บทที่ 1853 ซืออู๋เทียน
เยี่ยหวันหวั่นยืนอยู่ที่ไกลๆ มองดูพี่ใหญ่ตระกูลซือโดยไม่เอ่ยวาจา นึกไม่ถึงแม้แต่นิดเดียว ว่าพี่ใหญ่ตระกูลซือนี้ จะอยู่ในบรรดาพี่น้องเก้าคนของซือเยี่ยหาน อัจฉริยะคนแรกที่ตระกูลซือโบราณต้องตา และพาไปเลี้ยงดูที่รัฐอิสระ คนแบบนี้อดทนมาได้จนถึงตอนนี้ แต่ยามปกติในตระกูลซือกลับแสร้งทำเป็นคนไร้พิษสง ขี้ขลาดหวาดกลัวที่จะก่อเรื่อง แต่ในความเป็นจริงแล้ว…กลับเป็นผู้แข็งแกร่งที่กลับมาจากรัฐอิสระ ช่างน่ากลัวจริงๆ …
“ความจริงแล้วในรัฐอิสระฉันยังมีอีกชื่อหนึ่ง…ชื่อซืออู๋เทียน” พี่ใหญ่ซือป๋ออี้มองพวกสืออี มุมปากยกขึ้นน้อยๆ วาดเป็นรอยยิ้มเย็นชาสุดขั้วกระดูก
“ซืออู๋เทียน ไม่เคยได้ยิน” เป่ยโต่วเกาจมูก
ชีซิงก็เหมือนกัน ไม่เคยได้ยินชื่อซืออู๋เทียนอะไรนี่ที่รัฐอิสระมาก่อน เดาว่าคงเป็นตัวละครเล็กๆ
แต่ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสสามกลับหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
ชีซิงกับเป่ยโต่วยังอายุไม่มาก ย่อมไม่เคยได้ยินชื่อซืออู๋เทียน แต่ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสสาม กลับคุ้นเคยกับชื่อซืออู่เทียนเป็นอย่างดี…
ตอนที่พันธมิตรอู๋เว่ยยังไม่ได้ก่อตั้ง ที่รัฐอิสระ ซืออู๋เทียนคืออัจฉริยะของตระกูลซือโบราณ แต่เพราะเพิกเฉยกฎตระกูลจึงถูกขับไล่ออกจากตระกูลเก่าแก่ หลังจากนั้น ซืออู๋เทียนก็ก่อตั้งสมาคมอู๋เทียนขึ้นด้วยมือของตัวเอง คอยรวบรวมทหารรับจ้างที่ทรยศหลบหนี เสริมสร้างกองกำลังของตัวเอง
จากนั้นไป๋เฟิงก็ก่อตั้งพันธมิตรอู๋เว่ย ลมแรงไร้ต้านทาน พันธมิตรอู๋เว่ยกับสมาคมอู๋เทียนเคยขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ถึงขั้นที่ว่าหลังจากไป๋เฟิงหายตัวไปแล้ว สมาคมอู๋เทียนก็ทำการโจมตีพันธมิตรอู๋เว่ยอย่างหนักหน่วง ศึกครั้งนั้นทำให้พันธมิตรอู๋เว่ยเสียหายไม่น้อย อีกทั้งสมาชิกหัวกะทิจำนวนมากยังถูกคนของสมาคมอู๋เทียนจับตัวไป
และการที่พวกเขามายังประเทศจีนครั้งนี้ก็เพราะได้ยินมาว่า คนของสมาคมอู๋เทียนปรากฏตัวที่ประเทศจีน ดังนั้นผู้นำจึงพาพวกเขามาสืบหาข้อมูลของสมาคมอู๋เทียน ดูว่าจะมีความคืบหน้าหรือไม่
ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยสืบหาข้อมูลของสมาคมอู๋เทียนมาแล้ว ตอนนั้นคาดว่าหัวกะทิของพันธมิตรอู๋เว่ยที่ถูกจับไปเป็นเชลยอาจจะอยู่ที่ประเทศจีนจึงบอกเรื่องนี้กับผู้นำ และครั้งนี้ผู้นำก็พาพวกเขามาประเทศจีน นอกจากตัวผู้นำจะอยู่ระหว่างทำภารกิจของชื่อเยี่ยนแล้ว ก็ยังมาดูว่าจะเจอสมาคมอู๋เทียนและเชลยศึกพวกนั้นได้หรือเปล่า…
แต่ใครจะไปคิดว่าผู้ชายตรงหน้ากลับเป็นหัวหน้าของสมาคมอู๋เทียน ซืออู๋เทียน…
สมาคมอู๋เทียนในรัฐอิสระ หัวหน้าของพวกเขาไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน เป็นความลับมาก ไม่มีใครเคยเห็นซืออู๋เทียน เวลาผ่านมาเนิ่นนาน ซืออู๋เทียนอยู่ในประเทศจีน ใช้การควบคุมจากทางไกล…
“ซือป๋ออี้! ฉันไม่รู้ว่าแกพูดอะไรกันแน่…ถ้าเป็นอย่างที่แกว่าจริงๆ แกแข็งแกร่งขนาดนั้น แกก็ไปคิดบัญชีกับเจ้าเก้าเองก็ได้ ทำไมก็ต้องทำร้ายพวกเราพี่น้องด้วย!” เวลานั้นสืออีชี้ซือป๋ออี้และตะคอกด้วยความโกรธ
เมื่อได้ยินคำพูดของสืออี ซือป๋ออี้ก็หัวเราะน้อยๆ มองสืออีและถอนหายใจพลางส่ายหน้า “เจ้าเจ็ด เดิมทีฉันคิดว่าแกจะฉลาดกว่าเจ้าสองกับเจ้าแปดนิดหน่อย ยังไงเสีย หลายปีมานี้แกก็มีชีวิตที่ดีในต่างประเทศ…แต่ใครจะรู้ว่า แกก็เป็นไอ้โง่…เจ้าเก้าถูกตระกูลซือโบราณเลี้ยงดูอย่างให้ความสำคัญ เรียกได้ว่าเป็นดาวรุ่ง ถ้าเจ้าเก้าตายด้วยน้ำมือของฉัน ตระกูลซือโบราณจะปล่อยฉันไปได้ยังไง…แต่ถ้าเจ้าเก้าตายด้วยน้ำมือของพี่น้องอย่างพวกแก งั้น…ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันแล้ว ใช่ไหม”
“แกไอ้เดรัจฉาน…แกฆ่าพวกเรา แล้วคิดว่าตระกูลซือโบราณจะปล่อยแกไปงั้นเหรอ!” สืออีเอ่ยด้วยเสียงโกรธ
ในสายตาของสืออี ถ้าพี่ใหญ่ซือป๋ออี้พูดความจริง งั้นเขากับเจ้าแปดพี่น้อง ก็ไม่เท่ากับว่าเป็นคนของตระกูลซือโบราณงั้นเหรอ
——————————————————–
บทที่ 1854 แน่นอนว่าฆ่าเธอ
“ฮ่าๆ …” เวลานั้นซือป๋ออี้หัวเราะเสียงเย็น “ลูกหลานตระกูลซือที่เร่ร่อนอยู่ข้างนอกมีมากเกินไปจริงๆ พวกแกในสายตาตระกูลซือไม่มีตัวตนแม้แต่น้อย…ส่วนเจ้าเก้านั้นไม่เหมือนกัน…ช่างเถอะ พูดกับพวกโง่แบบแก แกก็ไม่เข้าใจหรอก”
“แกก็แค่อิจฉาเจ้าเก้าที่แข็งแกร่งกว่าแก เพราะความอิจฉาของแก แกถึงทำได้แม้กระทั่งไม่ลังเลที่จะทำร้ายพี่น้อง แกมันไม่ต่างอะไรกับเดรัจฉาน!” สืออีเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“อิจฉา?” ซือป๋ออี้ส่ายหน้า “ต้องโทษซือเยี่ยหานที่ซวยเอง ตระกูลซือโบราณปฏิเสธฉัน ขับไล่ฉันออกจากรัฐอิสระ ฉันก็จะทำให้พวกมันเสียใจ ในเมื่อให้ความสำคัญกับเจ้าเก้าขนาดนี้ ฉันก็จะทำลายเขา ฆ่าเขาซะ…” ซือป๋ออี้หัวเราะเสียงเย็น
“งั้นคุณก็คิดว่าซือเยี่ยหานจะสู้คุณไม่ได้สินะ” เยี่ยหวันหวั่นที่เงียบมาตลอดพลันเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเยี่ยหวันหวั่น แววตาของซือป๋ออี้ก็ตกลงบนตัวของเยี่ยหวันหวั่นทันที “หึๆ …น้องสะใภ้ ทำไม หรือเธอคิดว่าเจ้าเก้ามันแข็งแกร่งกว่าฉันงั้นเหรอ…”
“คุณเก้าแข็งแกร่งกว่าคุณหรือเปล่า นั้นไม่สำคัญ ฉันแค่สงสัยว่า…คุณไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าพี่เจ็ดและพวกพี่น้อง จะสามารถฆ่าคุณเก้าได้?”
“ในเมื่อตัวคุณเองก็รู้ว่าคุณเก้ากลับมาจากรัฐอิสระ…ไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะเทียบได้ คุณให้พวกพี่เจ็ดลงมือ จะฝืนเกินไปหรือเปล่า” เยี่ยหวันหวั่นมองซือป๋ออี้พลางเอ่ยถาม
แต่ซือป๋ออี้กลับส่ายหน้าและเอ่ยตอบ “ถ้าก่อนหน้านี้ไม่เกิดเรื่องนั้น พี่น้องพวกนี้ไม่มีทางทำสำเร็จได้แน่นอน ให้พวกเขาไปฆ่าเจ้าเก้า เป็นเรื่องน่าขำทั้งเพ”
“เรื่องนั้น?” หัวคิ้วเยี่ยหวันหวั่นขมวดเล็กน้อย เรื่องนั้นที่ซือป๋ออี้ว่า…หมายถึงเรื่องอะไร
“ทำไม…เธอไม่รู้เหรอ” ซือป๋ออี้มองเยี่ยหวันหวั่นด้วยรอยยิ้ม “น้องสะใภ้…ตอนนั้นเจ้าเก้ากลับมาจากรัฐอิสระก็เพราะเธอล้วนๆ นะ”
สิ้นเสียงของพี่ใหญ่ซือป๋ออี้ ทุกคนในที่นั้นต่างก็เผยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย
“ฮ่าๆ …หรือว่าเธอไม่รู้ ปีนั้นตอนเจ้าเก้าอยู่รัฐอิสระ เพราะช่วยเธอ เลยทำร่างกายบาดเจ็บสาหัส…
และเธอ หลังตามเจ้าเก้ากลับมายังตระกูลซือก็ราวกับคนตาย ทั้งวันร้องห่มร้องไห้ สุดท้ายก็ขอร้องให้เจ้าเก้าล้างความทรงจำทั้งหมดของตัวเอง…
แน่นอนว่าเจ้าเก้าทนเห็นเธอเป็นแบบนี้ไม่ไหวก็เลยทำตาม…
ถ้าเจ้าเก้าไม่ได้บาดเจ็บ ถ้าอยากจะฆ่าเขาก็คงเป็นไปไม่ได้…แต่เพื่อเธอ เจ้าเก้าจึงบาดเจ็บหนักแทบจะไม่มีพลังยุทธ์เหลืออยู่แล้ว ต่อให้เป็นพี่น้องพวกนี้ก็ฆ่าเขาได้…
แต่น่าเสียดายนะ ถ้าตอนนั้นเจ้าเจ็ดมองออกว่าเธอสวมรอยเป็นเดธโรส คนของพันธมิตรเลือดก็จะสามารถฆ่าเจ้าเก้าได้ไปนานแล้ว…ไฉนเลยจะปล่อยให้เขาอยู่รอดจนถึงตอนนี้” ซือป๋ออี้เอ่ยพลางถอนหายใจ
ขณะที่ซือป๋ออี้เล่า สีหน้าของเยี่ยหวันหวั่นก็ทวีความหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
เธอไม่รู้เรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย…
ซือเยี่ยหานถึงกับทำให้ตัวเองบาดเจ็บหนักเพื่อช่วยเธอ?
กระทั่งว่าเธอขอร้องซือเยี่ยหานให้ลบความทรงจำของตัวเองทั้งหมด…นี่เป็นไปได้ยังไง…
แต่เวลานี้ซือป๋ออี้ไม่มีเหตุผลที่จะโกหกเธอแม้แต่น้อย เรื่องนี้สำหรับซือป๋ออี้แล้วช่างไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
“ช่างเถอะ คุยไร้สาระกันพอแค่นี้เถอะ…” เวลานี้ซือป๋ออี้มองสืออีกับเยี่ยหวันหวั่นและยิ้มน้อยๆ “เจ้าเจ็ด ฉันไม่ฆ่าแกก็ได้ แกไสหัวไปเถอะ…”
“แต่ นี่คือผู้หญิงที่เจ้าเก้ารักที่สุดนี่นะ…ฉันว่า บางทีอาจทำให้เจ้าเก้าหดหู่เศร้าสร้อยได้”
พอพูดถึงตรงนี้ ซือป๋ออี้ก็มองเยี่ยหวันหวั่น “ความจริงฉันสงสัยมากว่าเธอเป็นใครกันแน่…แต่ก็ไม่มีความหมายแล้ว ในสายตาฉัน เธอเป็นแค่ผู้หญิงที่เจ้าเก้ารักที่สุดก็พอ”
“ซือป๋ออี้ แกหมายความว่ายังไง!” สืออีตะคอกถาม
“หึ แน่นอนว่าต้องฆ่าเธอไง” ซือป๋ออี้เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
…………………………………