ภาคที่ 6 บทที่ 18 กระจายอำนาจ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 18 กระจายอำนาจ

กองเรือรั้งอยู่ที่เกาะพันมายาเป็นเวลา 3 วัน ก่อนที่พวกเขาจะออกเรือไปพร้อมกับกลุ่มธารามืดที่ติดตามมาด้วย

กองทัพของซูเฉินในตอนนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 กองกำลัง

ได้แก่ นิกายไร้ขอบเขต 50,000 คน กองสยบทะเล 210,000 คน ชาวสมุทร 300,000 คน และกลุ่มธารามืดอีก 70,000 คน ทหารของกองทัพของซูเฉินในยามนี้รวมแล้วจึงมีทั้งหมด 630,000 นายด้วยกัน

และพวกเขาก็ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มคนธรรมดาจำนวน 630,000 คน ทว่าเป็นเหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่ทรงพลัง และแต่ละคนล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษที่สามารถจัดการกับพลังต้นกำเนิดรอบตัวของพวกเขาได้

หากกองกำลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อการรุกรานเป็นหลักแล้วล่ะก็ คงไม่มีสถานที่แห่งใดต้านทานพวกเขาได้ แม้แต่เมืองล่องนภาก็คงต้องพบกับความลำบากหากต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา

อย่างไรก็ตาม การจะจัดการกับอสูรทะเลทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในหุบเหวโดยอาศัยกลุ่มคนจำนวนเพียงเท่านี้ ก็นับว่าน้อยเกินพอ

ทหารทุกคนที่รวมสำรวจในการสำรวจครั้งนี้ ส่วนใหญ่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการเสียสละไปแล้วในระดับหนึ่ง

12 วันต่อมา ในที่สุดกองเรือก็เดินทางมาถึงริมหุบเหว

พื้นที่บริเวณนี้คืออาณาเขตของอสูรทะเลทั้งหมด มันเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในโลก แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดก็ต้องระวังเมื่อพวกมันผ่านมาที่นี่

กลิ่นอายอันน่าเกรงขามของพวกเขาหายไปแทบจะทั้งหมดในทันทีที่พวกเขามาถึง

เรือล่องลอยไปตามผิวน้ำอย่างเงียบเชียบและสงบเสงี่ยม ท่ามกลางเสียงลมทะเลและเกลียวคลื่น

บางทีอาจเป็นเพราะขาดการรบกวนจากภายนอกนานเกินไป แม้แต่ทะเลจึงได้ก้าวร้าวมากถึงขนาดนี้

เกลียวคลื่นเริ่มม้วนตัวขึ้นสูงริบและซัดกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราด ภายใต้ท้องฟ้าที่เริ่มปกคลุมไปด้วยเมฆดำทึบที่ควบแน่นกันเป็นก้อน

สายลมพัดโหม ฝนเทตัวลงมาอย่างหนัก ฟ้าร้องก้องส่งสายฟ้าฟาดลงมาทั่วทุกทิศทุกทางอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงจนน่าตกใจ

นกปีศาจขนาดใหญ่ที่บินวนเวียนผ่านท้องฟ้ามาเป็นระยะ ๆ พลางจ้องมองไปที่กองเรือด้านล่างราวกับว่าพวกมันกำลังมองดูคนตาย พวกมันกำลังรอคอยรออาหารมื้อใหญ่ที่อาจจะปรากฏในไม่ช้านี้

วิญญาณสายฟ้ากระโดดโลดเต้นอยู่บนท้องฟ้า บางคราพวกมันก็ระเบิดเป็นลูกไฟที่ส่องประกาย ไม่เพียงเท่านั้นบนท้องฟ้านั่นยังมีทั้งวิญญาณอัสนีบาต วิญญาณสายฟ้าทมิฬ วิญญาณสายลมเงียบงัน และวิญญาณธาตุอื่น ๆ อีกมากมายอยู่ด้วย เมื่อรวมตัวกันพวกมันจะสร้างเสียงที่เต็มไปด้วยจังหวะที่แปลกประหลาดขึ้นมา

นอกจากนี้ยังมีอสูรทะเลปรากฏขึ้นมาพร้อมคลื่นเป็นครั้งคราว

แทนที่จะวิ่งหนี พวกมันกลับเลือกที่จะวนเวียนอยู่ใกล้กองเรือเพื่อค้นหาโอกาสที่จะโจมตี

“ช่างเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมและเหมาะกับการทดลองจริง ๆ” ซูเฉินถอนหายใจขณะที่เขาเหลือบมองดูเหล่าวิญญาณที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า

วิญญาณอัสนีบาตรนั้นเป็นแหล่งพลังหลักของทักษะดาบอัสนีบาตรของตระกูลไป๋ วิญญาณเหล่านี้สามารถใช้เสียงฟ้าร้องเพื่อโจมตีคู่ต่อสู้โดยไม่สนใจการป้องกันได้ พวกมันค่อนข้างทรงพลังที่เดียว

น่าเสียดาย การจะโต้กลับลักษณะพิเศษของวิญญาณนี้มันเป็นไปได้ อีกทั้งความสามารถในการเจาะเกราะป้องกันของมันก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผลทุกครั้ง เมื่อความแข็งแกร่งของซูเฉินเพิ่มขึ้นและคู่ต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้าก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ วิชาดาบนี้จึงค่อย ๆ สูญเสียประสิทธิภาพของมันไป

ในทางกลับกัน บางครั้งอวิ๋นเป้าก็ดึงพลังของมันออกมาได้มากกว่าเสียอีก เขาประหลาดใจกับความสามารถในการดึงพลังออกมามากกว่าที่คาดไว้

แน่นอนว่า ถ้าซูเฉินใช้เวลาในการค้นคว้าทักษะนั้นมากขึ้น เขาคงจะพัฒนาการโจมตีด้วยสายฟ้าที่ทรงพลังยิ่งขึ้นมาได้ ทั้งทรงพลังขึ้นทั้งรวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสนใจหลักของซูเฉินไม่ได้อยู่ที่นั้น ดังนั้นหลังจากที่มองดูดวงวิญญาณอย่างคร่าว ๆ เขาก็ถอนหายใจและเดินหน้าต่อไป

เส้นทางแห่งการวิจัยนั้นไม่มีที่สิ้นสุดและมีอยู่หลากหลาย ทั้งหมดที่ซูเฉินสามารถทำได้คือเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานั้นเท่านั้น

“นายท่าน พวกเขากำลังรอท่านอยู่” กังเหยียนกล่าวขึ้นขณะที่ยืนอยู่ด้านหลังซูเฉิน

“อืม” ซูเฉินตอบ เขาแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปที่ห้องโถงหลัก

หลี่ฉงซาน เฟิงหันและคนอื่น ๆ ได้นั่งรออยู่ในโถงก่อนแล้ว

เพื่อให้แน่ใจว่าการเคลื่อนไหวและการกระทำของพวกเขาจะประสานงานกันได้อย่างถูกต้อง กองเรือหลากหลายที่รวมกันจึงได้กำหนดกลุ่มผู้บัญชาการขึ้นมา 9 คนโดยมีซูเฉินเป็นผู้นำของพวกเขาตลอดทาง จนกระทั่งพวกเขากลับไปที่เกาะพันมายา นอกจากซูเฉินแล้ว กองเรือแต่ละกองจะส่งของพวกเขาออกมา 2 คน ซึ่งได้แก่ หลี่ฉงซาน ฉู่อิงหว่าน เจียงซีสุ่ย จีหานเยี่ยน เฟิงหัน เว่ยซีหมิ่น และจงเจิ้นจวินกับติ้งเฟิงจากเพลิงทมิฬ

คนที่ซูเฉินขอติดตามมาด้วยมีเพียงติ้งเฟิง ส่วนจงเจิ้นจวินนั้นเลือกตามมาด้วยตัวเอง

กลุ่มธารามืดเป็นกองกำลังหลักของเพลิงทมิฬ จงเจิ้นจวินไม่ไว้ใจให้ใครอื่นมาดูแลจัดการแม้แต่ติ้งเฟิง ดังนั้นเขาจึงมาเพื่อจับตาดูและควบคุมเอง

กลุ่มบัญชาการทั้ง 9 นี้ จะถูกถือเป็นกลุ่มผู้บัญชาการสูงสุด ทุกการตัดสินใจในเรื่องสำคัญล้วนต้องผ่านพวกเขาก่อน นี่คือสาเหตุที่ทำให้จงเจิ้นจวินกับชาวสมุทรสนับสนุนความคิดนี้อย่างรวดเร็ว

ในแง่ของการกระจายอำนาจ พวกชาวสมุทรก็แค่ไม่ต้องการให้ซูเฉินมีอำนาจเหนือกว่า

แม้ว่าพวกเขาจะฝากความหวังไว้ที่ซูเฉิน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายสามารถตัดสินใจทุกอย่างด้วยความตั้งใจของตัวเอง

อย่างไรซะ ก็ไม่มีใครจะมอบทุกสิ่งของตนให้ผู้อื่นได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว

ซูเฉินไม่ได้ใส่ใจและเริ่มพูดขึ้นอย่างจริงจัง เผ่าท้องสมุทรได้ไว้หน้าให้เขามามากพอแล้ว สมาชิกของนิกายไร้ขอบเขตในกลุ่มนี้ก็มีอยู่ถึง 3 คน เจียงซีสุ่ยกับภรรยาก็เป็นพันธมิตรของเขา ตราบใดที่ซูเฉินใช้ลูกเล่นกลโกงใส่ชาวสมุทรก่อน อีกฝ่ายก็จะไม่ต่อต้านเขาเช่นกัน หากจะกล่าวว่ากลุ่มผู้บัญชาการทั้ง 9 นี้ทำงานรวมกันได้เพราะด้วยแนวคิดเดียวกันนี้ก็คงไม่ผิดนัก

วันนี้เป็นวันแรกที่กองเรือมาถึงยังหุบเหว ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องหารือเกี่ยวกับขั้นต่อไปก่อนที่จะทำการเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง

ซูเฉินมาถึงในขณะที่จงเจิ้นจวินกำลังพูดอยู่พอดี “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความมั่นคงต้องมาก่อน ข้าคิดว่าเราควรหลอกล่อราชันจักรพรรดิอสูรที่มีอำนาจมากออกมาก่อนแล้วค่อยจัดการเมื่อมันอยู่ตัวเดียว”

เฟิงหันส่ายหัว “ถ้าจะวางกับดักและฆ่าราชันจักรพรรดิได้ง่ายขนาดนั้น เราก็คงไม่ถูกกดขี่ข่มเหงมาเป็นเวลาหลายพันปีเช่นนี้หรอก อสูรทะเลไม่ได้เบาปัญญาไร้สติ เมื่อพวกมันรับรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกมันก็จะเรียกกำลังเสริมทันที ยิ่งยามนี้เราอยู่ในหุบเหว ทำเช่นนั้นไปก็ไม่ต่างอะไรกับการแกว่งเท้าหาเสี้ยนเลยสักนิด !”

จงเจิ้นจวินยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องให้ท่านซูแนะนำกลยุทธ์ให้เสียแล้ว ในเมื่อเขามั่นใจว่าตนสามารถแก้ปัญหาท้องสมุทรโศกาได้ เรื่องนี้ก็ควรเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา”

ทุกคนสาปแช่งจงเจิ้นจวินอย่างเงียบ ๆ ในใจ เรื่องเล็ก ? เหตุใดมันถึงได้ดูเหมือนปมปัญหาหลักของเรื่องนี้กัน !

หากปัญหานี้สามารถแก้ได้ การคุกคามของหุบเหวมันก็จะช่วยลดปัญหานี้ไปได้มากกว่า 2 ใน 10

ถึงกระนั้น มันก็ไม่ใช่ว่าคำพูดของจงเจิ้นจวินจะไร้เหตุไร้ผลไปเลย

บางครั้งเรื่องบางเนื่องแม้นจะดูน่าขยะแขยงและน่ารำคาญมาก ทว่ายิ่งมันเป็นเช่นนั้นมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นความจริงมากขึ้นเท่านั้น

แม้แต่ตัวซูเฉินเองก็ต้องยอมรับว่าคำแนะนำของจงเจิ้นจวินนั้นสมเหตุสมผล

ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้หลัก และพูดตอบ “ข้าเข้าใจคำแนะนำของผู้บัญชาการจงเจิ้นจวิน และสนับสนุนความคิดที่ว่านั้น อย่างไรก็ตาม เราในตอนนี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่ข้ามีแผนอยู่แล้ว และเชื่อว่าเราจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ในไม่ช้า”

จงเจิ้นจวินเหล่มองซูเฉิน “โอ้ ? ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อมั่นในตัวของท่านหรอกนะ ท่านซู แต่ข้าอยากรู้นักว่าท่านวางแผนจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ?”

ซูเฉินตอบกลับอย่างสบาย ๆ “ง่ายมาก ท้องสมุทรโศกาได้ออกคำสั่งราชันจักรพรรดิอสูร และห้ามไม่ให้พวกมันล้ำออกไปจากหุบเหว มีเพียงอสูรทะเลที่แก่และใกล้ตายเท่านั้นที่สามารถออกไปได้ ข้าเพิ่งจะพัฒนายาต่ออายุให้เหล่าคนชราทั้งหลายขึ้นมา ทว่ามันกลับให้ผลตรงกันข้าม”

เฟิงหันหรี่ตาลง “เจ้าหมายถึงการเร่งอายุ ?”

“ถูกต้อง !” ซูเฉินพยักหน้า

ทุกคนเข้าใจในทันทีว่าซูเฉินหมายถึงอะไร

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลอกล่อราชันจักรพรรดิรุ่นเยาว์ แต่ถ้าพวกเขาเร่งอายุไขให้พวกมันตนใดตนหนึ่งได้ มันก็จะออกมาจากหุบเหวด้วยตัวเองอย่างแน่นอน และนั่นจะช่วยทำให้การล่าง่ายขึ้นมาก

“หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดเราไม่เร่งอายุให้ราชันจักรพรรดิทั้งหมดในคราวเดียวเสียล่ะ ? เหตุใดเราต้องมามัวเสียแรงเสียเวลามากมายด้วย ?” จีหานเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

ซูเฉินตอบกลับไปว่า “ราชันจักรพรรดิอสูรทะเลมีขนาดใหญ่มากจนต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลเพื่อเร่งอายุหนึ่งในพวกมันให้ชราภาพ จนถึงตอนนี้ข้ารวบรวมทรัพยากรมาได้นานกว่า 5 ปีแล้ว ทว่ามันก็เพียงพอสำหรับอสูรทะเลเพียง 2 ตัวเท่านั้น นอกจากนี้เมื่อพวกอสูรทะเลแก่ตัวลง พวกมันจะออกโจมตีชาวสมุทรทันที แต่หากต้องการจริง ๆ ข้าก็สามารถเร่งอายุราชันจักรพรรดิอสูรทะเล 500 ตนให้ได้ในหนึ่งลมหายใจนะ ฮ่าฮ่า”

ซูเฉินไม่ได้กล่าวต่อ แต่ทุกคนเข้าใจได้โดยไม่ต้องชี้แนะเพิ่มเติมให้ ว่านั่นจะต้องกลายเป็นหายนะสำหรับชาวสมุทรและเพลิงทมิฬอย่างแน่นอน ชาวสมุทรอาจอยู่รอดได้เพราะสายลมแห่งเสรี แต่ปราการเจ้าสมุทรกับเกาะพันมายาคงจะสูญหายไปตลอดกาลเป็นแน่แท้

ที่สำคัญกว่านั้น หุบเหวคงยังไม่ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง และเมื่อมีอสูรทะเลตัวใหม่เข้ามา ตัวตนที่ทรงพลังหน้าใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ตัวตนเก่าอีกครั้ง

ไม่ว่าในกรณีใด วิธีนี้ไม่สามารถใช้ได้

“ถึงกระนั้น เราก็ไม่สามารถเสียทรัพยากรไปกับเป้าหมายแบบสุ่มได้ เพราะอสูรทะเลบางชนิดนั้นมีความสามารถในการต้านทานพิษมาแต่กำเนิด อสูรทะเลบางชนิดเองก็มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นการคัดกรองเพื่อหาเป้าหมายที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำก่อน” ซูเฉินกล่าว

เฟิงหันพยักหน้า “แม้ว่ามันจะไม่ง่าย แต่ก็นับว่าเป็นไปได้ ท่านซูเตรียมตัวพร้อมมาได้ดีจริง ๆ”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคารพชื่นชม

จงเจิ้นจวินกล่าวอย่างเย็นชา “หากท่านซูมีแผนอื่นอยู่อีก ก็โปรดบอกเรามาเถิด เราไม่ต้องการจะถูกทิ้งเอาไว้จนถึงตอนสุดท้ายหรอกนะ”

“ข้าจะบอกเมื่อมันถึงเวลา”

“ถ้าท่านซูยืนกรานที่จะไม่พูด ข้าก็จะไม่บังคับให้ท่านพูด เช่นนั้นขอให้ข้าได้พูดถึงเรื่องอื่นก่อน” จงเจิ้นจวินตอบ

“เชิญกล่าว”

“ข้าอยากรู้ว่าผลกำไรในอนาคตของเราจะถูกแบ่งอย่างไร ?”

เมื่อเขาพูดเรื่องนี้ ทุกคนก็ขมวดคิ้ว

เพื่อหยิบยืมกลุ่มธารามืด ซูเฉินได้กล่าวไว้ว่าเขาจะมอบผลประโยชน์ให้เพื่อแลกกับความช่วยเหลือในการจัดการกับอสูรทะเลเหล่านี้

แม้มันจะเป็นเหยื่อล่อ แต่มันก็นับเป็นความจริงเช่นกัน

แม้ว่าราชันจักรพรรดิอสูรทะเลเหล่านี้จะสูญเสียผลึกแก้วต้นกำเนิดไปด้วยผลกระทบจากท้องสมุทรโศกาแล้ว แต่การที่จะกล่าวว่าพวกมันไร้ประโยชน์ก็ไม่ถูกเท่าไร สิ่งสำคัญที่สุดคือซูเฉินอยู่ที่นี่ แม้จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากอสูรทะเล พวกเขาก็ยังสามารถรับผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายแจกจ่ายมาได้

การแบ่งผลประโยชน์จึงถือเป็นหัวข้อสนทนาที่สำคัญ

ในแง่ของการแบ่งสันปันส่วนแล้ว ผู้มีส่วนร่วมมากที่สุดก็ย่อมได้รับผลประโยชน์สูงสุด และตัวกำหนดขนาดของผลงานก็คงไม่พ้นขนาดของกำลังคนที่ฝ่ายนั้น ๆ ส่งมาช่วยเหลือ

ในเวลานี้ ตำแหน่งของนิกายไร้ขอบเขตนั้นกล่าวได้ว่าค่อนข้างน่าอึดอัดใจ

จากกำลังพลทั้งหมดของกองทัพที่แข็งแกร่ง 630,000 คน มีคนของนิกายไร้ขอบเขตอยู่เพียง 50,000 คนเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วนี่หมายความว่าในการแบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์จากกองกลาง พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์ถึง 1 ใน 10 ด้วยซ้ำ

แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่มส่วนของนิกายไร้ขอบเขตเป็นสองเท่าโดยอาศัยความช่วยเหลือของซูเฉิน แต่พวกเขาก็ยังรับผลกำไรน้อยกว่า 2 ใน 10 ของผลประโยชน์จากการสำรวจครั้งนี้อยู่ดี

ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบในการทำลายแกนกลางของหุบเหว และในฐานะผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังการสำรวจครั้งนี้ การได้กำไรมากลับเพียงเล็กน้อยนั้นดูเป็นเรื่องตลกยิ่ง ในมุมหนึ่งมันจึงดูเหมือนว่าอำนาจของซูเฉินนั้นอ่อนแอมาก

ยุคนี้ไม่ใช่ยุคที่เปิดกว้าง แนวคิดเรื่องผู้ที่มีกำปั้นแกร่งกว่าย่อมได้กินเนื้อมากกว่าจึงยังคงหยั่งรากลึกในจิตใจของผู้คน

หากเจ้าไม่ได้ส่วนแบ่งเนื้อไปกิน นั่นก็หมายความว่ากำปั้นของเจ้าไม่แกร่งพอ ดังนั้นเจ้าก็จะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะโต้แย้งเรื่องนี้

ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงหลีกเลี่ยงคำถามนี้มาโดยตลอด

แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความอึดอัดนี้ได้ตลอดไป ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องเผชิญกับมันอยู่ดี

ในฉากนี้จงเจิ้นจวินคงทำหน้าที่เป็นดั่งตัวร้ายที่คอยตั้งคำถามที่ดูน่าขยะแขยง และเรียกความรู้สึกไม่ชอบหน้าจากคนอื่น แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าคำถามที่เขาถามนั้นถือเป็นเป็นเรื่องจำเป็นจะต้องถามจริง ๆ

ทุกคนต่างหันมองไปทางซูเฉิน

แต่ซูเฉินก็ยังกล่าวตอบโดยปราศจากความตื่นตระหนกใด ๆ “ยังเร็วเกินไปที่จะพูดคุยถึงส่วนแบ่งในยามนี้”

“แล้วเมื่อไหร่ถึงจะดี?” จงเจิ้นจวินถามต่อในทันที

“ย่อมเป็นหลังจากการต่อสู้จบลง” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น

แม้ว่าการเก็บไพ่เด็ดไว้ในมือจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ในเมื่อต้องเก็บซ่อนมันเอาไว้ ก็หมายความว่าไม่อาจเอามันมาใช้ในการเจรจาได้ การลงไพ่ลับนั้นจำเป็นจะต้องให้ถูกจังหวะ

ซูเฉินกำลังวางแผนที่จะสร้างคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในการต่อสู้ครั้งแรกนี้ เพื่อระงับข้อพิพาทเรื่องส่วนแบ่งอย่างสมบูรณ์ !