใหญ่…”

มู่เฉียนซีมองกู้ไป๋อีและกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้ามีอันใดอยากจะพูดหรือไม่?”

“ขะ ข้า ข้าค่อนข้างสนิทกับหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน เรื่องราวในตำหนักน้อยมากที่เขาจะเข้ามายุ่ง เรื่องนี้ เขาไม่น่าจะมีส่วนรู้เห็นด้วย”

มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อเสี่ยวไป๋กล่าวเช่นนี้ ข้าก็เชื่อเจ้า”

ทว่า เรื่องของสามตระกูลยาโบราณไม่ได้เกี่ยวข้องกับหัวหน้าตำหนัก แล้วเรื่องของอารองล่ะ?

“รอให้พลังของข้าฟื้นฟูกลับมาได้ดังเดิม ข้าจะช่วยสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจน!” กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

“สืบให้ชัดเจน!” เย่เฉินตกใจผงะไปครู่หนึ่ง

“ท่านกู้ หรือว่าท่าน ท่าน…”

“ท่านเป็นคนของตำหนักเป่ยหาน”

เพิ่งได้รู้เมื่อครู่ว่าศัตรูของเขาคือตำหนักเป่ยหาน ตอนนี้ก็มารู้ว่ากู้ไปอีผู้ที่ตนเองเคารพนับถือมาโดยตลอดก็เป็นคนของตำหนักเป่ยหานอีก เย่เฉินรู้สึกยากจะแยกแยะจริง ๆ

หลังจากที่สอบถามเสร็จสิ้น คนผู้นั้นก็ได้สติกลับมาแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเขาพวกเขาก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น

“เจ้าว่าอะไรนะ จะ เจ้า เจ้าก็เป็นคนของตำหนักเป่ยหานอย่างนั้นเหรอ เจ้า…”

“ข้ารู้สึกเหมือนคุ้นเคยเขา”

“พอมาคิดเช่นนี้แล้ว ทักษะกระบี่ของเขา…”