ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 59 พิธีสังฆราชาภิเษก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ทุกคนรู้ว่าซางสิงโจวไม่ชอบเฉินฉางเซิงศิษย์ของเขา

ส่วนเหตุผลนั้น อวี๋เหรินกับเฉินฉางเซิงมีความเชื่อมโยงและมีความเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ทว่ากับผู้คนที่อยู่นอกวัดเก่าเมืองซีหนิง นี่เป็นคำถามที่ยากทำความเข้าใจที่สุดเสมอมา

จากมุมมองของครอบครัว ซางสิงโจวเลี้ยงดูเฉินฉางเซิงมาตั้งแต่ยังแบเบาะ ต่อให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการมาตั้งแต่แรก เฉินฉางเซิงก็ยังเป็นคนที่ควรได้รับความไว้วางใจกว่าผู้อื่น ต่อให้มองตามหลักเหตุผล เมื่อซางสิงโจวต้องการจะทำสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างการรวมมนุษยชาติเพื่อกำจัดเผ่ามารให้ได้ การสนับสนุนมู่จิ่วซือให้สืบทอดตำแหน่งสังฆราชและทำให้เกิดพันธมิตรกับดินแดนต้าซีนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะดีกว่าการให้เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราชและราชสำนักได้รับการสนับสนุนจากพระราชวังหลีอย่างเต็มที่

ไม่มีใครเข้าใจจิตใจของซางสิงโจว แม้แต่การคาดเดาของสังฆราชก็ยังไร้หลักฐาน หลังจากเฉินฉางเซิงกับซางสิงโจวเดินผ่านกันไปบนสุสานเทียนซูในเช้าวันนั้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติแต่ในเรื่องพวกนั้นซางสิงโจวไม่เคยแสดงจุดยืนอย่างแน่ชัด ไม่เคยประกาศเลยว่าเขาต้องการให้เฉินฉางเซิงตาย ต่อให้นี่เป็นความลับที่ทั้งโลกรู้ ก็ไม่เคยถูกเขียนเอาไว้ ไม่เคยแสดงผ่านการกระทำใด คืนนี้เขาสารภาพกับอวี๋เหริน เป็นครั้งแรกที่ซางสิงโจวเผยความตั้งใจของเขาให้โลกนี้ได้รู้

ท้องฟ้าพร่างดาวมืดลงในทันทีเมื่อจิตสังหารที่มองไม่เห็นปกคลุมไปทั่วจิงตู

ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะมีชีวิตอยู่หรือตาย ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง และจากท่าทีของซางสิงโจว ตอนนี้ มันยังเกี่ยวข้องอย่างมากกับการอยู่หรือตายของคนที่ทรงอำนาจอีกคน

พระราชวังหลีได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้ว สังฆราชจะไม่ยอมให้ซางสิงโจวทำร้ายเฉินฉางเซิงด้วยวิธีใดก็ตาม

ปัญหาก็คือ สังฆราชจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน

คืนนั้นในพระราชวังหลี ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น แสงดาวถูกหิมะที่ตกลงมาฉีกขาดเมฆสลายตัวตกลงบนเสื้อผ้าของมู่ฮูหยิน ทำให้ความงามของนางดูไม่เหมือนจริง

เมื่อรุ่งอรุณกำลังจะมาถึง ซางสิงโจวก็ออกจากวังหลวงในที่สุด มาถึงท่ามกลางชายคาสีเทาที่งดงามของวิหารเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าในพระราชวังหลี

เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ มู่ฮูหยินก็ได้จากไปแล้ว นำหิมะที่เต็มฟ้าและแสงดาวไปกับนางด้วย

นอกจากสังฆราชแล้ว พระราชวังหลีอนุญาตให้มีนักปราชญ์เข้ามาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น หากมามากเกินก็หมายถึงการประกาศสงครามกับนิกายหลวง

ในคืนนั้นซางสิงโจวกับสังฆราชมีการสนทนากันอย่างยาวนาน เป็นไปได้มากว่าเป็นการสนทนาครั้งสุดท้ายที่พวกเขามีในชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาพูดคุยอะไรและราชสำนักกับนิกายหลวงบรรลุข้อตกลงอันใดกัน แต่นับจากวันนั้นสายลมฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นก็มาถึงจิงตูเร็วขึ้น บรรยากาศประนีประนอมค่อยๆ แพร่ไปในจิงตู เจ๋อซิ่วและม่ออวี่ถูกนำไปยังศาลยุติธรรม คนแรกถูกส่งไปแดนเหนือโดยกองทัพในทันที ส่วนอีกคนถูกส่งกลับไปสวนส้มจี๊ด โดนกักบริเวณอยู่ในบ้าน

เวลานี้ยังเป็นฤดูหนาว สายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านย่อมเป็นของปลอม ทุกคนรู้ว่าสถานการณ์นี้อาจดำรงอยู่เป็นเวลานานหรือพังทลายลงอย่างฉับพลันทันด่วน

ไม่มีใครรู้ว่าสังฆราชมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน หรือซางสิงโจวจะยึดตามคำสัญญาที่เขาให้ในคืนนั้นหรือไม่หลังจากสังฆราชกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว

บรรยากาศในจิงตูค่อยๆ ตึงเครียดขึ้น หลายคนสามารถที่จะเห็นลมฝนรุนแรง ไม่สิ นี่เป็นฤดูหนาว ดังนั้นจึงควรเรียกว่าพายุหิมะมากกว่า

ท่ามกลางความไม่สบายใจและการคาดคะเน  เมื่อปีใหม่มาเยือน หิมะตกหนักไปทั่วจิงตู ปกคลุมถนนและบ้านเรือนในจิงตูจนกลายเป็นสีขาวบาดตา

พระราชวังหลีถูกปกคลุมด้วยสีขาวที่งดงาม

เฉินฉางเซิงประคองสังฆราชเดินออกจากตำหนักที่เงียบสงบและมายังลานกว้างใหญ่ที่สุดในพระราชวังหลี

ช่วงไม่กี่ปีมานี้เขาได้มาเยี่ยมพระราชวังหลีอยู่บ่อยๆ แต่ที่เขาไปบ่อยที่สุดก็คือตำหนักที่เงียบสงบนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขากับสังฆราชมายังที่แห่งนี้

หิมะขาวเหนือหินสีเทาของลานกว้างเหมือนกับปูด้วยผ้าสักหลาด เสาหินที่ดูเหมือนไร้ระเบียบแต่อันที่จริงแล้วมีแบบแผนอยู่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีขาว ดวงจิตของเฉินฉางเซิงสัมผัสได้ถึงปราณโบราณที่ซ่อนอยู่ใต้ลานกว้างนี้ หากมันเป็นค่ายกล เช่นนั้นแล้วก็ย่อมไม่อ่อนด้อยไปกว่าผังลายจักรพรรดิ

เขามองไกลออกไปยังเงาเลือนรางของกลุ่มตำหนักท่ามกลางหิมะ เขารู้ว่าเป็นตำหนักหญ้าจันทรา วิหารกุ้ยชิง ลานตะไคร่… วิหารทั้งหกของพระราชวังหลี วิหารแต่ละหลังมีสมบัติล้ำค่าที่เป็นสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์นิกายหลวงและมีความแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ดังนั้นจึงทำให้มีผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหกแห่งนิกายหลวง

เขารู้ว่าทำไมสังฆราชจึงพาเขามาที่นี่

ปราณที่มั่นคงและศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นจากวิหารหญ้าจันทรา ตำหนักกุ้ยชิง และวิหารทั้งหกที่เหลือเพื่อแสดงถึงความภักดีต่อเขา

“หิมะปีนี้ตกหนักเกินไป”

สังฆราชมองผ่านหิมะไปทางทิศเหนือ เขากะพริบตาและใบหน้าตกกระแสดงความห่วงใยต่ออนาคต “ด้วยปัญหาภายในของเมืองเสวียเหล่า เผ่ามารอ่อนแออย่างไม่เคยเป็นมาก่อนใครจะรู้ว่ามีเผ่าต่างๆ มากมายแค่ไหนที่จะต่อสู้กันในพายุนี้ จะเกิดการนองเลือดมากเท่าไร เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงในปีหน้า ทัพหมาป่าจะต้องมุ่งลงใต้อย่างแน่นอน”

พายุหิมะทั้งงดงามและโหดร้าย เผ่ามารต้องได้รับความเสียหายอย่างหนัก ด้วยการกบฏนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่เมืองเสวียเหล่าจะฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับมาได้ในเวลาอันสั้น ภายใต้สถานการณ์นี้ การที่สังฆราชสรุปว่ากองทัพเผ่ามารจะลงใต้ในปีหน้านั้นไร้สาระอย่างที่สุด แต่เฉินฉางเซิงเข้าใจว่าการคาดการณ์นี้จะเป็นจริง เผ่ามารนั้นบ้าคลั่งและน่ากลัวที่สุด ยิ่งพวกเขาอ่อนแอเท่าไรก็ยิ่งกระหายเลือดและโหดร้ายขึ้นเท่านั้น เพราะพวกเขาเข้าใจดีว่า มีแต่ด้วยวิธีนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะผ่านช่วงเวลาที่เหนื่อยล้าที่สุดได้

            สังฆราชถอนหายใจ “ทั้งสองฝ่ายเกลียดชังกัน เป็นการดีที่จะจากไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”

คำพูดนี้เหมือนไม่มีที่มาที่ไป มีเพียงเฉินฉางเซิงที่สามารถเข้าใจได้ หลังจากการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู หลายคนเดาว่าเขาต้องการจะไปจากจิงตู อันที่จริงเขาต้องการจะจากไปอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็รู้ดีว่าอาจารย์ไม่มีวันปล่อยเขาจากไปเว้นแต่จะเป็นศพออกไป

ตอนนี้ดูเหมือนว่าบทสนทนาระหว่างนักปราชญ์ทั้งสองในพระราชวังหลีคืนนั้นได้เปลี่ยนแปลงบางสิ่ง

“ตกลง” เขาตอบ

สังฆราชดูเขาและกล่าว “เจ้าเป็นทายาทที่ข้าเลือก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเจ้าต้องกลับมา”

เฉินฉางเซิงตอบ “ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ต้องการข้า ข้าจะกลับมา”

สังฆราชกล่าว “เขาหวังจะได้พูดกับเจ้า”

เฉินฉางเซิงคิดแล้วก็ตอบ “ตกลง”

……

……

เมื่อพระราชวังหลีจุดไฟขึ้น หิมะที่ตกลงจากท้องฟ้าก็ดูประดุจดอกไม้สวรรค์ที่กระจายไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีความงามที่ทำลุ่มหลง

นักบวชและทหารม้านิกายหลวง รวมทั้งสาวกทุกระดับยืนอยู่ในลานกว้าง ส่องสว่างขึ้นเป็นระยะๆ ราวกับดวงตะวันขึ้นบนมหาสมุทรกว้าง

โถงใหญ่แห่งแสงส่องสว่างอย่างหาใดเปรียบมิได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมองไปตรงๆ ดูยิ่งใหญ่อย่างไม่อาจบรรยายได้

ภายในโถงใหญ่มีมุขนายกและมหามุขนายกหลายพันคำนับ ใบหน้าเคารพศรัทธา

ผนังหินค่อยๆ แยกตัวออก ภายใต้สายตาของสิบสองมหาบุรุษและวิญญาณแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์บนหิน สังฆราชกับเฉินฉางเซิงเดินออกมาจากแสง

สังฆราชรับมงกุฎศักดิ์สิทธิ์จากเหมาชิวอวี่และวางไว้บนศีรษะของเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงจับไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์และเดินมาด้านหน้า เพื่อรับคำอวยพร

ร่างเขาทื่ออยู่บ้าง แต่สีหน้าเคร่งขรึมอย่างมาก ไม่มีเส้นผมสักเส้นที่ไม่อยู่ทรง ไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย แม้แต่เรื่องเล็กน้อยที่สุดในคัมภีร์เต๋าก็ยังได้รับการเติมเต็ม มันเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ