โจวทงคลานโซเซผ่านหิมะไป เสียงไอในลำคอเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ในที่สุด
“ช่วยด้วย…ใครก็ได้ช่วยด้วย…”
เสียงร้องอย่างคร่ำครวญหวนไห้ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องหลอกลวง ทว่าเมื่อเขาออกจากคุกโจวใต้ดินมายังลานบ้านเล็กๆ ที่อาบแสงแดด แล้วมายังถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เขาได้หนีมาตลอด ไล่ตามความหวังมาตลอด ทว่าเขาก็ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดเขาก็เริ่มรู้สึกสิ้นหวัง จิตใจเขาถล่มราวกับน้ำบ่าที่เกิดจากเขื่อนแตก
เขาร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด น้ำตาชะล้างรอยเลือดบางส่วนบนใบหน้าก่อนจะแข็งไปเพราะลมอันเหน็บหนาว กลายเป็นก้อนน่าเกลียดบนใบหน้า
เสียงร้องไห้ฟังไม่สบายหูเพราะมันเหมือนเสียงกรีดร้องของนกฮูก
ในฐานะขุนนางที่มีชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม โจวทงไม่เคยคิดขอโทษกับโลกนี้ ไม่เคยมีความเมตตาให้กับโลก ไม่เคยช่วยโลกนี้แม้เพียงสักครั้ง ดังนั้นโลกนี้ย่อมปฎิบัติต่อเขาอย่างเย็นชาที่สุด มันไม่อภัยให้เขา ไม่ช่วยเขา แสงบนถนนสันติค่อยๆ จางลงไกลออกไป เส้นทางด้านหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมืด
จวนบางหลังยังเปิดประตูเอาไว้ ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือจวนจงซานอ๋อง ส่วนลึกของจวนอ๋องสว่างไสว จงซานอ๋องนั่งอยู่บนเก้าอี้ถือลูกแพร์แช่แข็งไว้ในมือ เมื่อเขานึกถึงภาพอันน่าอนาถของโจวทงที่นอกประตูจวนเขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก แม้แต่ลูกแพร์แช่แข็งก็ยังให้รสหวานกว่าเดิม
คนรับใช้ด้านข้างลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ผู้น้อยรู้สึกว่านี่ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง”
“อะไรไม่เหมาะสม ข้าต้องการจะฉีกเนื้อเจ้าสุนัขนั่นมานานแล้ว”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งจงซานอ๋องก็กล่าวเสริม “และสิ่งที่ม่ออวี่กล่าวก็มีเหตุผล ไม่ว่าจะมีความรักหรือไม่ การที่ข้ายังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ได้ก็เพราะความเมตตาเท่านั้น”
คนรับใช้นิ่งอึ้งไป เขาไม่คาดคิดว่าท่านอ๋องจะซาบซึ้งกับคำพูดของม่ออวี่
ต้องรู้ว่าพวกท่านอ๋องต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองต่างๆ ในอดีต คนที่มีชีวิตอย่างน่าอนาถที่สุดก็คือจงซานอ๋อง เมื่อเทียบกับอ๋องจากสาขาอื่นของตระกูลที่ถูกวางยาพิษจนตายแล้ว เขาก็ยังถือว่ามีชีวิตอยู่ แต่เขาก็เคยถูกบีบให้กินอาจม แสร้งเป็นบ้า…เป็นชะตาที่แย่ยิ่งกว่าความตาย
“อาจมรสชาติดีหรือไม่ ย่อมไม่ แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าที่หญิงคนนั้นบีบให้ข้ากินอาจมในตอนนั้น เจ้าพูดได้หรือไม่ว่านางจะไม่รู้ว่าข้าแสร้งเป็นบ้า”
จงซานอ๋องพูดอย่างเฉยชา “นางย่อมรู้ว่าข้าเสแสร้ง แต่นางไม่เปิดโปงข้าเพราะนางชอบเห็นข้ากินอาจม แต่อย่างน้อยนางก็ไม่ให้ข้าตาย เมื่อเทียบกับความตายแล้ว การกินอาจมนับเป็นอะไรได้ ในฐานะของทายาทบุตรสวรรค์มีพวกเราคนใดบ้างที่ไม่สามารถกินอาจมได้”
จวนอ๋องแต่ละจวนต่างก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันไปในการปิดประตูและกันโจวทงออกไป
ลั่วหยางอ๋องที่ซื่อสัตย์และขี้ขลาดที่สุดในหมู่อ๋องซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มสามชั้น ใจหนึ่งเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของม่ออวี่ที่เขารู้จักมักคุ้น อีกใจหนึ่งก็สาปแช่งโจวทงอยู่เงียบๆ
เซียงอ๋องผู้มีประสบการณ์ความรู้มากที่สุด ทรงอำนาจที่สุด ไม่อยู่บ้านด้วยซ้ำในวันนี้
ประตูจวนเซียงอ๋องเปิดอยู่ เฉินหลิวอ๋องหนุ่มยืนอยู่ในแสงไฟ สีหน้าสงบแฝงไว้ด้วยความเป็นกังวลอยู่บ้าง
โจวทงคลานผ่านเขาไปและม่ออวี่ก็ตามไป
เฉินหลิวอ๋องไม่สนใจโจวทงและกล่าวกับม่ออวี่ “น่าจะพอได้แล้ว”
ม่ออวี่ไม่สนใจเขา ยังคงใช้กระบี่ต่างแส้ฟาดโบยโจวทงที่อาบไปด้วยเลือดต่อไป
ที่ปลายถนนสันติเป็นจวนขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งอย่างหรูหราและใส่ใจ แม้แต่จวนเซียงอ๋องที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ก็ยังเทียบไม่ได้
ที่แห่งนี้คือบ้านตระกูลเทียนไห่ ตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในต้าลู่ช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมา คนที่มีอำนาจในตระกูลเทียนไห่อย่างเทียนไห่เฉินอู่และผู้อาวุโสคนอื่นๆ ย่อมไม่อยู่ในจิงตูคืนนี้ในช่วงที่อ่อนไหวเช่นนี้ และได้ออกไปอยู่ที่คฤหาสน์ที่ชานเมืองตั้งนานแล้ว
ประตูจวนยังเปิดอยู่และมีแสงสว่าง เทียนไห่เซิ่งเสวียยืนอยู่ในแสง สวมชุดที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ
โจวทงคลานผ่านประตู ส่งสายตาออกไป ดวงตาเต็มไปด้วยความขุ่นข้อง อย่างไรก็ตามเขาไม่ร้องขอให้ช่วยหรือสถบด่า เขาไม่มีแรงจะพูดอีกต่อไปแล้ว
เสียงหัวเราะเหมือนเสียงระฆังเงินดังขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นเสียงร้องไห้
องค์หญิงผิงยืนอยู่ด้านหลังเทียนไห่เซิ่งเสวีย
หลังจากการยึดอำนาจนางก็ถูกส่งกลับมายังตระกูลเทียนไห่ ว่ากันว่าหลังจากผ่านไประยะหนึ่งนางอาจได้แต่ให้กับเฉินหลิวอ๋อง
เมื่อนางมองไปที่โจวทงที่โซเซผ่านหิมะ นางก็ยิ้มอย่างบ้าคลั่งอยู่บ้าง ใบหน้างดงามของนางปกคลุมไปด้วยน้ำตา
“เจ้าดูเหมือนสุนัขมากเลยในวันนี้!”
นางตะโกนบอกโจวทง คำพูดของนางเหมือนกับคำสาป
เทียนไห่เซิ่งเสวียไม่ได้หยุดนาง เพียงแค่แตะบ่านางปรามไม่ให้นางบุกเข้าโจมตีโจงทงอย่างไร้สติ
เขามองไปที่ม่ออวี่ที่เลือดนองและกล่าวอย่างจริงจัง “น่าจะพอได้แล้ว”
เขาหมายความเช่นเดียวกันเฉินหลิวอ๋อง
ม่ออวี่เป็นคนที่ราชสำนักต้องการจับตัว เป็นอันดับแรกในรายชื่อคนที่ต้องการจับมากที่สุด
ม่ออวี่ยังไม่พูดอะไร เมื่อนางกลับมาจิงตูนางก็ไม่คิดที่จะมีชีวิตรอดกลับไป
……
……
สมองของโจวทงพร่าเลือนถึงกับทำให้ความสิ้นหวังและโมโหเลือนหายไปแล้ว ในช่วงสุดท้ายนี้มีเพียงคำถามเดียวเท่านั้น
ทำไมไม่มีใครมาช่วยข้า เจ้าสำนักซางแค่กระดิกนิ้วเท่านั้นข้าก็มีชีวิตต่อได้ แล้วทำไมข้าถึงต้องตาย
เหมือนกับสัตว์อสูรขนาดยักษ์ที่อยู่ในทุ่งหิมะทางเหนือ เขาสัมผัสได้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามา เขาไปหาที่แห่งหนึ่งที่คุ้นเคยที่สุดตามสัญชาตญาณและรอให้ความตายมาเยือน
กับโจวทงที่ซึ่งเขาคุ้นเคยที่สุดย่อมเป็นลานบ้านน้อยในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปทางนั้น
อันที่จริงแล้วที่แห่งนั้นใกล้กับถนนสันติมาก เป็นเหตุที่เขาสามารถพาผู้ใต้บังคับบัญชาไปจวนเซวียได้เร็วมากตอนที่พวกเขาจัดงานศพ
อย่างไรก็ตาม ตอนที่คลานผ่านถนนที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ระยะห่างนี้กลับยาวไกลอย่างยิ่ง แล้วยังมีประกายกระบี่ที่ส่องแสงขึ้นเป็นระยะๆ ด้านหลังอีกด้วย
ม่ออวี่ยังคงกวัดแกว่งกระบี่ของนางอยู่เป็นระยะๆ ทุกครั้งก็จะตัดเอาเนื้อบางส่วนของโจวทงไป
เลือดของโจวทงแทบหมดแล้ว เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนหายไป เขาคลานต่อไปบนหิมะเหมือนกับคนโง่ที่ไร้สติ
กลุ่มคนที่ปรากฏบนสองฝั่งถนน พวกเขาดูโจวทงที่อาบเลือดซึ่งกำลังโดนโจมตีและหยามเหยียดอยู่เป็นระยะๆ ความตกใจในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นความยินดีที่ผ่าเผย ทุกครั้งที่ม่ออวี่ฟาดกระบี่ลงไปตัดเนื้อออกมา ฝูงชนก็ส่งเสียงโห่ร้อง
……
……
หิมะยังคงตกลงมาจากท้องฟ้า แต่ในท้องฟ้าทางตะวันตกมีดวงดาวปรากฏขึ้น
พื้นลานบ้านภายในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งถูกทำลาย ถูกฟันเป็นเศษซากนับไม่ถ้วนจากกระบี่มากมายหลายเล่ม
คุกโจวถูกทำลายอย่างแท้จริง สิ่งก่อสร้างและคุกบนพื้นผิวและห้องขังที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปล้วนถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด
เครื่องทรมานพวกนั้นมีลอยคราบเลือดและเศษเนื้อมนุษย์ มีซากศพเกลื่อนกราดกลายเป็นภาพของแดนนรกบนดิน
เซวียเหอเปิดประตูห้องขังทั้งหมด พวกนักโทษที่บาดเจ็บน้อยหน่อยได้หนีไปแล้ว มีแต่พวกที่บาดเจ็บหนักจนปางตายเท่านั้นที่เหลืออยู่
นักโทษพวกนี้ทนรับการทรมานนับไม่ถ้วน เป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดของแดนนรกที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์
แสงดาวสาดส่องไปทั่วคุกโจว ความศักดิ์สิทธิ์งดงามของแสงดาวขัดกับภาพอันน่าสะอิดสะเอียนของเลือดและเนื้อ
เงียบงันราวความตาย
เสี่ยวเต๋อและยอดฝีมือในก่องทัพฆ่าคนมามากเกินจะนับไหว มือสังหารในหอความลับสวรรค์ล้วนแต่เป็นคนชั่วร้าย แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นภาพที่น่าอนาถเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ขุนนางกรมอาญาก็ยังพบว่าตัวเองรู้สึกขยะแขยงกับห้องที่เต็มไปด้วยเลือดและเครื่องมือทรมานรูปร่างพิลึกพิลั่น แม้ว่าพวกเขาจะเห็นมันมาหลายครั้งและเคยทำการทรมานด้วยตัวเองมาแล้วก็ตาม
บางทีเป็นเพราะภาพที่น่าสะอิดสะเอียนนี้ไม่เคยเผยออกมาท่ามกลางแสงแดดมาก่อน
ไม่มีร่องรอยของโจวทงให้เห็น
มีเสียงสารพัดชนิดดังมาจากนอกลานบ้าน แต่มีความเงียบน่าประหลาดอยู่ภายใน
เฉินฉางเซิงอาบไปด้วยเลือด บางทีอาจเป็นเลือดเขาหรือไม่ก็เลือดคนอื่น
เขาเดินออกจากลานบ้าน กระบี่ทั้งหมดได้กลับคืนสู่ฝัก แต่ไม่มีใครหยุดเขา
ถนนมีคนหนาแน่น ฝูงชนทิ้งช่องว่างตรงกลางเอาไว้
โจวทงนอนอยู่ในหิมะ สูดหายใจเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายปกคลุมไปด้วยบาดแผลมากเกินจะนับไหว คงไม่ผิดที่จะบอกว่าเขาถูกสับเป็นชิ้นๆ
เฉินฉางเซิงเดินไปที่เขา
โจวทงเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างยากลำบาก น่าประหลาดที่เขาจดจำเฉินฉางเซิงได้ และความหวังสุดท้ายก็เบ่งบานอยู่ในใจ
ในสายตาเขา เฉินฉางเซิงต้องเกลียดชังเขามาก ไม่เช่นนั้นเฉินฉางเซิงจะคิดฆ่าเขาอยู่ทุกขณะได้อย่างไร
เขาไม่กลัวที่เฉินฉางเซิงเกลียดเขา แต่กลัวว่าเฉินฉางเซิงจะเกลียดไม่พอเท่านั้น
เขามั่นใจว่าเขาเข้าใจจิตใจของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ยิ่งเกลียดชังเท่าไร ก็ยิ่งต้องการให้ศัตรูตายน้อยลงเท่านั้น
มาเลย เอาดาบมาฟันข้า ทรมานข้า เหยียดหยามข้า ตอนข้า เอาไขมันยัดปากข้า ขุนข้าให้อ้วนจนน่าเกลียดแล้วก็รีดไขออกจากปากข้าไปใช้เป็นน้ำมันตะเกียง!
ทุกอย่างล้วนไม่มีปัญหา ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้าลงตรงนี้
ข้าขอร้องเจ้า
ไม่ว่าเขาจะได้ยินความคิดของโจวทงหรือไม่ เฉินฉางเซิงก็ชักกระบี่ออก
ไม่มีการเหยียดหยามหรือทรมาน ไม่มีการล้างแค้นอย่างโหดร้าย มีเพียงแค่ประกายกระบี่เจิดจ้า จิตสังหารที่หมดจด
เสียงดังขวับและลำคอของโจวทงก็มีเส้นสีแดงเลือดปรากฏขึ้น จากนั้นก็ขยายออกอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้วศีรษะก็หลุดออกจากร่าง
โจวทงตายแล้ว เขาลืมตากว้างอย่างสับสน
คำถามสุดท้ายในหัวของเขาคงเป็น “ทำไมถึงเรียบง่ายเช่นนี้”
เฉินฉางเซิงไม่มองไปที่ศพของโจวทงอีก เขาเดินไปหาม่ออวี่และกล่าว “เจ้ามา”
ม่ออวี่ตอบ “ใช่ ข้ามา”
นางรู้สึกเหนื่อยจึงนั่งลงกับพื้น
เฉินฉางเซิงรู้สึกเหนื่อยเช่นกันและนั่งลงกับพื้นข้างนาง
เงาในมุมถนนสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเจ๋อซิ่วปรากฏตัว เขาเหนื่อยมากเช่นกัน แต่เขาไม่ได้นั่งลง เพราะเขารู้ว่ายังมีการต่อสู้เหลืออยู่
แผ่นดินสะเทือน เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มบนพื้นหิมะบางๆ
ทหารกองทัพอวี่หลินในชุดดำหลายร้อยนายมาถึงแล้ว
เสี่ยวเต๋อกับยอดฝีมือคนอื่นก็ยืนอยู่ด้านข้าง
นักพรตในชุดสีฟ้าสิบกว่าคนที่มีการบำเพ็ญเพียรยากหยั่งถึงก็ปรากฏตัวขึ้น
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง ขันทีหนุ่มบนหลังม้าถือราชโองการสีเหลืองเอาไว้ในมือ
ราชโองการย่อมมาจากในวัง
ขันทีหนุ่มประกาศกับทุกคนในที่แห่งนี้ถึงความผิดของโจวทง ทั้งหมดยี่สิบสองข้อ
ความผิดทั้งยี่สิบสองข้อถูกนับในตอนหลัง ในตอนนั้นไม่มีใครมีแก่ใจจะมาจดจำรายละเอียดอย่างชัดเจนนัก
ทุกคนกำลังตกใจ จากเจ้าหน้าที่กรมอาญาไปจนถึงทหารจากกองทัพอวี่หลิน
เฉินฉางเซิงก็จำเรื่องในตอนนี้ไม่ได้เช่นกัน
เขาจำได้แค่ว่าขันทีหนุ่มมีเสียงที่ค่อนข้างแหลมสูงและเร่งรีบ เดี๋ยวก็เหมือนใกล้ เดี๋ยวก็เหมือนไกล โดยสรุปแล้วคือไม่เหมือนจริง
เขาจำได้แค่ว่าราชโองการพูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับการตายด้วยแผลนับพันในตอนจบ
แต่โจวทงก็ได้กลายเป็นกองเลือดเนื้อเลอะเลือนอยู่บนหิมะ หัวหลุดออกจากลำตัว
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกล่าวขอบคุณจักรพรรดิกับความเมตตานี้