เมื่ออ่านราชโองการจบ ความเงียบงันก็ค้างอยู่ในอากาศ
ฝูงชนจ้องมองไปที่หิมะและโจวทงที่หัวขาด สีหน้าตกตะลึงสับสนอย่างที่สุด
การบรรยายถึงคนผู้นี้ว่าทำเรื่องชั่วร้ายมากมายนับไม่ถ้วนนั้นไม่ถือว่าเกินจริง คนผู้นี้มีความผิดอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าไม่มีใครสามารถคาดคิดได้ว่าราชสำนักจะประกาศว่าเขาผิด
ฝูงชนหันสายตาไปที่ชายหนุ่มหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกัน
ทหารม้าเกราะดำดึงบังเหียนม้าอย่างเคร่งเครียดอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี พวกเขาควรโจมตีหรือวางทวนลง ทหารม้าเกราะแดงและเจ้าหน้าที่กรมอาญาล้วนมีใบหน้าขาวซีด ดูเหมือนเศร้าโศก มือสังหารจากหอความลับสวรรค์ ยอดฝีมือจากกองทัพ และแม้แต่เสี่ยวเต๋อก็ยังพยายามขบคิดว่าเกิดอะไรขึ้น
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน รวดเร็วจนแม้แต่พวกที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่ทันได้เตรียมตัว
แม้แต่เฉินฉางเซิงกับม่ออวี่ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง จนถึงตอนที่ขันทีหนุ่มจากไป พวกเขาจึงเริ่มเข้าใจบางอย่าง
ในเมื่อสิ่งนี้เป็นที่รู้ไปทั่ว ทำไมต้องทำเช่นนี้ หลายคนอาจคิดแบบนี้แต่ไม่ใช่พวกเขาสองคน
“มีแต่พวกปัญญาอ่อนถึงคิดเช่นนั้น” ม่ออวี่ปัดผมที่ยื่นออกมาไปไว้หลังหู ตามองไปที่ฝูงชนที่ล้อมเขาเอาไว้ รอยยิ้มเยาะอยู่ที่ริมฝีปาก “หากโจวทงยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ยังเป็นขุนนางที่มีประโยชน์ เป็นเพราะเราฆ่าเขา พวกเขาถึงได้ตัดสินใจที่จะแล่เนื้อเถือหนังเขา”
“นี่เป็นวิธีที่อาจารย์ใช้ทำเรื่องต่างๆ เสมอมา”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าลมหิมะวันนี้ออกจะบาดผิวอยู่บ้าง เขามองไปทางวังหลวงเงียบๆ แล้วกล่าว “ตอนที่เรายังเด็ก ข้ากับศิษย์พี่เชื่อว่าเขาเป็นนักพรตจนๆ เพราะเขาจนเกินไป จึงมีมุมมองต่อโลกที่สุดโต่ง วิธีที่เขาทำเรื่องต่างๆ จึงใจแคบเกินไป ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าไม่ควรเรียกว่าใจแคบ แต่เป็นเรื่องการใช้แล้วทิ้ง”
……
……
พายุหิมะล้อมวังหลวงเอาไว้ แต่มังกรธรณีใต้พื้นตำหนักเผาไหม้อยู่ตลอด ทำให้ห้องนี้อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ บนโต๊ะมีราชโองการหลายแผ่นจากปีที่ผ่านมา
“ข้าไม่คิดว่าศิษย์น้องของเจ้าจะสามารถสังหารโจวทงได้จริงๆ การกระทำของเขานั้นเกินกว่าที่ข้าจินตนาการไว้มาก ดังนั้นข้าจึงรู้สึกพอใจมาก ข้าพอใจกับวิธีที่เขากับม่ออวี่ใช้สังหารโจวทงมากกว่า ยิ่งวิธีที่พวกเขาใช้โหดเหี้ยมมากเท่าไร เรื่องราวก็ยิ่งน่าตกใจเท่านั้น ซึ่งทำให้มันน่าจดจำมากขึ้นไปอีก แน่นอนว่าความชั่วของโจวทงก็ต้องรวมเข้าไปในเรื่องนี้ด้วย”
ซางสิงโจวมองไปที่จักรพรรดิหนุ่มผู้นั่งอยู่ฟากโต๊ะ “แม้ว่าโจวทงจะทรยศมารดาท่าน และถูกข้าใช้งาน ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าเขาได้ทำงานรับใช้มารดาท่านมานานหลายปี ดังนั้นความชั่วของเขาก็คือความชั่วของมารดาท่าน ยิ่งเฉินฉางเซิงเปิดเผยความชั่วออกมามากเท่าไร ภาพมารดาท่านก็ยิ่งแปดเปื้อนเท่านั้น คำต่อว่าที่ข้าต้อนแบกรับในการก่อกบฏต่อต้านนางก็น้อยลงเท่านั้น ในเวลาเดียวกัน ยิ่งศิษย์น้องท่านมีเกียรติยศมากขึ้นเท่าไร ข้าก็จะมีเกียรติยศชื่อเสียงมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรข้าก็มีแต่ได้กับเหตุการณ์ในคืนนี้ตราบใดที่ข้าประกาศราชโองการนั้นออกไปในทันที”
อวี๋เหรินกำลังคิดเรื่องหนังสือในวัดเก่าเมืองซีหนิง ปลาในลำธาร อสูรในภูเขา…
ซางสิงโจวกล่าวต่อ “วิธีจัดการเช่รนี้ดูดีทีเดียว แต่มันไม่ได้ใจแคบ หากเป็นการใช้สิ่งต่างๆ ได้อย่างเต็มที่”
อวี๋เหรินยกมือขึ้น ทำท่าทางถามว่า “หรือว่าทุกคนในจิงตูล้วนถูกท่านใช้ประโยชน์มาตั้งแต่แรกแล้ว”
“ในตอนแรกก็ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก แน่นอนข้าต้องการปกป้องโจวทงและข้าก็ตั้งใจจะทำเรื่องบางอย่างคืนนี้”
ซางสิงโจวอธิบายอย่างอดทน “แต่เมื่อเกิดเรื่องต่างๆ ขึ้น สิ่งต่างๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป ดังนั้นข้าจึงต้องเปลี่ยนการตอบโต้”
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว การเปลี่ยนแปลงคือกฎเกณฑ์ที่ตายตัวใต้ท้องฟ้าพร่างดาว ทุกสิ่งในโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นี้ แม้จะเป็นเวลาไม่กี่ชั่วยามความเปลี่ยนแปลงมากมายก็ได้เกิดขึ้น เหมือนกับอากาศฤดูใบไม้ผลิซึ่งละลายน้ำแข็งหนาบนแม่น้ำ หากการตอบสนองไม่เหมาะสม แม้แต่สะพานเหล็กที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังถูกพัดไป
ซางสิงโจวไม่อธิบายว่าความเปลี่ยนแปลงนี้คืออะไร
บางทีอาจเพราะความแข็งแกร่งของเฉินฉางเซิงเหนือกว่าที่ทุกคนคาดเอาไว้และสามารถจะอยู่รอดมาได้ตลอดวัน กระบี่ของเขาจึงตัดผ่านพื้นดินที่แข็งจนเผยให้เห็นคุกโจวภายใต้แสงดาว บางทีอาจเป็นเพราะพระราชวังหลียังคงเงียบอยู่ตลอด หิมะและเมฆลอยอยู่บนฟ้าเฉกเช่นฝูงแกะที่ไม่เคยคิดจะข้ามรั้ว แน่นอนความเป็นไปได้มาที่สุดก็คือหวังผ้อได้ตัดแขนตัวเองและทะลวงผ่านสู่ขั้นต่อไป ทั้งยังสังหารเถี่ยซู่อีกด้วย
แล้วยังมีโคมไฟของจวนอ๋องบนถนนสันติที่ดับลงทีละดวง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมอาจารย์ถึงนามว่าซางสิงโจว[1]”
ซางสิงโจวพลันถามขึ้น
อวี๋เหรินรู้ว่าซางสิงโจวไม่ใช่ชื่อจริงของอาจารย์ อย่าน้อยเมื่อหกร้อยปีก่อนเขาถูกเรียกว่านักพรตจี้
การปรากฏขึ้นหรือได้รับชื่อนี้ย่อมต้องมีความหมายอยู่บ้าง
“ก่อนฝ่าบาทจะกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว เขาไม่ลืมประโยคที่ว่า ‘น้ำพยุงเรือได้ก็ล่มเรือได้’”
สายตาซางสิงโจวตกลงที่บางส่วนของตำหนัก ดวงตาเหมือนจะมองย้อนไปหลายศตวรรษก่อน
ทุกคนในต้าลู่รู้จักคำพูดที่โด่งดังนี้ และอวี๋เหรินก็ย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น เขารู้ว่า ‘ฝ่าบาท’ นั้นไม่ได้เอ่ยถึงพระบิดาเขาหากแต่เป็นพระอัยกา
“ในคืนนั้นฝ่าบาทบอกกับข้า ‘การเดินผ่านโลกนี้ก็เหมือนกับการล่องเรือข้ามมหาสมุทร ต้องเตรียมตัวและระมัดระวัง ไม่อาจฝืนทวนกระแสน้ำ มิฉะนั้นเรือจะล่ม”
ซางสิงโจวเสริมอย่างใจเย็นมาก “เมื่อทุกคนต้องการให้โจวทงตาย เมื่อนี่เป็นความต้องการของผู้คน ข้าก็ต้องตามน้ำ”
คำว่า ‘ตามน้ำ’ นี้สำคัญมากกับอาจารย์และศิษย์จากวัดเก่าเมืองซีหนิง เป็นเต๋าที่พวกเขาบำเพ็ญ
คืนนี้เองที่อวี๋เหรินตระหนักว่าต้นกำเนิดของมันมาจากประโยคที่ว่า ‘น้ำพยุงเรือได้ก็ล่มเรือได้’
ซางสิงโจวกล่าวต่อ “แน่นอน ตามกระแสน้ำไม่ได้หมายความว่าเชื่อฟัง เรือได้แต่หวังว่าน้ำจะสงบ มีคลื่นเพียงเล็กน้อย จะได้มีแรงต้านไม่มากนัก”
อวี๋เหรินทำท่าทาง “แต่สุดท้ายแล้ว เรือก็ย่อมพึ่งน้ำ”
“เว่ยกั่วกงเคยกล่าวว่า ‘ความไม่พอใจของขุนนางนี้ไม่น่ากลัว มีแต่ของประชาชนที่ต้องกลัว พวกเขาสามารถพยุงเรือและล่มเรือได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องได้รับการปฏิบัติอย่างระมัดระวัง’ แล้วข้าจะไม่กลัวพวกเขาได้อย่างไร”
ซางสิงโจวมองไปที่ดวงตาของอวี๋เหรินและกล่าว “แต่ตำแหน่งนั้นมีความสัมพันธ์กัน เมื่อเป็นเรือ ก็ไม่อาจคิดมากว่าน้ำคิดอะไรอยู่”
อวี๋เหรินทำท่า “สุดท้ายแล้วท่านยังต้องคิดเรื่องนี้ หรือไม่อาจารย์ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนใจเขาได้”
“ทุกคนคิดว่าข้าได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่ข้าแค่ถูกเจ้ากับพวกเขาหยุดเอาไว้”
สายตาของซางสิงโจวย้ายไปที่เอวของอวี๋เหริน บนจี้หยกที่ผู้นำตระกูลชิวซานมอบให้
“พวกคนหนุ่มสาวแบบเจ้าเอาชีวิตแขวนไว้บนเส้นด้าย เจ้าเอง ม่ออวี่ หวังผ้อและก็ศิษย์น้องของเจ้า”
“ข้าเลี้ยงศิษย์น้องของเจ้ามาสิบเจ็ดปี แล้วข้าจะทนฆ่าเขาได้อย่างไร ข้าได้แต่มองดูเขาฆ่าโจวทง”
“ทุกคนถามข้าเรื่องคืนนี้และข้าต้องมีมโนธรรมที่ชัดเจน”
ส่วนใดในคำพูดพวกนี้เป็นจริงและส่วนใดหลอกลวง อวี๋เหรินก็ยากจะแยกออกได้ แต่เขาเข้าใจ
โจวทงเป็นรอยด่างที่น่าเกลียดและสกปรกของกลุ่มผู้ปกครองใหม่ เฉินฉางเซิงก็เป็นหนามในใจอาจารย์
อาจารย์ไม่สนว่าใครจะตาย ตราบใดที่เขาไม่จำเป็นต้องทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
วันนี้ได้เกิดการต่อสู้น่าทึ่งขึ้นหลายครั้งและการไล่ล่าที่เกิดขึ้นในจิงตูก็เรียกได้ว่าสะเทือนไปทั่วโลกมนุษย์ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ใต้การควบคุมของอาจารย์
ไม่ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงใดขึ้น เขาก็ยังเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายอยู่ดี
หากหวังผ้อถูกเถี่ยซู่สังหารที่แม่น้ำลั่ว บางทีชัยชนะนี้อาจจะสมบูรณ์แบบไปแล้ว
“นี่ไม่ใช่แผนที่ข้าวางขึ้น ข้าไม่อาจควบคุมทุกอย่าง สุดท้ายแล้วข้าก็ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่จักรพรรดิไท่จง”
ซางสิงโจวปฎิเสธความคิดของอวี๋เหรินและกล่าว “วันนี้เป็นเหมือนบทเรียนมากกว่า หากฝ่าบาทต้องการจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แบบจักรพรรดิไท่จง และนำมนุษยชาติไปสู่อนาคตที่สดใสไร้สิ้นสุด ฝ่าบาทต้องรู้ที่จะแล่นเรือไปตามกระแสน้ำ ไม่ว่าฝ่าบาทจะเกลียดชังพวกคนงี่เง่าที่ชื่นชอบการทรมานเพียรไร ฝ่าบาทก็ยังต้องบังคับตัวเองให้เชื่อว่าพวกเขาเป็นมหาสมุทรที่แท้จริง ต้องรู้ว่าจะนำพวกเขาอย่างไร หลอกลวงพวกเขาอย่างไร จะยืมกำลังของพวกเขามาทำลายคลื่นได้อย่างไร”
อวี๋เหรินไม่อาจเข้าใจได้เลยและไม่คิดที่จะสนใจเรื่องนี้นัก เขาเพียงสนใจเรื่องเดียวเท่านั้น
เขาใช้มือทำท่า “อาจารย์ไม่ชอบศิษย์น้องจริงหรือ”
ซางสิงโจวคิดใคร่ควรญคำถามนี้แล้วก็ยิ้ม “ใช่ ข้าไม่ชอบเขา ข้าหวังจริงๆ ว่าเขาจะตาย ไม่แน่ข้าอาจหวังว่าเขาไม่ควรมีชีวิตอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว”
[1] สิงโจว (行舟) แปลว่า เรือพาย