ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 56 ถนนโลหิต (3)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

สัตว์ที่บาดเจ็บใกล้ตายจะส่งเสียงครางทุ้มต่ำประหลาด เพราะพวกมันต้องการจะเก็บเสียงไว้ในลำคอให้นานที่สุด ไม่ต้องการให้คนอื่นได้ยินความอ่อนแอของตน อย่างไรก็ตามหลังจากถูกตัดต้นขาและล้มลงตรงหน้าประตูจวนเซวีย โจวทงก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป ปลดปล่อยเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

เสียงร้องโหยหวนนี้กลบเสียงร้องตกใจของของคุณหนูตระกูลเซวีย แต่มันก็ยังชัดเจนในหูของทุกคนที่อยู่ตรงนี้

คุณหนูรู้สึกร่าเริ่งขึ้นและพ่อบ้านตระกูลเซวียตื่นเต้นจนตัวสั่น

แต่เซวียฮูหยินที่โดยเหตุผลแล้วน่าจะมีปฏิกิริยามากที่สุดกลับยังคงสงบนิ่ง มองดูร่างที่ล้มลงของโจวทงในหิมะอยู่เงียบๆ

หน้าจวนเซวียเงียบมาก เสียงเดียวที่มีคือเสียงหอบหายใจของโจวทง

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง โจวทงก็ลากตัวเองขึ้นจากหิมะและโงนเงนไปตามถนน ทิ้งรอยคราบเลือดเอาไว้

ม่ออวี่เดินตรงหน้าบันไดหิน หันไปพยักหน้าให้กับเซวียฮูหยินเป็นการทักทาย

ในหลายปีที่ผ่านมานางกับเซวียสิ่งชวนเป็นคนสำคัญที่สุดสองคนในราชสำนักของเทียนไห่ ทั้งสองย่อมต้องเคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน

เซวียฮูหยินคำนับให้กับนางอย่างจริงใจและกล่าว “ขอบคุณ”

ม่ออวี่ไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าก่อนที่จะตามโจวทงต่อไป

เซวียฮูหยินมองไปทีท้องฟ้าสีแดงอบอุ่นแต่ก็หม่นมัวคิดถึงวันนั้น นางขอบคุณเฉินฉางเซิงอยู่เงียบๆ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

เมื่อสิ้นสุดการปกครองของเทียนไห่ สามีนางก็เปลี่ยนจากขุนนางผู้ภักดีแห่งต้าโจวเป็นคนทรยศ ในขณะที่โจวทงที่เป็นคนทรยศที่แท้จริงกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของราชวงศ์ต้าโจว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันไม่ยุติธรรม ทว่าในโลกนี้ที่ไม่มีใครกล้ามาเคารพศพคนทรยศแล้วใครจะกล้าเรียกร้องความยุติธรรมให้

ในวันนั้นที่สำนักฝึกหลวง นางเคยบอกว่านางเกลียดที่โจวทงไม่ตาย นางเกลียดความจริงข้อนี้มาก เกลียดจนรู้สึกสิ้นหวัง เกลียดเข้ากระดูกดำ

ในครั้งนั้นเฉินฉางเซิงไม่ได้พูดอะไรหรือทำอะไรเพื่อให้นางสบายใจขึ้น เพียงแค่มองนางอยู่เงียบๆ

ตอนที่ส่งนางออกจากสำนักฝึกหลวง เขาก็บอกนางว่าอย่าออกจากจิงตู

นั่นคือคำสัญญา

เขาจะฆ่าโจวทงและให้นางได้รับรู้

ดังนั้นเซวียฮูหยินจึงไม่กลับไปยังบ้านเกิดแต่ยังอยู่ในจิงตู

นางต้องการเห็นภาพนั้นกับตาตัวเอง

ตอนนี้นางก็ได้เห็นในที่สุด

นับจากตอนที่เซวียสิ่งชวนถูกวางยาพิษจนตาย ทิ้งศพไว้กลางแจ้งจนถึงงานศพ นางแทบไม่เคยหลั่งน้ำตา

ทว่าตอนนี้ น้ำอุ่นสองสายไหลลงอาบหน้า

นางมองไปที่โจวทงซึ่งพยายามดึงตัวเองขึ้นจากกองหิมะดิ้นรนเอาชีวิตรอดเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ออกคำสั่งกับพ่อบ้าน “ปิดประตู”

คุณหนูรู้สึกตกใจอยู่บ้าง นางดึงแขนมารดาและกล่าวอย่างไม่ยินยอม “ท่านแม่ ข้าต้องการจะดู ข้ายังดูไม่พอ”

ได้เห็นศัตรูที่เย่อหยิ่งและแข็งแกร่งจนแทบจะไร้เทียมทาน เปลี่ยนสภาพเป็นสุนัขจรจัดที่ถูกทุบทีจนฟกช้ำดำเขียว เป็นใครก็ต้องอยากดู เป็นใครก็ดูไม่เคยพอ

“พอแล้ว”

เซวียฮูหยินไม่รู้ว่านางพูดถึงเรื่องนี้ หรือพูดกับบุตรีของนาง แต่นางก็กลับไปภายในจวนอยู่ดี

ประตูปิดลงช้าๆ บังเรื่องราวและความทรงจำภายนอก

……

……

ถนนสันติเต็มไปด้วยหิมะและหิมะก็เต็มไปด้วยเลือด

เลือดไหลออกจากร่างโจวทงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการขับพิษออกไปจำนวนมาก ทำให้เลือดเริ่มมีสีแดงขึ้นมาบ้างแล้ว

บาดแผลปรากฏขึ้นบนร่างของโจวทงมากขึ้น รอยแผลมากมายไขว้ทับกันไปมาบนร่างเขา

บาดแผลพวกนี้เกิดจากฝีมืออันประณีต ถูกตำแหน่งและลึกพอที่จะสร้างความเจ็บปวดสูงสุด แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะจบชีวิตของเขา

ตอนที่นางแทง ม่ออวี่ไม่แสดงอารมณ์อันใดบนใบหน้างดงามของนาง ความไม่แยแสและรอยเลือดบนเสื้อผ้าทำให้นางดูราวกับเทพแห่งความตายจุติลงมา

ประกายกระบี่ส่องสว่างขึ้นเป็นระยะๆ บนถนนอันหม่นมัว

โจวทงตะเกียกตะกายฝ่าหิมะไป เขาไม่อาจที่จะยืนตัวตรงได้อีก และมักจะใช้มือและเท้าเพื่อคลานไปข้างหน้าสักเล็กน้อย เขาดูเหมือนจะล้มลงได้ทุกขณะ ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้อีก ไม่อาจสะกดความเจ็บปวดและความกลัวเอาไว้ได้อีก ทุกประกายกระบี่จะมีเสียงร้องโหยหวนดังตามมา

เป็นการเหยียดหยามและทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นการลงโทษที่โหดเหี้ยมที่ดูเหมือนจะไม่รู้จักจบ

นี่คือการตายใต้แผลนับพัน

หากเป็นคนอื่นแม้แต่คนที่มีจิตใจเข้มแข็งอดทนที่สุด ก็ต้องล้มลงแล้วในตอนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ยอมคุกเข่าแทบเท้าของศัตรูร้องขอความเมตตา ก็ต้องคิดหาวิธีใดก็ตามที่จะฆ่าตัวตายให้ได้ ทว่าโจวทงไม่ทำเช่นนั้น เพราะเขาได้ทรมานและเหยียดหยามคนมามากในชีวิตนี้ ทำการลงโทษอย่างโหดร้ายกับคนบริสุทธิ์มามากเกินไป เขาได้เห็นความมืดมิดที่สุดเจ็บปวดที่สุดในโลกมนุษย์มาแล้วและยังรู้จักแดนนรกที่แท้จริง หัวใจของเขาเสมือนหินที่แช่อยู่ในยาพิษมาเจ็ดหมื่นปี ตะไคร่ที่เกาะอยู่บนก้อนหินนี้ล้วนเป็นความบาปที่เปลี่ยนรูปมา ต่อให้ม่ออวี่ใช้วิธีที่โหดเหี้ยมที่สุดทำให้ร่างกายและจิตใจของเขาต้องสั่น เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะต่อนางหรือโชคชะตา ต่อหน้าเงาของความตาย เขาจะไม่เดินไปหามันด้วยความตั้งใจของตนเองอย่างแน่นอน ในทางกลับกันเขาเป็นเหมือนขอทานที่กำลังรอคอยชัยชนะในตอนท้ายที่สุด

ตราบใดที่ข้าสามารถคลานออกไปจากถนนที่อาบไปด้วยเลือดนี้ได้ข้าก็ชนะ

เขาร้องอย่างเจ็บปวดจากนั้นก็กล่าวกับตัวเอง

สนธยาเคลื่อนผ่านกลายเป็นความมืดมิด แสงดาวสะท้อนที่อยู่บนหิมะในถนนสันติ ยังไม่พอที่จะทำให้โลกนี้สว่าง

ด้วยเหตุผลบางอย่างมีแสงหม่นมัวส่องลงบนร่างของโจวทง เผยให้เห็นบาดแผลอันน่ากลัวและกระดูกใต้แผลพวกนั้น

แสงโคมที่ห่างออกไปไม่ได้มอบความอบอุ่น แต่โจวทงก็พลันรู้สึกได้ว่าร่างกายอบอุ่นขึ้น ตอนอยู่ในลานบ้าน การมองเห็นของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทั้งหมดพร่าเลือนดังนั้นเขาได้แต่มองเห็นแค่ภาพโดยรวมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เขาก็มั่นใจว่าแสงนั้นมาจากด้านขวามือ ทิศเหนือของถนนสันติ

เป็นจวนของราชครูเฉิงก่อนที่จะเกษียณ ไม่นานมานี้มีอ๋องที่ทรงอำนาจผู้หนึ่งได้เข้ามาครอบครอง ทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นจวนอ๋อง

เขาใช้เวลาประมาณหนึ่งเค่อทนต่อความเจ็บปวดแทบตายจากแผลนับพันคลานไปยี่สิบกว่าจั้ง ในที่สุดเขาก็พ้นจากเขตจวนเซวียและไปถึงที่แห่งนี้

เขาอดทนมาตลอดเพราะมีหวัง นับจากเริ่มต้นเขาฝากความหวังไว้ในที่แห่งนี้

สายตาของเขายังพร่าเลือนแต่ดวงตาเป็นประกายราวกับว่าถูกโคมไฟนั้นจุดให้ลุกโชน

เขายังมีปราณแท้เหลือ ซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของเส้นลมปราณ ไม่ว่ากระบี่ของม่ออวี่จะแหลมคมเพียงใด ใช้วิธีอันโหดเหี้ยมแค่ไหน เขาก็ไม่เคยใช้มันออกมาเพราะว่ามันจะเหลือไม่พอที่จะช่วยให้เขาหนีไปจากสถานการณ์อันสิ้นหวังนี้

ตอนนี้ปราณแท้ที่เหมือนกับหยดน้ำค้างนี้ก็ลุกไหม้ขึ้น ทำให้ร่างของเขาพุ่งขึ้นจากหิมะไปยังแสงนั้น!

เขาพุ่งตรงไปด้านหน้าของจวนอ๋อง ตอนนี้ไร้อำนาจอย่างสิ้นเชิง เขาได้ล้มลงใต้บันไดหิน

“ข้าคือโจวทง! จงซานอ๋องช่วยข้าด้วย!”

เขาใช้กำลังสุดท้ายที่ซ่อนไว้ตะโกนออกมา

เขาไม่เคยสิ้นหวัง หลังจากหลายปีจนนับไม่ถ้วนเขาได้เล่นกับหัวใจนับพันในมือเขา ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าไม่ว่าม่ออวี่หรือเจ๋อซิ่วย่อมไม่ปล่อยให้เขาตายคาที่ โดยเฉพาะในยามที่พวกเขาสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง หากเขาทำเช่นนั้น พวกเขาย่อมไม่อาจระบายความแค้นได้และความปรารถนาที่จะล้างแค้นก็ฝังอยู่ลึกที่สุดในหัวใจของทุกคน

นี่เป็นโอกาสของเขาและเขาต้องฉวยเอาไว้

เขาคิดอย่างโกรธแค้นและเย้ยหยัน ต่อให้อ๋องอย่างท่านต้องการจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของข้า แต่ท่านจะบอกได้อย่างไรว่าไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้ การพูดนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา แต่เขาไม่ได้พูดแค่ ‘ช่วยด้วย’ เขาได้พูดอย่างชัดเจนว่าให้ท่านอ๋องช่วย ถึงกับขานนามท่านอ๋องออกมา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อบีบให้ท่านอ๋องออกมา

ข้าคือโจวทง ขุนนางใหญ่ของราชวงศ์ต้าโจว!

ข้ากำลังจะถูกฆ่า

จงซานอ๋องช่วยข้าด้วย!

……

……

ณ จุดนี้เมฆบนท้องฟ้าก็รวมตัวกัน บดบังแสงดาวและโปรยหิมะลงสู่โลก

ประตูจวนจงซานอ๋องเปิดออก รวมถึงประตูอื่นๆ บนสองฝั่งถนนสันติ แสงของโคมไฟมากมายปรากฏขึ้นในความมืด สว่างจนดูแสบตาอยู่บ้าง

ถนนมืดได้เปลี่ยนเป็นแม่น้ำสีเงิน

โจวทงในแม่น้ำนี้ก็ไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไป เผยให้ใบหน้าในแสงตอนที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

ยอดฝีมือหลายคนจากจวนอ๋องปรากฏขึ้นบนถนนพร้อมกับเสียงสายลมหวีดหวิว

ม่ออวี่เดินออกจากหิมะที่โปรยปรายห่างจากโจวทงไปหลายจั้ง

โจวทงมองไปที่นาง ใบหน้าที่เปื้อนเลือดแสดงสีหน้าโหดเหี้ยมชั่วร้าย

ตอนนี้เจ้าจะฆ่าข้าได้อย่างไร ตอนนี้เป็นเวลาที่คนอื่นจะฆ่าเจ้า

สายตาเขาสื่อสารความคิดของเขาได้อย่างชัดเจน

ม่ออวี่ไม่ได้มองเขาด้วยซ้ำ

สายลมพัดใส่ชุดชาววังของนางหิมะก็ตกลงบนขมับ

นางสำรวจถนนสันติที่สว่างขึ้น มองดูจวนอ๋องทั้งสิบเหล่านี้ จากนั้นก็กล่าว “เหนียงเหนียงทำเรื่องไม่ดีทุกชนิดกับพวกท่าน แต่พวกท่านทุกคนต่างก็ติดค้างนางอย่างน้อยเรื่องหนึ่ง”

คำพูดนี้มุ่งเป้าไปที่พวกอ๋องที่ยังไม่แสดงตัวออกมา

“บรรดาลูกของจักรพรรดิเซียนยังมีชีวิตอยู่ทุกคน”

แสงโคมส่องต้องใบหน้านาง เป็นภาพที่งดงามมาก

แต่สีหน้านางยังเย็นชาและท่าทางก็ไม่อ่อนข้อแม้แต่น้อย คล้ายคลึงกับคนที่ตายไปแล้ว

“ไม่มีใครถูกกำจัด พวกท่านทั้งหมดยังมีชีวิต”

“เป็นเหนียงเหนียงที่ให้พวกท่านทั้งหมดมีชีวิตอยู่จนถึงคืนนี้”

“คืนนี้ข้าขอถามพวกท่านทั้งหลายว่าจะตอบแทนเรื่องนี้อย่างไร”

“ข้าต้องการให้เขาตาย”

หิมะโปรยลงมาช้าๆ เงียบงันเช่นเดียวกับถนนนี้

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนโบกมืออยู่ในแสง

สายตาของโจวทงพร่าเลือน ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นใบหน้าของคนผู้นั้น รู้แค่ว่าคนผู้นั้นสวมชุดสีเหลืองสดใส

ประตูจวนจงซานอ๋องไม่ได้ปิดลง แต่ทุกคนที่ออกมาจากจวนได้ถอยกลับไป

เกิดอะไรขึ้นที่นี่

โจวทงรู้สึกว่านี่ช่างเหลวไหลและคิดในใจ พวกเจ้าไม่กลัวว่าปรมาจารย์เต๋าจะโกรธหรือ

ม่ออวี่เดินไปด้านหลังเขา

ความหวาดกลัวล้อมร่างของเขาไว้อีกครั้งหนึ่ง

เขาหอบหายใจและคลานต่อไป

มีจวนอ๋องสิบกว่าหลังบนถนนสันติ และยังมีจวนตระกูลเทียนไห่อีกด้วย ขุนนางก็ไม่น้อย จงซานอ๋องอาจบ้าไปแล้วแต่ทุกคนเป็นบ้าไปด้วยหรือ

เขาคลานและคลานต่อไป คลานไปข้างหน้า ต้องการที่จะคลานไปยังที่ซึ่งโคมไฟส่องแสงจางๆ

แต่โคมไฟนี้ก็ดับลงตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่ห่างออกไป

และจวนอ๋องนั้นก็ถึงกับปิดประตู

เสียงโครมดังครั้งแล้วครั้งเล่าสะท้อนไปในถนนเมื่อประตูปิดลง และแสงโคมดวงแล้วดวงเล่าก็ดับไป

ความมืดยิ่งมายิ่งมากขึ้น

โจวทงก็รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาคลานไปบนหิมะ ถนนอาบไปด้วยเลือด ความเงียบและอดทนทั้งหมดนั้นมาจากความหวังแต่สุดท้ายแล้วตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปเป็น…ความสิ้นหวัง