ตอนเหนือของจิงตูมีถนนยาวที่ชื่อว่าถนนสันติ เป็นถนนที่อยู่ใกล้กับเมืองพระราชวัง เมื่อข้ามสะพานซานเซ่อ จะก้าวเข้าสู่ถนนวิหคเพลิงและไปถึงราชสำนักได้อย่างสะดวกสบาย ถนนนี้เป็นบ้านของขุนนางและชนชั้นสูงมานานนับปีไม่ถ้วน นับตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนเรื่องนี้ได้ สิ่งที่เปลี่ยนก็คือเจ้าของบ้านบนถนนสายนี้เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
ในรัชศกเจิ้งท่ง จวนใหญ่ที่ใกล้เมืองพระราชวังที่สุดและมีทำเลดีที่สุดบนถนนสันติย่อมเป็นของตระกูลเทียนไห่ หลังการยึดอำนาจในสุสานเทียนซู ตระกูลเทียนไห่ยังอยู่ที่เดิม ทว่าจวนหลายจวนทางตะวันออก ลานบ้านมากมายได้เปลี่ยนเจ้านาย ผ่านการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมากมาย นี่เป็นเพราะเซียงอ๋อง จงซานอ๋อง และท่านอ๋องสกุลเฉินอีกสิบกว่าท่านได้เริ่มย้ายเข้ามา
จวนทางตะวันออกสุดของถนนสันติซึ่งอยู่ใกล้กับต้นไหวที่ออกดอกเบ่งบานก็คือจวนเซวีย ด้วยฐานะคนในกองทัพต้าโจวที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไว้วางใจที่สุด เซวียสิ่งชวนย่อมได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้ ตอนนี้ตระกูลเซวียย่อมไม่อาจรักษาจวนนี้เอาไว้ได้ อ๋องหรือขุนพลเทพสักคนอาจได้เป็นเจ้าของคนใหม่ แต่ใครจะรู้ได้
เซวียฮูหยินเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าของจวนคนใหม่เป็นใคร แต่นางรู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจเลี่ยงได้ นางไม่คิดหวังว่าจะได้อยู่ในที่แห่งนี้ต่อและได้เตรียมตัวไว้นานแล้ว คนรับใช้ถูกไล่ออกไปหมดแล้ว หลังงานศพสิ้นสุดลง นางก็ใช้เงินจากสินสอดของนางซื้อบ้านเล็กๆ บนถนนด้านนอกตรอกไป๋ฮวาพอดี
หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว นางก็คิดว่านางคงจะสงบได้ในที่สุด ทว่าเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นจากด้านข้าง นางก็ตระหนักว่าความสงบเป็นการคาดหวังที่เกินจริงไป นางรู้สึกปวดหัวและถามอย่างกระด้าง “เจ้าร้องไห้เพราะเจ็บปวดหรือร้องเพราะเสียใจ”
นางคือสาวตระกูลเซวียที่ถูกไล่ออกจากจวนรองเจ้ากรมเมื่อหลายวันก่อน ขลุกตัวอยู่ในจวนเซวียน้ำตานองหน้าตลอดเวลา วันนี้หลังจากได้ยินข่าว นางก็ส่งเสียงสะอื้นเกินทน พอได้ยินเซวียฮูหยินถาม นางก็ตกใจและเงยหน้าขึ้นอย่างหวาดเกรง เช็ดน้ำตาและถามกลับ “ท่านแม่มีอะไรหรือ”
ดวงตาแดงก่ำ เสียงแหบแห้ง ด้วยเหตุผลบางอย่างใบหน้านางเต็มไปด้วยแผลราวกับมีคนทุบตี
เซวียฮูหยินชี้ไปที่หน้าซึ่งดูยับเยินจนถึงวันนี้และกล่าวอย่างโมโห “หากเจ้าร้องไห้เพราะความเจ็บปวดก็หมายความว่าเจ้ายังไม่ยอมโตและทำตัวไม่เหมือนลูกสาวบิดาเจ้า หากเจ้าร้องไห้เพราะเขาตาย ก็หมายความว่าสมองเจ้ามีปัญหา ร้องไห้ให้กับคนเช่นนั้นมันคุ้มหรือ”
ข่าวเรื่องรองเจ้ากรมเว่ยแห่งกรมพิธีการถูกเฉินฉางเซิงกับหวังผ้อสังหารได้กระจายไปทั่วจิงตู ทุกครั้งที่หญิงสาวนางนี้คิดถึงสามีไร้หัวใจและวิธีการโหดเหี้ยมของเขา นางก็โกรธคลั่งขึ้นมา ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าให้เขาตายอีกแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อนางตระหนักว่าเขาตายไปจริงๆ นางก็คิดถึงอดีตที่ผ่านมาและไม่อาจหักห้ามความเศร้าในใจ พบว่าชะตาของนางช่างน่าเศร้านัก
หลังจากได้ยินคำของมารดา คุณหนูตระกูลเซวียก็พบว่าตนเองช่างไม่เอาไหน แต่…ทำไมเจ้าสำนักเฉินต้องฆ่าเขาด้วย ทำไมเขาไม่ทุบตีสามีนางสักเล็กน้อยแล้วลากตัวเขามาจวนเซวียเพื่อขออภัย ให้สาบานว่าจะดูแลนางให้ดีเหมือนที่เคยทำก่อนหน้านี้…
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นทำลายความคิดฟุ้งซ่านของนาง
เสียงร้องนี้มาจากลานบ้านข้างจวนเซวีย
ตามมาด้วยเสียงดังโครมครามนับครั้งไม่ถ้วน แม้แต่เสียงฟ้าร้องก็ยังมีให้ได้ยินอย่างเลือนราง หลังจากทั้งหมดนี้ ลานบ้านก็ถล่มลงและฝุ่นก็พวยพุ่งขึ้นในอากาศ
คุณหนูตระกูลเซวียตกใจกลัวหน้าขาวซีด ไม่มีความเศร้าและน้ำตาอีกต่อไป
เซวียฮูหยินมองไปที่ฝุ่นที่ลอยขึ้นจากลานบ้านข้างเคียง ความสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้า
การถล่มของบ้านเรือนข้างเคียงไม่ส่งผลกระทบกับจวนเซวีย กระนั้นนางก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับจวนเซวียอยู่บ้าง
หลายปีก่อนตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มอบจวนบนถนนสันติแห่งนี้ให้กับเซวียสิ่งชวน บ้านเรือนรอบข้างก็ได้รับการปรับปรุงใหม่เช่นกัน
ประตูบ้านนี้เปิดไปทางใต้สู่ต้นไหวที่คนทั่วไปไม่รู้ว่ามีอยู่ ใครที่เดินผ่านถนนสันติจะคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของจวนเซวีย
เจ้าของบ้านนี้ลึกลับมาก ไม่เคยติดต่อกับใครทั้งนั้น จนถึงวันนี้เซวียฮูหยินก็ไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านเป็นใคร ไม่รู้เลยสักนิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวของนาง เป็นเพราะนางได้ยินเซวียสิ่งชวนออกคำสั่งสองครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งสองครั้งเป็นคำเตือนอย่างจริงจัง
นางถึงกับเคยคิดว่าเพื่อนบ้างลึกลับของนางเป็นรัชทายาทเจาหมิงที่เขาลือกัน แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้พิสูจน์แล้วว่าความคิดนี้ผิด
บ้านเรือนที่ถล่มได้ก่อให้เกิดฝุ่นทุกประเภท เศษไผ่ลอยผ่านรั้วไม่ไผ่มา ตกลงในสวนของจวนเซวีย
เซวียฮูหยินโอบกอดบุตรีที่หวาดกลัวพลางกระซิบปลอบโยน
บ้านใกล้เรือนเคียงยังคงถล่มลง ส่งเสียงโครมครามอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนจะมีคนกระเด็นออกจากบ้านหลังนั้นและตกลงบนถนน เซวียฮูหยินไม่รู้ว่าทำไมบ้านข้างเคียงถึงได้ถล่มลง แต่ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น นางคิดว่าต่อให้คนผู้นั้นหนีได้ก็ต้องบาดเจ็บจากการตกครั้งนี้ นางสั่งให้พ่อบ้านเปิดประตูออกดูว่าคนผู้นั้นต้องการความช่วยเหลือหรือไม่
เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว จึงมืดสลัวอยู่บ้าง แต่ด้วยหิมะนั้นขาวสว่าง จึงเห็นคนที่อาบเลือดผู้นั้นได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าเลือดของคนผู้นั้นจะเป็นสีดำก็ตาม
ในตอนที่พ่อบ้าเปิดประตูออก สิ่งแรกที่เซวียฮูหยินกับลูกสาวเห็นเป็นภาพที่น่าสยองนี้
คุณหนูร้องออกมาอย่างตกใจและกล่าว “รีบช่วยเขาเร็ว!”
พูดจบ นางก็เห็นภาพที่ประหลาดมาก
สาวงามในชุดชาววังปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันด้านหลังชายที่อาบไปด้วยเลือด
สาวชาววังนี้ก็เลือดไหลเช่นกัน เสื้อผ้าเลอะฝุ่นบดบังใบหน้านาง แต่ก็ไม่อาจปิดบังความงามของนางได้
นางเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ ในขณะที่คุณหนูตระกูลเซวียกำลังตะลึง สาวชาววังก็ยกกระบี่ขึ้นแล้วแทงลงใส่ชายที่นอนอาบเลือด
เลือดพุ่งลงบนหิมะ ปริมาณไม่มากนัก ไม่พอที่จะทำให้คนตายคาที่ แต่ไม่น้อยจนถึงกับมองไม่เห็น
“ฆาตกร!” คุณหนูร้องออกมาอย่างตกใจ จากนั้นเสียงของนางก็หยุดลงอย่างฉับพลัน
เซวียฮูหยินปิดปากลูกสาวนางเอาไว้ มือนางสั่นแต่ก็แข็งแรง ไม่ปล่อยให้ลูกสาวนางส่งเสียงได้
นางบอกได้อยางชัดเจนว่าสาวชาววังคือม่ออวี่และคนที่อาบเลือดนั้นก็คือ…โจวทง
กลายเป็นว่าเพื่อนบ้านของนางก็คือโจวทง
นางเข้าใจในที่สุด และเมื่อนางคิดถึงการที่เซวียสิ่งชวนปิดบังเรื่องนี้กับนาง นางก็ยิ่งโกรธมากกว่าเดิม ร่างกายสั่นรุนแรงขึ้น
“นั่นโจวทง” เสียงเซวียฮูหยินเย็นชาไม่แยแสอยู่บ้าง
ร่างคุณหนูแข็งทื่อเมื่อนางจ้องไปที่ร่างอาบเลือดตรงหน้า มือนางค่อยๆ กำลงช้าๆ
โจวทงเป็นเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บจนเกือบตาย ส่งเสียงร้องประหลาดตอนที่คลานอย่างเจ็บปวดขึ้นจากหิมะและเดินไปอีกสองสามก้าว
เขารู้ว่าที่แห่งนี้เป็นจวนเซวีย รู้ว่าแม่ลูกบนบันไดเป็นพี่สะใภ้กับหลานสาว ดังนั้นเขาจึงไม่หันหน้าไปมองพวกเขา
เขาไม่ร้องขอพวกนั้น เพราะนั่นเท่ากับรนหาความอัปยศให้ตัวเอง เขาไม่หวังว่าจะมีใครมาเห็นเขาทำตัวเป็นสุนัขจรจัด
เขาต้องไปโดยเร็วที่สุด แต่ตอนนั้นเองที่เสียงโหยหวนของกระบี่ดังมาจากต้นขาด้านซ้าย
เนื้อของเขาถูกตัดในแนวขวาง เลือดไหลช้าๆ ราวกับโจ๊กที่ล้นออกจากหม้อ เขาล้มลงอย่างหนักและส่งหิมะปลิวขึ้น
ครั้นเห็นภาพนี้ คุณหนูตระกูลเซวียก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้นอกจากความกลัว ยังมีความพอใจอย่างมากอีกด้วย