ภาคที่ 6 บทที่ 19 การต่อสู้ครั้งแรก (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 19 การต่อสู้ครั้งแรก (1)

วันรุ่งขึ้น กองเรือก็ได้เข้าสู่เขตน่านน้ำของหุบเหวอย่างเป็นทางการ

พวกเขาเคลื่อนตัวกันช้ามาก แทบจะกล่าวได้ว่าพวกเขาแค่ลอยไปตามคลื่นทีละเล็กทีละน้อย ในขณะที่เตรียมพร้อมที่จะล่าถอยเมื่อใดก็ได้

เมฆดำปกคลุมทั่วผืนฟ้า พร้อมกับแรงกดดันรอบด้านทำให้หายใจลำบาก

ลมทะเลโหยหวน พัดพาทะเลให้บ้าคลั่งอย่างรุนแรง

หลังจากเข้าสู่หุบเหว จำนวนอสูรทะเลในน่านน้ำก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกมันเริ่มขยับเข้าใกล้กองเรือมากขึ้น และเข้ามาโจมตียั่วยุพวกเขาบ้างเป็นครั้งคราว

อย่างไรก็ตาม กองเรือไม่ได้พยายามโต้กลับ แต่เลือกที่จะสนับสนุนการป้องกันของพวกเขาและพยายามปกป้องตนเองอย่างเงียบ ๆ

นั่นทำให้อสูรทะเลที่อยู่ใกล้เคียงเริ่มคลุ้มคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

ตู้ม !

คลื่นยักษ์ซัดขึ้นสูง เมื่อวาฬเพชฌฆาตขนาดมหึมากระแทกหัวของมันเข้ากับเรือลำหนึ่งของกองเรือ และผลักเรือรบให้ถอยหลังไป

“เวรเอ้ย มันเป็นราชันอสูร !” คนเรือสบถสาปแช่ง

เรือทั้งลำเริ่มเปิดใช้งานและเสริมเกราะป้องกันเพื่อต้านทานการโจมตีของสัตว์อสูร ดังนั้นต่อหน้าการโจมตีของอสูรทะเลขนาดมหึมานี้ เรือรบขนาดใหญ่เหล่านี้จึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ขึ้นเลย

หลังจากที่วาฬเพชฌฆาตพยายามเอาหัวเข้าโขกตัวเรืออยู่อีก 2-3 ครั้ง แต่ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับจากพวกเขา มันก็เริ่มเบื่อและมุดกลับลงไปใต้ผิวน้ำ

ทุกคนพากันถอนหายใจโล่งอก

แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าความยากลำบากยิ่งกว่านั้น กำลังเฝ้ารอพวกเขาอยู่ข้างหน้า

หลังจากนั้นไม่นานนัก อสูรทะเลขนาดใหญ่อีกตัวก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา

ขนาดตัวของมันยาวเกือบ 70-80 จั้งเห็นจะได้ ร่างกายมนกลมของมันดูราวกับภูเขาน้ำแข็งลูกย่อม ๆ กำลังค่อย ๆ ลอยขึ้นจากทะเล ทั่วร่างของมันเปล่งแสงสีรุ้งดูประหลาด

มันคือแมงกะพรุน

กล่าวให้ถูกคือราชันกะพรุนทะเล

ราชันกะพรุนทะเลเป็นหนึ่งในอสูรทะเลที่ทรงพลังที่สุดชนิดหนึ่ง พวกมันล้วนถือครองความแข็งแกร่งจนมากพอที่จะถูกพิจารณาว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงมาตั้งแต่แรกเกิด พวกมันจึงสามารถก้าวไปถึงระดับราชันอสูรได้อย่างไม่ยากนักหลังจากเติบโตขึ้น

ดูจากขนาดแล้ว นี่คงจะเป็นราชันกะพรุนทะเลที่โตแล้ว หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง คืออย่างน้อยมันก็ทรงพลังพอ ๆ กับราชันอสูร หากพวกเขาโชคร้ายพอ มันอาจจะมีพลังเทียบเท่าจักรพรรดิอสูรเลยก็เป็นได้ แม้จะยังไม่ถึงขั้นราชันจักรพรรดิอสูรแต่มันก็คงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก

เพียงแค่เพิ่งเดินเรือเข้ามาถึง พวกเขาก็ได้พบกับอสูรทะเลที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวมากมายเกินจะนับ จนเห็นได้ชัดแล้วว่าในบริเวณนี้มีตัวตนที่แข็งแกร่งเฉกเช่นราชันอสูรอยู่มากเท่าใด

ถึงอย่างนั้น ท่ามกลางอสูรทะเลมากมายที่อาศัยอยู่ที่นี่ ราชันกะพรุนทะเลตัวนี้ก็ยังถูกมองว่าเป็นอสูรทะเลชั้นต่ำอยู่

สำหรับอสูรทะเลระดับเจ้าอสูรนั้น พวกมันก็ไม่ต่างอะไรจากทหารเดนตายเลยแม้แต่น้อย

ส่วนเหล่าอสูรที่มีระดับอยู่ต่ำยิ่งกว่า ถือเป็นเพียงอาหารสำหรับพวกมันที่เหลือเท่านั้น

แต่สำหรับกองเรืออันทรงพลังนี้ เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้ประเภทนี้ไม่คู่ควรกับการพิจารณามากเท่าไรนัก

เจียงซีสุ่ยเหลือบมองราชันกะพรุนทะเลและกล่าวว่า “เปิดใช้งานค่ายกลรัศมี !”

เรือรบนับสิบที่อยู่ด้านหน้าของกองเรือหันไปเผชิญหน้ากับราชันกะพรุนทะเล ขณะที่แสงทรงกลมขนาดใหญ่เริ่มก่อตัวขึ้นเหนือลำเรือ ก่อนที่มันจะสาดแสงตรงไปทางราชันกะพรุน

ดูเหมือนว่าราชันกะพรุนจะสัมผัสได้ถึงการโจมตีที่กำลังตรงเข้าหา มันจึงแผดเสียงร้องคำรามและสร้างคลื่นที่รุนแรงขึ้นเพื่อต่อต้าน

แต่ภายใต้รัศมีที่แสงทรงกลมนี้ส่องไปถึง ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว

แสงที่ห่อหุ้มราชันกะพรุนราวกับมือไร้รูปร่างที่โอบอุ้มมันเอาไว้ ไม่ว่าราชันกะพรุนทะเลจะดิ้นรนอย่างสิ้นหวังเพียงใดก็ไร้ผล กะพรุนตัวมหึมาเริ่มถูกบีบอัดอย่างช้า ๆ ภายใต้แรงกด และในที่สุดมันก็ถูกบีบรัดจนขยับไม่ได้อีกต่อไป

และแล้วราชันอสูรก็ถูกจัดการอย่างง่ายดาย

แต่ถึงกระนั้น นี่ก็เป็นเพียงความแข็งแกร่งของการต่อสู้แบบกลุ่ม

หลังจากใช้เวลาในทะเลมาหลายปี กองเรือสยบทะเลที่มีประสบการณ์การต่อสู้อันยาวนาน ย่อมไม่มีปัญหากับการจัดการราชันอสูรแค่ตัวเดียว เหมือนทหารผ่านศึกที่สามารถจัดการทหารใหม่ลงได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเปลืองแรงมากนัก

ราชันกะพรุนทะเลที่ถูกกักขังจมลงก้นทะเลไปอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่พลังงานจากแสงทรงกลมนี้จะสลายไป มันก็ทำได้เพียงรออยู่เงียบ ๆ ที่ใต้ก้นทะเลเท่านั้น

กองเรือยังคงเคลื่อนต่อไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ จนได้พบกับกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ที่มองเห็นได้ราง ๆ จากที่ไม่ไกลนักห่างไปทางด้านหน้าของพวกเขา

นั่นคือหุบเหวแห่งท้องสมุทร

ราวกับปากมหึมาของสัตว์ประหลาดที่กลืนกินทุกสรรพสิ่งโดยไม่ยอมให้อะไรเล็ดลอดไปได้

หากซูเฉินต้องการศึกษาท้องสมุทรโศกา การเข้าไปในดินแดนต้องห้ามนี้นับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

แต่จะเข้าเมื่อไหร่และจะเข้าอย่างไรนั้น ถือว่ายังคงเป็นคำถามที่ต้องพิจารณา

ก่อนหน้านั้นเขาต้องเตรียมการบางอย่างเสียก่อน

ดังที่จงเจิ้นจวินกล่าวไว้ การจับสัตว์อสูรและค้นคว้ามันเป็นงานที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำก่อน

หากไม่มีวิธีหลอกล่อให้ราชันจักรพรรดิอสูรออกมาเองได้ ทางเลือกเดียวที่เหลือก็คือบังคับให้พวกมันออกมาด้วยการเร่งการเติบโตของพวกมันให้เร็วขึ้น

นั่นหมายความว่าพวกเขาจำเป็นต้องเฝ้ารอโอกาสที่เหมาะสม

กองเรือหยุดลงหลังจากเข้าสู่เขตหุบเหวแห่งท้องสมุทรมาได้ไม่ไกลนัก พวกเขายังคงอยู่ที่ริมขอบน่านน้ำของหุบเหว และสามารถหลบหนีได้ทุกเมื่อหากมีราชันจักรพรรดิอายุน้อยกว่าพยายามไล่ตามพวกเขา

ในความเป็นจริงแล้ว ราชันจักรพรรดิอสูรทะเลส่วนใหญ่นั้นแทบจะไม่ได้ออกจากหุบเหวมาเลย แล้วจะนับประสาอะไรกับพื้นที่บริเวณรอบนอกของหุบเหวเช่นนี้กัน ?

โชคดีที่เป้าหมายของซูเฉินเองก็ไม่ใช่พวกมันเช่นกัน

เป้าหมายของเขาคือจักรพรรดิอสูร

โดยเฉพาะจักรพรรดิอสูรที่ทรงพลังที่กำลังจะกลายเป็นราชันจักรพรรดิ

การหาเป้าหมายแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย วิธีที่ดีที่สุดจึงเป็นการรอคอย

เพียงแค่ว่าซูเฉินไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะต้องรออยู่เป็นเวลาถึง 3 วัน

ในช่วง 3 วันนี้ อสูรทะเลได้ปรากฏตัวขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกับกองเรือของพวกเขาอยู่บ้างเป็นครั้งคราว และจะเป็นอสูรทะเลแข็งแกร่งเสียส่วนใหญ่ พวกมันมักจะแหวกว่ายไปมาอย่างสงสัย ก่อนจะใช้วิธีการต่าง ๆ ในการทดสอบกองเรือ ซึ่งโดยมากนั้นจะเกิดขึ้นเพราะความอยากรู้อยากเห็นล้วน ๆ มีเพียงสัตว์อสูรบางตัวเท่านั้นที่ใช้สติปัญญาของพวกมันในการโจมตี แต่ไม่ว่าพวกมันจะทำอะไร ทั้งหมดก็ล้วนแต่ถูกขับไล่ไปโดยกองเรือ

ระยะเวลา 3 วันนั้นไม่ได้ยาวนานหรือสั้นเป็นพิเศษแต่อย่างใด ทว่าเพราะกองเรือต้องอยู่ภายใต้การคุกคามของการโจมตีจากอสูรทะเลตลอดเวลา ทำให้ลูกเรือทั้งหมดเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย ๆ

แม้ว่านี่จะไม่ใช่คลื่นอสูร แต่การที่ต้องเผชิญกับสัตว์อสูรอย่างต่อเนื่องก็ยังคงสร้างแรงกดดันมหาศาลให้พวกเขา ทำให้เริ่มเกิดความแตกแยกขึ้นในหมู่กองเรือเดินสมุทร

หนึ่งเรียกร้องให้ถอนตัวออกกลับทันที และพักสักเดี๋ยวก่อนจึงค่อยกลับมาใหม่ จงเจิ้นจวินเป็นผู้นำของแนวคิดนี้

ส่วนอีกหนึ่งกลุ่มต้องการรั้งอยู่ในเขตของหุบเหวและค้นหาเป้าหมายที่เหมาะสมต่อไป เฟิงหันเว่ยซีหมิ่นเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดอีกแบบนี้

กองกำลังทั้ง 2 ที่เดิมมีทัศนคติต่อท้องสมุทรโศกาแบบเดียวกัน กำลังเริ่มเดินสู่ 2 ทางแยกที่แตกต่างกันสุดขั้ว โชคยังดีที่ปัญหานี้อยู่ได้ไม่นานนัก

จักรพรรดิอสูรปรากฏตัวแล้ว

ตู้ม !

คลื่นลูกใหญ่ได้พวยพุ่งขึ้นเหนือผิวทะเล ขณะที่ร่างของสัตว์อสูรตนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำตามา

น้ำกระเซ็นไปทั่วทุกที่ อสูรทะเลที่เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ บนพื้นทะเลปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของทุกคน

สัตว์อสูรตัวนี้ดูเหมือนเต่าทะเลขนาดใหญ่ ผิวหนังของมันถูกปกคลุมไปด้วยหย่อมรูปสามเหลี่ยมต่างระดับ บนหลังของมันเป็นเปลือกที่เหมือนกระดองเหล็ก ส่วนที่ด้านหลังก็มีหางขนาดใหญ่ที่ดูยาวเหมือนกับโซ่ตวัดไปมาอยู่ ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่อสูรตัวนี้จากเต่าก็คือกระดองที่ไม่สมบูรณ์นั้น แทนที่มันจะเชื่อมติดกันแบบต่อเนื่อง มันกลับถูกสร้างขึ้นจากเหล็กชิ้นใหญ่ 13 ชิ้น

นี่คือมังกรเปลือกเหล็กหรือที่เรียกว่าเต่าเปลือกเหล็ก มันเหมือนเต่าแต่ไม่ใช่เต่า ในแง่ของสายเลือดของมัน นับว่าใกล้ชิดกับมังกรมากกว่า

สำหรับจักรพรรดิอสูรแล้ว ขนาดของมังกรเปลือกเหล็กไม่โดดเด่นมากนัก มันมีขนาดเพียงแค่ 3-4 จั้งเท่านั้น ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดที่ใหญ่โตของอสูรทะเลส่วนใหญ่

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันแข็งแกร่งมากเพียงใด มังกรเปลือกเหล็กนั้นทรงพลังมาก ยิ่งพวกมันมีขนาดเล็กเท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น การเติบโตของพวกมันสวนทางกับรูปแบบการเติบโตทั่วไปของสัตว์อสูรส่วนใหญ่อย่างสิ้นเชิง

ในช่วงวัยของการเจริญเติบโตพวกมันจะค่อย ๆ มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่หลังจากโตเต็มที่แล้ว พวกมันจะเริ่มมีขนาดหดเล็กลง ขณะที่ความแข็งแกร่งของพวกมันจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

ขนาดของมังกรเปลือกเหล็กตัวตรงหน้านี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับจักรพรรดิอสูร และคงอยู่ไม่ไกลจากระดับจักรพรรดิอสูรแล้ว

ข้างหน้าพวกเขามีเพียงอสูรทะเลที่มีขนาดตัวเท่ากับจุดเล็ก ๆ บนผิวทะเลกว้างตัวหนึ่ง แต่ความกดดันที่สมาชิกของกองเรือสามารถสัมผัสได้กลับน่าสะพรึงอย่างอธิบายไม่ได้

“ในที่สุดก็ปรากฏตัว” ซูเฉินยิ้ม

“โฮก !” มังกรเปลือกเหล็กส่งเสียงคำรามมาหาพวกเขา คลื่นเสียงคำรามลูกแล้วลูกเล่าควบแน่นรวมตัวกัน พุ่งฝ่าอากาศตรงไปยังกองเรือ

มังกรเปลือกเหล็กไม่ได้ขึ้นชื่อในเรื่องการจู่โจมด้วยเสียงกรีดร้อง แต่พลังที่แฝงอยู่ในเสียงคำรามนี้ก็ยังคงทรงพลังอย่างยิ่ง ทำให้เหล่าทหารอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านตามสัญชาตญาณ

มันคู่ควรกับนามของจักรพรรดิอสูรจนไม่น่าแปลกใจ

“ช่างน่าเสียดาย ที่มันยังเป็นตัวงี่เง่าไร้สติปัญญา” ซูเฉินกล่าวอย่างแผ่วเบา

ส่วนใหญ่แล้วสัตว์อสูรมักจะพัฒนาสติปัญญาได้โดยบังเอิญเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์อสูรทุกชนิดที่จะมีสติปัญญาเพิ่มขึ้นมาพร้อมกับความแข็งแกร่งของพวกมัน แต่โดยทั่วไปที่ว่ายิ่งอสูรแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งฉลาดมากขึ้นเท่านั้น ก็ยังนับเป็นความจริงอยู่บ้าง

แต่สำหรับอสูรทะเลแล้ว กฎข้อนี้มีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นจริง ความแข็งแกร่งของพวกมันเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่สติปัญญาของพวกมันกลับต้องใช้เวลาในการเติบโต ดังนั้นพวกมันจึงโง่กว่าสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่บนบกมาก

เพราะผลกระทบจากท้องสมุทรโศกาช่องว่างนี้ยิ่งเด่นชัดยิ่งขึ้น

เพื่อที่จะควบคุมอสูรทะเล เคอหนีเก๋อจึงได้ทำให้สติปัญญาของอสูรทะเลอ่อนแอลงพร้อมกับเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกมัน ปล่อยให้พวกมันทำหน้าที่ตามสัญชาตญาณที่ถูกกำหนดโดยท้องสมุทรโศกา

ด้วยเหตุนี้ อสูรทะเลทั้งหมดที่เติบโตขึ้นด้วยอิทธิพลของท้องสมุทรโศกาจึงไร้ซึ่งสติปัญญาอย่างแน่นอน ในขณะที่อสูรทะเลที่เติบโตตามธรรมชาติในสถานที่อื่น ๆ มีแนวโน้มสูงที่จะได้รับสติปัญญาที่ว่ามามากกว่า

มังกรเปลือกเหล็กนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ในเมื่อเติบโตขึ้นมาในหุบเหว มันก็ไม่มีทางที่จะหนีจากอิทธิพลของท้องสมุทรโศกาพ้น แม้ว่ามันจะทรงพลังมาก แต่จิตสำนึกของมันก็ไม่มีอะไรนอกจากความวุ่นวายและความบ้าคลั่ง และมีเพียงความกระหายเลือดกับความดุร้ายเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่ในดวงตา

นี่คือเหตุผลที่มันไม่สนใจพลังของคู่ต่อสู้เลยแม้แต่น้อย หัวใจของมันเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะสู้ !

เสียงคำรามนั้นคือการประกาศสงคราม

สมาชิกของกองเรือเริ่มพร้อมสำหรับการทำสงคราม

นี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรกที่กองเรือจะได้สัมผัสตั้งแต่มาถึงหุบเหว พวกเขาจึงจำเป็นต้องทำให้ดี ดังนั้นทหารทุกคนจึงหนักแน่นและมีแรงใจสูงขึ้น

เสียงแตรหอยสังข์ดังก้องในอากาศ ชาวสมุทรเริ่มรวมตัวกัน พวกเขาว่ายไปมาใต้ผิวน้ำโดยอาศัยความสามารถแต่กำเนิดเพื่อสร้างค่ายกลขึ้นที่ด้านใต้ เหนือผิวน้ำทุกอย่างอาจดูเหมือนเงียบสงบ แต่ความจริงแล้วพวกเขากำลังเตรียมที่จะปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่

กลุ่มสยบทะเลกับกลุ่มธารามืดแยกออกเป็น 2 ทางเพื่อขนาบข้างมังกรเปลือกเหล็ก

จงเจิ้นจวินเหลือบมองซูเฉินและหัวเราะเบา ๆ “เราจะปล่อยให้นิกายไร้ขอบเขตรับมือทางด้านหน้า ในขณะที่อีก 2 กองกำลังจะบีบขนาบจากด้านข้าง ท่านคิดว่าอย่างไร ท่านซู ?”

ปล่อยให้นิกายไร้ขอบเขตรับมือทางด้านหน้า แล้วโจมตีปีกทั้ง 2 ข้างให้ นี่นับเป็นการดูถูกนิกายไร้ขอบเขตมิใช่หรือ ?

คนเฒ่าคนแก่นี่ช่างรู้วิธีกวนใจคนอื่นดีจริง ๆ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำของเพลิงทมิฬ แต่ดูเหมือนว่าเขาก็ยังเป็นคนที่สนุกกับการดูถูกเหยียดหยามคนอื่นอยู่ดี

ซูเฉินไม่ได้โกรธ กลับกันเขาพูดตอบไปอย่างใจเย็น “ไม่จำเป็น มันก็แค่จักรพรรดิอสูรเท่านั้น พวกท่านนั่งรออยู่เฉย ๆ ก็พอ”

นั่งรออยู่เฉย ๆ?

ดวงตาทุกคนต่างหรี่ตาลงอย่างพร้อมเพรียง

แม้ว่าในสายตาของพวกเขาจักรพรรดิอสูรจะไม่ได้มีค่าควรแก่การพิจารณามากนัก และการจัดการกับมันย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปได้อยู่แล้ว แต่ด้วยความแข็งแกร่งของนิกายไร้ขอบเขตกลุ่มเดียวมันก็ดูไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดขนาดนั้น

ท้ายที่สุดแล้ว นิกายไร้ขอบเขตก็มีผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินอยู่เพียงแค่คนเดียว

ความแตกต่างในความแข็งแกร่งระหว่างระดับของการฝึกฝนในช่วงหลังนั้นจะเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันขั้นปลายสุดสามารถเทียบเท่าได้กับผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน 10 คน และเช่นเดียวกันกับที่ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินสามารถเทียบเท่าได้กับผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ 10 คน

ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงเชื่อว่านิกายไร้ขอบเขตอาจต้องระดมกำลังทั้งหมด เพียงเพื่อต่อต้านการโจมตีของมังกรเปลือกเหล็ก

แล้วภายใต้สถานการณ์นี้ เหตุใดซูเฉินจึงได้พูดโอ้อวดเสียใหญ่โตแบบนี้ขึ้นกัน ?

ครู่ต่อมาซูเฉินกล่าวขึ้น “เราจะบุกเข้าทางด้านหน้า”

หลังชายหนุ่มพูดจบ ภาพที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา

คลื่นผู้เชี่ยวชาญหลั่งไหลออกจากโถงหลักและเรือมังกรพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า !!