ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 54 ถนนโลหิต (1)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ข้าไม่มีคำแนะนำแต่มีคำอธิบาย”

โจวทงหอบหายใจก่อนจะกล่าวต่อ “คำอธิบายของข้าไม่มีความหมายต่อผู้อื่น เต่ข้าคิดว่าเจ้าต่างออกไป ถึงอย่างไรพวกเราก็อยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สิ่งที่เรียกว่าการทรยศของข้านั้นเป็นเพราะความกลัวและป้องกันตัว เจ้าเองก็ทำหลายสิ่งด้วยเหตุผลเดียวกัน”

นี่หมายถึงการที่ม่ออวี่ปกปิดจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่และทำตามความประสงค์ของสังฆราชลอบจัดการให้เฉินฉางเซิงได้เข้าสู่สำนักฝึกหลวง

ม่ออวี่ส่ายหน้าแย้ง “ความกลัวและการป้องกันตัวเองนั้น เกิดขึ้นจากโลกภายหลังเหนียงเหนียง หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหนียงเหนียง”

“ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ในสายตาข้า เมื่อเหนียงเหนียงไม่เคยสนใจต่อชะตากรรมของเราเลย เหตุใดเราต้องใช้ชีวิตเพื่อนางด้วย ในคืนนั้นเฉินฉางเซิงมาที่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งเพื่อฆ่าข้าและข้าก็เกือบตาย แล้วเหนียงเหนียงทำอะไร”

โจวทงเย้ย “นางแค่ไม่สนว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า นางสนใจแต่ลูกชายนางเท่านั้น น่าเสียดายที่นางตาบอดถึงกับเข้าใจผิดว่าคนอื่นเป็นลูกตัวเอง”

ตอนที่เขากล่าวเย้ย เหงือกสีม่วงดำตัดกับริมใบหน้าซีดขาวกลายเป็นภาพที่น่ากลัว

ม่ออวี่กล่าวด้วยความภูมิใจอยู่บ้าง “เหนียงเหนียงห่วงใยข้า นางให้ข้ากับโหยวหรงไปจากจิงตูล่วงหน้า”

โจวทงเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็กล่าวขึ้น “เจ้าคงไม่คิดว่าเมื่อเจ้าวางยาพิษข้าแล้วเจ้าจะฆ่าข้าได้อย่างง่ายดายหรอกนะ”

ม่ออวี่ไม่อธิบายแต่ประกาศว่า “ข้าจะฆ่าเจ้า”

“ความยากลำบากที่สุดของเจ้าก็คือเจ้ายังเยาว์เกินไป”

โจวทงอธิบาย “เป็นผู้เยาว์หมายถึงเจ้ายังไม่ได้สะสมประสบการณ์หลายปีพอ ไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์เพียงใด ก็ไม่อาจนำการบำเพ็ญเพียรไปจนสูงมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังขาดความอดทน เจ้าควรปรากฏตัวช้ากว่านี้อีกหน่อย ปล่อยให้พิษซึมเข้าสู่ร่างข้าลึกกว่านี้ นอกจากนี้เจ้าไม่ควรเลือกที่แห่งนี้ นี่คือบ้านของข้าและการฆ่าใครสักคนในบ้านของคนผู้นั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง”

สำหรับคนส่วนใหญ่ บ้านของพวกเขาก็คือที่ซึ่งพวกเขาคุ้นเคยที่สุด ป้อมปราการสุดท้าย บ้านเกิดที่แท้จริง

โจวทงได้วางสมบัติทั้งหมดและสิ่งมีค่าที่สุดไว้ในลานบ้านเล็กๆ แห่งนี้ ดังนั้นเขาย่อมมีการเตรียมการเอาไว้อย่างเหมาะสม ติดตั้งกลไกและค่ายกลนานับชนิดเอาไว้

ตอนที่เขาพูด เสียงกลไกเริ่มทำงานก็ดังมาจากด้านนอกหน้าต่าง แสงแดดที่ส่องลอดช่องว่างเข้ามาดูเหมือนจะอ่อนแสงลงไปเมื่อพลังงานจากค่ายกลอันแข็งแกร่งหลายสายพุ่งขึ้นจากพื้นดิน

ยาล้ำค่าสองเม็ดนั้นได้สลายคลายตัวยาออกมาในท้องของเขา ฤทธิ์ยาไหลเวียนไปทั่วร่างตามเส้นลมปราณ และขัดวางความเสียหายที่เกิดจากยาพิษเป็นการชั่วคราว ทำให้เขาฟื้นคืนความแข็งแกร่งกลับมาได้บางส่วน

ดวงตะวันบนท้องฟ้านำมาซึ่งความอบอุ่นจอมปลอม ลมแผ่วเบาก็เย็นเยียบอยู่บ้าง ร่วมกับค่ายกลเหล่านี้กลิ่นคาวเลือดอบอวลไปทั่วลานบ้าน

เขาใช้วิชาสนอบโรหิตโดยไม่ลังเล หากมีคนใช้ดวงจิตดูภาพนี้ จะพบว่าลานบ้านนั้นอยู่ใต้ทะเลโลหิตไปแล้ว

สนอบโรหิตเป็นวิชาที่ทรงพลังที่สุดของเขาซึ่งสิ้นเปลืองปราณแท้และดวงจิตอย่างมาก ตอนนี้เขามีพิษร้ายแรงสองตัววิ่งไปทั่วร่าง เขาย่อมไม่อาจใช้วิชานี้ได้นานนัก อย่างไรก็ตาม ม่ออวี่ก็ไม่อาจต้านทานทะเลโลหิตได้เช่นกัน หากนางไม่ต้องการที่จะตายไปพร้อมกับโจวทง นางต้องถอยไปชั่วขณะหนึ่ง

เขาแค่ต้องฉวยโอกาสจากการที่นางถอยไปชั่วคราวเพื่อหนีไปจากลานบ้านแห่งนี้ ตราบใดที่เขาไปถึงถนน เขาก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้

นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่โจวทงคิดได้เมื่อเงาแห่งความตายทอดตัวมา

ลานบ้านเล็กๆ ดูธรรมดาอย่างมาก ทว่าบนถนนเดียวกัน เป็นบ้านของผู้ยิ่งใหญ่ที่โดดเด่นมากมาย นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาเลือกที่แห่งนี้ตั้งแต่แรก

สิ่งที่เกิดตามมานั้นเกินกว่าการคาดหมายของโจวทง หากพูดให้เจาะจง มันเกินกว่าความเข้าใจและความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับม่ออวี่

ม่ออวี่ไม่ได้ถอยไป นางยืนอยู่ติดประตู ปล่อยให้ทะเลโลหิตที่มองไม่เห็นอาบชุดชาววังของนางจนดูน่ากลัว

นางสงบและมีสมาธิอย่างมาก ความอ่อนเพลียบนใบหน้าถูกแทนที่ด้วยความนิ่งงัน

แสงดาวส่องประกายอยู่ในเสื้อของนาง แทรกผ่านสีแดงเลือดเป็นภาพอันงดงาม

กระบี่เรียวดูเปราะบางแต่บรรจุไว้ด้วยความทุกข์ยากแห่งกาลเวลา ทะลวงผ่านทะเลโลหิตก่อเกิดเป็นสายธารของแสงดาว

กระบี่บางแทงทะลุท้องของโจวทงพร้อมเสียงฉึกเบาๆ คมที่ยื่นออกมาจากเอวของเขาถูกย้อมไปด้วยเลือดสีดำ

โจวทงไม่ได้ส่งเสียงร้องโหยหวน เพียงแค่มองไปที่นางเท่านั้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง

กระบี่ของม่ออวี่แทงทะลุร่างของเขา

ทะเลเลือดได้กลืนดวงจิตของม่ออวี่เช่นกัน

อย่าว่าแต่เรื่องที่ม่ออวี่เพิ่งอยู่ขั้นกลางของขั้นรวบรวมดวงดาว ต่อให้นางพลันทะลวงผ่านสู่ขั้นสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาว นางก็ยังไม่อาจไปจากทะเลโลหิตและลานบ้านนี้ได้

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นางต้องตายอย่างแน่นอน

เพราะเหตุใด… โจวทงเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว นางไม่เคยคิดที่จะรอดชีวิตกลับไป

เขาต้องการใช้คำขู่ว่าจะลากนางไปกับเขาด้วยเพื่อขู่ให้นางถอย ทว่านี่กลับเป็นความตั้งใจของนางตั้งแต่แรกแล้ว

นางกลับมาจิงตูก็คือเดินทางสู่ความตาย นางแค่ต้องการจะลากเขาไปด้วย

ไม่ว่าจะตกลงสู่นรกหรือกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว นางก็ต้องการจะลากเขาไปด้วย ลากเขาไปต่อหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

ใบหน้าโจวทงซีดขาวอย่างที่สุด

เขาไม่ต้องการจะตายพร้อมกับนาง

ลานบ้านนี้ยังอยู่ในการควบคุมของเขา ยังมีกลไกและค่ายกลที่เขายังไม่ได้เปิดใช้ เขายั้งต้องการจะดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม เขาล้มเหลว มิใช่เพราะกระบี่ที่แทงทะลุร่างของเขา แต่เป็นเพราะร่างกายของเขาแข็งทื่อขึ้นมา

มือคู่หนึ่งตกลงบนบ่าของเขา

มือคู่นี้ผอมบางเหี่ยวแห้งราวกับกิ่งไม้ ขาวราวกับว่าไม่ได้เห็นแสงตะวันมาหลายวัน เล็บยาวแหลมคมเต็มไปด้วยดินโคลน

มันเป็นอุ้งเท้าหมาป่าคู่หนึ่ง เล็บที่แหลมคมปักลงไปในกระดูกไหล่ของโจวทง รูที่มันปักลงไปมีเลือดสีดำพุ่งออกมา

โจวทงรู้ว่าอาการบาดเจ็บของเขากำลังแย่ลง กระดูกไหล่ของเขากำลังจะแตก

ร่างกายรู้สึกเย็นเยียบ หวาดกลัว เขาไม่กล้าหันหน้าไปดู

เขาคาดเดาได้ว่าคนที่ปรากฏกายขึ้นด้านหลังเขาอย่างเงียบงันราวกับภูตผีผู้นี้เป็นใคร

เขาเคยเห็นศพของคนที่ถูกคนผู้นี้สังหารในทุ่งหิมะ เขารู้ว่าหากเขาหันหน้าไป คนผู้นี้ย่อมกัดคอของเขาอย่างแน่นอน

ในเขตแดนระหว่างความเป็นและความตาย โจวทงไม่สนใจพิษทั้งสองในร่าง รีดเอาปราณแท้ทุกหยดออกมา

คลื่นยักษ์ลอยขึ้นในทะเลโลหิตที่ปกคลุมห้องนี้

เขาเปลี่ยนเป็นลำแสงสีเลือดที่พุ่งไปยังประตูพร้อมกับเสียงโหยหวน

เสียงเปรี๊ยะดังขึ้น กระบี่บางที่ปักอยู่ในท้องเขาหักเป็นสองท่อนด้วยการโจมตีนี้

คนที่เหมือนภูตผีด้านหลังไม่มีเวลาพอจะหักคอเขา มีแค่เสียงฉีกขาดและเลือดหลายสายที่พุ่งขึ้นสู่อากาศ

กลไกจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเปิดใช้พร้อมกัน ค่ายกลมากมายแสดงพลังครั้งสุดท้าย ระเบิดออกราวกับดอกไม้ไฟ ภูเขาจำลองและกำแพงของลานบ้านถูกกระแทกออก ตามมาด้วยตัวบ้านเอง ฝุ่นฟุ้งอยู่ในอากาศ ไผ่เขียวลุกเป็นไฟ แผ่นหินแตกและแสงแดดก็เหมือนจะแหลกไปเช่นกัน

โจวทงนอนทรุดอยู่ในกองซากไม้ไผ่

เขาผลักหน่อไม้ปลอมในทันที ทำให้กำแพงที่ยังเหลืออยู่พังลง

เขาถูกคลื่นพลังปราณผลักออกจากลานบ้านและตกลงบนพื้นหิมะอย่างหนักหน่วง

ร่างที่อาบไปด้วยเลือดของเขากับหิมะขาวบริสุทธิ์ก่อให้เกิดภาพที่ไม่งดงามนัก ไม่ได้เปี่ยมไปด้วยความเป็นวีรบุรุษ

เลือดเขาเป็นสีดำ ส่งกลิ่นเหม็นตอนที่มันไหลออกมาจากแผลที่ท้องของเขา

หลังของเขาดูน่าอนาถ เสื้อผ้าฉีกขาด เนื้อแหลกเหลว รอยข่วนสิบรอยลึกจนเห็นกระดูก

โจวทงใช้ชีวิตอยู่มาหลายปีและนี่เป็นชั่วโมงที่น่าอนาถที่สุดในชีวิต

ทว่าดวงตาเขาที่เปี่ยมไปด้วยความกลัวและเจ็บปวดก็มองเห็นความหวังขึ้นมาบ้าง ทำให้เขารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง

ในที่สุดเขาก็มาถึงถนนแล้ว

……

……

ฝุ่นฟุ้งอยู่ในอากาศและก้อนหินก็ปลิวไปทั่ว ในเวลาอันสั้น ลานบ้านแห่งนี้ก็กลายเป็นซากปรักหักพัง

ม่ออวี่ไม่ประหลาดใจกับเรื่องนี้ นางรู้ว่าคนอย่างโจวทงย่อมต้องสร้างความวุ่นวายอย่างมากก่อนตาย และที่แห่งนี้ก็เป็นบ้านของเขา สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ มีคนสามารถตามโจวทงผ่านอุโมงค์มาได้ แม้ว่านางจะมีแผนที่อุโมงค์คุกโจวอย่างละเอียด แต่นางก็ไม่เคยคิดที่จะลงไปข้างล่างนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อนางเห็นว่าคนผู้นี้คือเจ๋อซิ่ว ความคาดไม่ถึงก็พอคาดเดาได้ นางรู้ว่าลูกหมาป่านี้เป็นยอดฝีมือในการตามรอยและซ่อนตัว ตามาด้วยการสังหาร

นางกับเจ๋อซิ่วสบตากัน จากนั้นก็เดินออกไปจากลานบ้าน พวกเขาต่างบาดเจ็บแต่ก็ไม่สาหัสนัก

ระดับการบำเพ็ญเพียรของโจวทงสูงกว่าม่ออวี่และเจ๋อซิ่ว ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป แม้ว่าม่ออวี่กับเจ๋อซิ่วจะร่วมมือกันก็ไม่อาจมีโอกาสเลย

ม่ออวี่กับเจ๋อซิ่วเป็นสองคนในโลกที่ต้องการให้โจวทงตายมากที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงมีการเตรียมตัวมาอย่างดี พวกเขาเลือกใช้ยาพิษโดยไม่ต้องพูดจากัน

แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ โจวทงก็ยังรอดชีวิตและหนีไปจากลานบ้านได้

แต่ม่ออวี่กับเจ๋อซิ่วไม่รีบ โจวทงแทบเอาชีวิตไม่รอด ความตายของเขาอยู่อีกไม่ไกลแล้ว

ทว่าตอนที่พวกเขาเดินเข้าไปในถนน โจวทงก็ได้ล่วงหน้าพวกเขาไปช่วงหนึ่งแล้ว

……

……

โจวทงได้กลายเป็นมนุษย์โลหิตไปแล้ว อย่าว่าแต่ใช้วิชาท่าร่างเพื่อมุ่งไปข้างหน้าเลย เขาไม่อาจเดินเร็วด้วยซ้ำ ได้แต่ดิ้นทุรนทรายไปข้างหน้า

เลือดค่อยๆ ตกลงไปบนหิมะ สีดำคล้ำราวกับหมึก

เจ๋อซิ่วหายตัวไป แต่เงาบนถนนก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนรูปไปเล็กน้อย

ม่ออวี่มาถึงด้านหลังเขา ผมนางยุ่งเล็กน้อย ปัดเบาๆ บนใบหน้าขาวซีดของนาง

นางไม่เอ่ยอะไร แต่สายตาจับจ้องไปที่หลังของเขาอย่างเฉยชา

นางกลับมาจิงตูเพื่อที่จะตายร่วมกับโจวทง นางไม่คาดคิดว่าจะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้

นางไม่สนว่าจะมีใครพบว่านางกลับมาจิงตู ไม่สนว่าจะมีใครเห็น

โจวทงรู้ว่านางมาแล้วจึงทุ่มสุดกำลังเพื่อเดินให้เร็วขึ้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้

ถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะเงียบอย่างมาก เสียงเดียวก็คือเสียงหอบหายใจของเขา

ม่ออวี่กำกระบี่หักและฟันออกไป

โจวทงตกลงในหิมะ บาดแผลเกิดขึ้นบนต้นขาซ้าย

เขายังไม่หันกลับไป หอบหายใจดิ้นรนลุกขึ้นและมุ่งหน้าต่อไป

ข้างถนนเป็นจวนที่มีประตูสีชาด ที่ปักอยู่ตรงมุมกำแพงเป็นธงขาวที่ฉีกขาดอยู่บ้าง

ประตูจวนเปิดออกเสียงดังแอ๊ดและคนผู้หนึ่งเดินออกมา

โจวทงรู้ว่าจวนนี้เป็นของใคร ใบหน้าที่เปื้อนเลือดไม่แสดงอารมณ์อันใดตอนที่เขาเดินไปข้างหน้า

ประกายกระบี่อีกสายปรากฏขึ้น แผลอีกรอยปรากฏบนร่างของเขา และเขาล้มลงในหิมะอีกครั้ง

เสียงร้องอย่างตกใจดังขึ้นบนบันไดหิน

โจวทงล้มอยู่ในหิมะ ไออย่างเจ็บปวดเลือดพุ่งไปทุกทิศทาง

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ลากร่างกายขึ้นมาอีกครั้ง เสียงร้องโหยหวนราวกับสัตว์อสูรดังออกมาจากปากเขา

ม่ออวี่อยู่ด้านหลังเขา มือกำกระบี่ กระบี่ที่เปื้อนไปด้วยเลือด

เขาไม่ได้หันกลับไป เพียงมองไปข้างหน้าเท่านั้น หอบหายใจอย่างถี่รัวและเจ็บปวด

ถนนอันปกคลุมไปด้วยหิมะเบื้องหน้าว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่คนเดียวให้เห็น แล้วเขาต้องการจะไปที่ไหนกัน