ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 57 ราชโองการมาถึงท่ามกลางหิมะ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

โจวทงคลานโซเซผ่านหิมะไป เสียงไอในลำคอเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ในที่สุด

“ช่วยด้วย…ใครก็ได้ช่วยด้วย…”

เสียงร้องอย่างคร่ำครวญหวนไห้ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องหลอกลวง ทว่าเมื่อเขาออกจากคุกโจวใต้ดินมายังลานบ้านเล็กๆ ที่อาบแสงแดด แล้วมายังถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เขาได้หนีมาตลอด ไล่ตามความหวังมาตลอด ทว่าเขาก็ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดเขาก็เริ่มรู้สึกสิ้นหวัง จิตใจเขาถล่มราวกับน้ำบ่าที่เกิดจากเขื่อนแตก

เขาร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด น้ำตาชะล้างรอยเลือดบางส่วนบนใบหน้าก่อนจะแข็งไปเพราะลมอันเหน็บหนาว กลายเป็นก้อนน่าเกลียดบนใบหน้า

เสียงร้องไห้ฟังไม่สบายหูเพราะมันเหมือนเสียงกรีดร้องของนกฮูก

ในฐานะขุนนางที่มีชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม โจวทงไม่เคยคิดขอโทษกับโลกนี้ ไม่เคยมีความเมตตาให้กับโลก ไม่เคยช่วยโลกนี้แม้เพียงสักครั้ง ดังนั้นโลกนี้ย่อมปฎิบัติต่อเขาอย่างเย็นชาที่สุด มันไม่อภัยให้เขา ไม่ช่วยเขา แสงบนถนนสันติค่อยๆ จางลงไกลออกไป เส้นทางด้านหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมืด

จวนบางหลังยังเปิดประตูเอาไว้ ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือจวนจงซานอ๋อง ส่วนลึกของจวนอ๋องสว่างไสว จงซานอ๋องนั่งอยู่บนเก้าอี้ถือลูกแพร์แช่แข็งไว้ในมือ เมื่อเขานึกถึงภาพอันน่าอนาถของโจวทงที่นอกประตูจวนเขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก แม้แต่ลูกแพร์แช่แข็งก็ยังให้รสหวานกว่าเดิม

คนรับใช้ด้านข้างลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ผู้น้อยรู้สึกว่านี่ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง”

“อะไรไม่เหมาะสม ข้าต้องการจะฉีกเนื้อเจ้าสุนัขนั่นมานานแล้ว”

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งจงซานอ๋องก็กล่าวเสริม “และสิ่งที่ม่ออวี่กล่าวก็มีเหตุผล ไม่ว่าจะมีความรักหรือไม่ การที่ข้ายังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ได้ก็เพราะความเมตตาเท่านั้น”

คนรับใช้นิ่งอึ้งไป เขาไม่คาดคิดว่าท่านอ๋องจะซาบซึ้งกับคำพูดของม่ออวี่

ต้องรู้ว่าพวกท่านอ๋องต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองต่างๆ ในอดีต คนที่มีชีวิตอย่างน่าอนาถที่สุดก็คือจงซานอ๋อง เมื่อเทียบกับอ๋องจากสาขาอื่นของตระกูลที่ถูกวางยาพิษจนตายแล้ว เขาก็ยังถือว่ามีชีวิตอยู่ แต่เขาก็เคยถูกบีบให้กินอาจม แสร้งเป็นบ้า…เป็นชะตาที่แย่ยิ่งกว่าความตาย

“อาจมรสชาติดีหรือไม่ ย่อมไม่ แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าที่หญิงคนนั้นบีบให้ข้ากินอาจมในตอนนั้น เจ้าพูดได้หรือไม่ว่านางจะไม่รู้ว่าข้าแสร้งเป็นบ้า”

จงซานอ๋องพูดอย่างเฉยชา “นางย่อมรู้ว่าข้าเสแสร้ง แต่นางไม่เปิดโปงข้าเพราะนางชอบเห็นข้ากินอาจม แต่อย่างน้อยนางก็ไม่ให้ข้าตาย เมื่อเทียบกับความตายแล้ว การกินอาจมนับเป็นอะไรได้ ในฐานะของทายาทบุตรสวรรค์มีพวกเราคนใดบ้างที่ไม่สามารถกินอาจมได้”

จวนอ๋องแต่ละจวนต่างก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันไปในการปิดประตูและกันโจวทงออกไป

ลั่วหยางอ๋องที่ซื่อสัตย์และขี้ขลาดที่สุดในหมู่อ๋องซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มสามชั้น ใจหนึ่งเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของม่ออวี่ที่เขารู้จักมักคุ้น อีกใจหนึ่งก็สาปแช่งโจวทงอยู่เงียบๆ

เซียงอ๋องผู้มีประสบการณ์ความรู้มากที่สุด ทรงอำนาจที่สุด ไม่อยู่บ้านด้วยซ้ำในวันนี้

ประตูจวนเซียงอ๋องเปิดอยู่ เฉินหลิวอ๋องหนุ่มยืนอยู่ในแสงไฟ สีหน้าสงบแฝงไว้ด้วยความเป็นกังวลอยู่บ้าง

โจวทงคลานผ่านเขาไปและม่ออวี่ก็ตามไป

เฉินหลิวอ๋องไม่สนใจโจวทงและกล่าวกับม่ออวี่ “น่าจะพอได้แล้ว”

ม่ออวี่ไม่สนใจเขา ยังคงใช้กระบี่ต่างแส้ฟาดโบยโจวทงที่อาบไปด้วยเลือดต่อไป

ที่ปลายถนนสันติเป็นจวนขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งอย่างหรูหราและใส่ใจ แม้แต่จวนเซียงอ๋องที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ก็ยังเทียบไม่ได้

ที่แห่งนี้คือบ้านตระกูลเทียนไห่ ตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในต้าลู่ช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมา คนที่มีอำนาจในตระกูลเทียนไห่อย่างเทียนไห่เฉินอู่และผู้อาวุโสคนอื่นๆ ย่อมไม่อยู่ในจิงตูคืนนี้ในช่วงที่อ่อนไหวเช่นนี้ และได้ออกไปอยู่ที่คฤหาสน์ที่ชานเมืองตั้งนานแล้ว

ประตูจวนยังเปิดอยู่และมีแสงสว่าง เทียนไห่เซิ่งเสวียยืนอยู่ในแสง สวมชุดที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ

โจวทงคลานผ่านประตู ส่งสายตาออกไป ดวงตาเต็มไปด้วยความขุ่นข้อง อย่างไรก็ตามเขาไม่ร้องขอให้ช่วยหรือสถบด่า เขาไม่มีแรงจะพูดอีกต่อไปแล้ว

เสียงหัวเราะเหมือนเสียงระฆังเงินดังขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นเสียงร้องไห้

องค์หญิงผิงยืนอยู่ด้านหลังเทียนไห่เซิ่งเสวีย

หลังจากการยึดอำนาจนางก็ถูกส่งกลับมายังตระกูลเทียนไห่ ว่ากันว่าหลังจากผ่านไประยะหนึ่งนางอาจได้แต่ให้กับเฉินหลิวอ๋อง

เมื่อนางมองไปที่โจวทงที่โซเซผ่านหิมะ นางก็ยิ้มอย่างบ้าคลั่งอยู่บ้าง ใบหน้างดงามของนางปกคลุมไปด้วยน้ำตา

“เจ้าดูเหมือนสุนัขมากเลยในวันนี้!”

นางตะโกนบอกโจวทง คำพูดของนางเหมือนกับคำสาป

เทียนไห่เซิ่งเสวียไม่ได้หยุดนาง เพียงแค่แตะบ่านางปรามไม่ให้นางบุกเข้าโจมตีโจงทงอย่างไร้สติ

เขามองไปที่ม่ออวี่ที่เลือดนองและกล่าวอย่างจริงจัง “น่าจะพอได้แล้ว”

เขาหมายความเช่นเดียวกันเฉินหลิวอ๋อง

ม่ออวี่เป็นคนที่ราชสำนักต้องการจับตัว เป็นอันดับแรกในรายชื่อคนที่ต้องการจับมากที่สุด

ม่ออวี่ยังไม่พูดอะไร เมื่อนางกลับมาจิงตูนางก็ไม่คิดที่จะมีชีวิตรอดกลับไป

……

……

สมองของโจวทงพร่าเลือนถึงกับทำให้ความสิ้นหวังและโมโหเลือนหายไปแล้ว ในช่วงสุดท้ายนี้มีเพียงคำถามเดียวเท่านั้น

ทำไมไม่มีใครมาช่วยข้า เจ้าสำนักซางแค่กระดิกนิ้วเท่านั้นข้าก็มีชีวิตต่อได้ แล้วทำไมข้าถึงต้องตาย

เหมือนกับสัตว์อสูรขนาดยักษ์ที่อยู่ในทุ่งหิมะทางเหนือ เขาสัมผัสได้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามา เขาไปหาที่แห่งหนึ่งที่คุ้นเคยที่สุดตามสัญชาตญาณและรอให้ความตายมาเยือน

กับโจวทงที่ซึ่งเขาคุ้นเคยที่สุดย่อมเป็นลานบ้านน้อยในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปทางนั้น

อันที่จริงแล้วที่แห่งนั้นใกล้กับถนนสันติมาก เป็นเหตุที่เขาสามารถพาผู้ใต้บังคับบัญชาไปจวนเซวียได้เร็วมากตอนที่พวกเขาจัดงานศพ

อย่างไรก็ตาม ตอนที่คลานผ่านถนนที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ระยะห่างนี้กลับยาวไกลอย่างยิ่ง แล้วยังมีประกายกระบี่ที่ส่องแสงขึ้นเป็นระยะๆ ด้านหลังอีกด้วย

ม่ออวี่ยังคงกวัดแกว่งกระบี่ของนางอยู่เป็นระยะๆ ทุกครั้งก็จะตัดเอาเนื้อบางส่วนของโจวทงไป

เลือดของโจวทงแทบหมดแล้ว เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนหายไป เขาคลานต่อไปบนหิมะเหมือนกับคนโง่ที่ไร้สติ

กลุ่มคนที่ปรากฏบนสองฝั่งถนน พวกเขาดูโจวทงที่อาบเลือดซึ่งกำลังโดนโจมตีและหยามเหยียดอยู่เป็นระยะๆ ความตกใจในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นความยินดีที่ผ่าเผย ทุกครั้งที่ม่ออวี่ฟาดกระบี่ลงไปตัดเนื้อออกมา ฝูงชนก็ส่งเสียงโห่ร้อง

……

……

หิมะยังคงตกลงมาจากท้องฟ้า แต่ในท้องฟ้าทางตะวันตกมีดวงดาวปรากฏขึ้น

พื้นลานบ้านภายในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งถูกทำลาย ถูกฟันเป็นเศษซากนับไม่ถ้วนจากกระบี่มากมายหลายเล่ม

คุกโจวถูกทำลายอย่างแท้จริง สิ่งก่อสร้างและคุกบนพื้นผิวและห้องขังที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปล้วนถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด

เครื่องทรมานพวกนั้นมีลอยคราบเลือดและเศษเนื้อมนุษย์ มีซากศพเกลื่อนกราดกลายเป็นภาพของแดนนรกบนดิน

เซวียเหอเปิดประตูห้องขังทั้งหมด พวกนักโทษที่บาดเจ็บน้อยหน่อยได้หนีไปแล้ว มีแต่พวกที่บาดเจ็บหนักจนปางตายเท่านั้นที่เหลืออยู่

นักโทษพวกนี้ทนรับการทรมานนับไม่ถ้วน เป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดของแดนนรกที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์

แสงดาวสาดส่องไปทั่วคุกโจว ความศักดิ์สิทธิ์งดงามของแสงดาวขัดกับภาพอันน่าสะอิดสะเอียนของเลือดและเนื้อ

เงียบงันราวความตาย

เสี่ยวเต๋อและยอดฝีมือในก่องทัพฆ่าคนมามากเกินจะนับไหว มือสังหารในหอความลับสวรรค์ล้วนแต่เป็นคนชั่วร้าย แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นภาพที่น่าอนาถเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ขุนนางกรมอาญาก็ยังพบว่าตัวเองรู้สึกขยะแขยงกับห้องที่เต็มไปด้วยเลือดและเครื่องมือทรมานรูปร่างพิลึกพิลั่น แม้ว่าพวกเขาจะเห็นมันมาหลายครั้งและเคยทำการทรมานด้วยตัวเองมาแล้วก็ตาม

บางทีเป็นเพราะภาพที่น่าสะอิดสะเอียนนี้ไม่เคยเผยออกมาท่ามกลางแสงแดดมาก่อน

ไม่มีร่องรอยของโจวทงให้เห็น

มีเสียงสารพัดชนิดดังมาจากนอกลานบ้าน แต่มีความเงียบน่าประหลาดอยู่ภายใน

เฉินฉางเซิงอาบไปด้วยเลือด บางทีอาจเป็นเลือดเขาหรือไม่ก็เลือดคนอื่น

เขาเดินออกจากลานบ้าน กระบี่ทั้งหมดได้กลับคืนสู่ฝัก แต่ไม่มีใครหยุดเขา

ถนนมีคนหนาแน่น ฝูงชนทิ้งช่องว่างตรงกลางเอาไว้

โจวทงนอนอยู่ในหิมะ สูดหายใจเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายปกคลุมไปด้วยบาดแผลมากเกินจะนับไหว คงไม่ผิดที่จะบอกว่าเขาถูกสับเป็นชิ้นๆ

เฉินฉางเซิงเดินไปที่เขา

โจวทงเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างยากลำบาก น่าประหลาดที่เขาจดจำเฉินฉางเซิงได้ และความหวังสุดท้ายก็เบ่งบานอยู่ในใจ

ในสายตาเขา เฉินฉางเซิงต้องเกลียดชังเขามาก ไม่เช่นนั้นเฉินฉางเซิงจะคิดฆ่าเขาอยู่ทุกขณะได้อย่างไร

เขาไม่กลัวที่เฉินฉางเซิงเกลียดเขา แต่กลัวว่าเฉินฉางเซิงจะเกลียดไม่พอเท่านั้น

เขามั่นใจว่าเขาเข้าใจจิตใจของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ยิ่งเกลียดชังเท่าไร ก็ยิ่งต้องการให้ศัตรูตายน้อยลงเท่านั้น

มาเลย เอาดาบมาฟันข้า ทรมานข้า เหยียดหยามข้า ตอนข้า เอาไขมันยัดปากข้า ขุนข้าให้อ้วนจนน่าเกลียดแล้วก็รีดไขออกจากปากข้าไปใช้เป็นน้ำมันตะเกียง!

ทุกอย่างล้วนไม่มีปัญหา ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้าลงตรงนี้

ข้าขอร้องเจ้า

ไม่ว่าเขาจะได้ยินความคิดของโจวทงหรือไม่ เฉินฉางเซิงก็ชักกระบี่ออก

ไม่มีการเหยียดหยามหรือทรมาน ไม่มีการล้างแค้นอย่างโหดร้าย มีเพียงแค่ประกายกระบี่เจิดจ้า จิตสังหารที่หมดจด

เสียงดังขวับและลำคอของโจวทงก็มีเส้นสีแดงเลือดปรากฏขึ้น จากนั้นก็ขยายออกอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้วศีรษะก็หลุดออกจากร่าง

โจวทงตายแล้ว เขาลืมตากว้างอย่างสับสน

คำถามสุดท้ายในหัวของเขาคงเป็น “ทำไมถึงเรียบง่ายเช่นนี้”

เฉินฉางเซิงไม่มองไปที่ศพของโจวทงอีก เขาเดินไปหาม่ออวี่และกล่าว “เจ้ามา”

ม่ออวี่ตอบ “ใช่ ข้ามา”

นางรู้สึกเหนื่อยจึงนั่งลงกับพื้น

เฉินฉางเซิงรู้สึกเหนื่อยเช่นกันและนั่งลงกับพื้นข้างนาง

เงาในมุมถนนสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเจ๋อซิ่วปรากฏตัว เขาเหนื่อยมากเช่นกัน แต่เขาไม่ได้นั่งลง เพราะเขารู้ว่ายังมีการต่อสู้เหลืออยู่

แผ่นดินสะเทือน เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มบนพื้นหิมะบางๆ

ทหารกองทัพอวี่หลินในชุดดำหลายร้อยนายมาถึงแล้ว

เสี่ยวเต๋อกับยอดฝีมือคนอื่นก็ยืนอยู่ด้านข้าง

นักพรตในชุดสีฟ้าสิบกว่าคนที่มีการบำเพ็ญเพียรยากหยั่งถึงก็ปรากฏตัวขึ้น

ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง ขันทีหนุ่มบนหลังม้าถือราชโองการสีเหลืองเอาไว้ในมือ

ราชโองการย่อมมาจากในวัง

ขันทีหนุ่มประกาศกับทุกคนในที่แห่งนี้ถึงความผิดของโจวทง ทั้งหมดยี่สิบสองข้อ

ความผิดทั้งยี่สิบสองข้อถูกนับในตอนหลัง ในตอนนั้นไม่มีใครมีแก่ใจจะมาจดจำรายละเอียดอย่างชัดเจนนัก

ทุกคนกำลังตกใจ จากเจ้าหน้าที่กรมอาญาไปจนถึงทหารจากกองทัพอวี่หลิน

เฉินฉางเซิงก็จำเรื่องในตอนนี้ไม่ได้เช่นกัน

เขาจำได้แค่ว่าขันทีหนุ่มมีเสียงที่ค่อนข้างแหลมสูงและเร่งรีบ เดี๋ยวก็เหมือนใกล้ เดี๋ยวก็เหมือนไกล โดยสรุปแล้วคือไม่เหมือนจริง

เขาจำได้แค่ว่าราชโองการพูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับการตายด้วยแผลนับพันในตอนจบ

แต่โจวทงก็ได้กลายเป็นกองเลือดเนื้อเลอะเลือนอยู่บนหิมะ หัวหลุดออกจากลำตัว

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกล่าวขอบคุณจักรพรรดิกับความเมตตานี้