บทที่ 3039 ปัจฉิมบท 4
เขาถอยหลังไปไม่กี่ก้าวอย่างรวดเร็ว หลังจากยืนได้มั่นคงแล้ว รู้สึกเพียงว่าความเจ็บปวดบริเวณหัวไหล่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจ แถมยังทรมานด้วยความเหน็บชา ราวกับมีมดนับไม่ถ้วนมุดเข้าไปในปากแผล ความรู้สึกนั้นยากจะบรรยายได้ เขาใจหายวาบ ปรายตามองในทันใด มีโลหิตที่เจือสีทองจางๆ ไหลออกมาจากแผล
ถูกพิษแล้ว!
และพิษนี้ก็พิสดารยิ่ง เขาทะนงตนว่าเป็นปรมาจารย์ด้านศาสตร์พิษ ทว่าไม่เคยพบเห็นพิษชนิดนี้มาก่อนเลย…
เขาเงยหน้าขึ้นทันที มองไปที่จิตมาร
จิตมารกลับไม่ได้ไล่ตามมาซ้ำเติม เพียงยิ้มละไมมองดูเขาอยู่ รอยยิ้มนั้นเจิดจรัสภาคภูมิ น้ำเสียงอ่อนโยน “ฟั่นเชียนซื่อ เจ้าบอกว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ของเปิ่นจุนตลอดไป ทว่าเปิ่นจุนไม่ต้องการให้เจ้าเป็นศิษย์ จงเป็นทาสรับใช้เสียเถอะ!”
ฟั่นเชียนซื่อรับรู้เพียงว่ามีบางสิ่งกำลังคืบคลานเข้ามาจากบาดแผล ว่ายขึ้นไปตามเส้นเลือดของเขาอย่างรวดเร็ว คล้ายกำลังจะมุดเข้าสู่สมองเขา ทำให้เขาวิงเวียนตาลายไปในทันใด…
ไม่น่าเชื่อว่าตนจะถูกพิษได้เช่นกัน!
ฟั่นเชียนซื่อคบค้าคลุกคลีกับพิษอยู่ทุกวัน ร่างกายร้อยพิษไม่กล้ำกรายมานานแล้ว เขามั่นใจว่าโลกนี้ไม่มีพิษใดที่สามารทำร้ายเขาได้ คาดไม่ถึงว่าหนนี้จะถูกตบหน้าเข้าแล้ว!
โชคดีที่เขาพกโอสถล้ำค่าที่แก้ได้สารพัดพิษติดตัวมา จึงกินเข้าไปทันที
จิตมารเอียงคอมองเขา ตีสีหน้าไร้เดียงสา “ไม่มีประโยชน์หรอก พิษนี้ไร้ยาแก้ เจ้ามีแต่ต้องเป็นทาสรับใช้ที่เชื่อฟังเปิ่นจุนเท่านั้น!”
“นี่คือพิษอะไร?” ฟั่นเชียนซื่อหอบหายใจนิดๆ
“ผูกรักนิรันดร์” จิตมารยิ้ม รอยยิ้มยังค่อนข้างไร้เดียงสาอยู่ “พิษนี้ได้มาจากคุณชายคนหนึ่งที่หลงเข้ามาที่นี่ ถึงแม้วรยุทธ์ของคุณชายผู้นี้จะไม่เอาไหน แต่วิชาพิษกลับเลิศล้ำเข้าขั้นเทวาแปลง แม้แต่เปิ่นจุนก็เกือบจะต้องพิษของเขาแล้ว หลังจากเปิ่นจุนกลืนกินเขาเข้าไป วิชาพิษทั้งหมดของเขาก็ได้ส่งต่อมายังเปิ่นจุน พิษนี้ต้องใช้โลหิตหัวใจของคู่รักหนึ่งพันคู่เพื่อสกัดออกมา หลอมสกัดได้ยากนัก มีแค่ขวดเล็กๆ ขวดเดียว ใช้หมดหนนี้ก็ไม่มีอีกแล้ว…”
แววตาฟั่นเชียนซื่อโชนแสง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าหลอมสกัดพิษนี้ ด้วยต้องการจะผูกรักกับข้าไปชั่วนิรันดร์หรือ? อันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องวางยาพิษข้า ข้าก็อยากอยู่ข้างกายเจ้าอยู่แล้ว อยู่กับเจ้าไปยืนยาวเนิ่นนาน…”
จิตมารหัวเราะเยาะคราหนึ่ง “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พิษนี้มิได้ทำให้เจ้าหลงรักเปิ่นจุน แต่ทำให้เจ้าเชื่อฟังเปิ่นจุนตลอดไป เมื่อพิษนี้แล่นเข้าสู่สมอง เจ้าก็จะเชื่อฟังยิ่งนัก เปิ่นจุนให้เจ้าทำสิ่งใดเจ้าก็จะทำสิ่งนั้น…”
ที่แท้ก็จะทำให้เขากลายเป็นหุ่นเชิด
ฟั่นเชียนซื่อทอดถอนใจ “อันที่จริงแล้วเจ้าจะวางยาพิษไปไย? ข้าจริงใจต่อเจ้าเสมอมา ต่อให้ไม่ต้องวางยาพิษเจ้าให้ข้าทำสิ่งใดข้าก็ทำสิ่งนั้นให้อยู่แล้ว”
“โกหก! เจ้าวางแผนต่อเปิ่นจุนชัดๆ คิดจะใช้เปิ่นจุนเป็นตัวหมากของเจ้า…ก่อนหน้านี้เจ้าก็ยอมรับทุกอย่างแล้ว อย่าหมายจะเล่นลิ้นอีกเลย”
“อาจารย์ ที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ ก็แค่จะยั่วโมโหสองคนนั้น มิใช่ความจริงเลย ท่านดูเอาเถิดเราสู้กันมาถึงตอนนี้ ท่านทำร้ายข้าเช่นนี้ ข้าไม่ทำอะไรกับท่านเลย หากว่าข้าวางจุดอ่อนอันใดไว้ในร่างของท่านจริงๆ มิใช่สมควรจะใช้ออกมาตั้งแต่แรกหรอกหรือ? อาจารย์ ท่านเป็นคนฉลาด ต้องทราบแน่ว่าศิษย์ถูกปรักปรำ…”
เขายื่นมือออกไปหาจิตมาร น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าเดิม “มอบยาถอนพิษให้ข้าดีหรือไม่?”
จิตมารเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มนิดๆ บอกเขาอย่างเสียใจยิ่งว่า “ไม่มียาถอนพิษ คุณชายพิษคนนั้นนิสัยสุดโต่งยิ่ง ยาพิษที่เขาหลอมกลั่นขึ้นมาล้วนไม่มียาถอนเลย”
ฟั่นเชียนซื่อตะลึงงัน!
แววตาเขาดำดิ่งลงไป ร่างกายพลันสะท้านคราหนึ่ง ราวกับจะยืนไม่อยู่แล้วสองแขนก็กวัดแกว่งไปมาสองสามที เกิดแสงหลากสีหลายสายพุ่งออกมา
ท่าทางที่ดูคล้ายจะไม่ได้ตั้งใจของเขา ความจริงแล้วเป็นการร่ายอาคมออกมา เป็นอาคมกระตุ้นจุดอ่อนที่อยู่ในดวงวิญญาณของจิตมารให้เปิดทำงานขึ้นมา…
วิธีนี้เขาเคยทดลองกับร่างของคนอื่นมาแล้ว ใช้ร้อยครั้งได้ผลร้อยครั้ง ไม่เคยล้มเหลวเลย
————————————————————————————-
บทที่ 3040 ปัจฉิมบท 5
เดิมทีคิดจะรอให้คุกวารีระโหยเสร็จสมบูรณ์จริงๆ ก่อนค่อยร่ายอาคมนี้ออกมา แต่ตอนนี้ไม่สนใจแล้ว!
เขารู้สึกว่าพลังที่ยากจะอธิบายได้ที่อยู่ในเส้นเลือดนั้นพยายามจะพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างสุดชีวิต หากมิใช่เพราะเขาสร้างเกระกำบังขึ้นในเส้นเลือดที่เชื่อมไปสู่สมองได้ทันกาล เกรงว่าพิษนั้นคงแล่นเข้าสู่สมองเขาไปนานแล้ว!
พิษนั้นร้ายแรงยิ่ง กำบังที่เขาก่อขึ้นตกอยู่ในภาวะวิกฤตแล้ว หากว่าเขาไม่นั่งเข้าฌานหาวิธีขจัดพิษอีกล่ะก็ เกรงว่าคงได้กลายเป็นหุ่นเชิดของจิตมารตนนี้เข้าจริงๆ! ดังนั้นต้องรีบสู้รีบตัดสิน!
ผ่านไปครู่หนึ่ง
ร่างกายของจิตมารที่ยืนมองเขาอย่างสง่างามอยู่ตรงนั้นจู่ๆ ก็สะท้านโยกไกวดุจลูกตุ้ม ฝีเท้าซวนเซ แทบจะล้มคว่ำแล้ว!
นางเงยหน้าขึ้นทันที มือทาบหน้าอก ในดวงตาคู่นั้นมีสีแดงฉานหมุนวนอยู่ “สารเลว เจ้าทำอะไรข้า?!”
ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งกำลังทุบหน้าอกของนางอย่างหนักหน่วงอยู่ ทุบจนสามจิตเจ็ดวิญญาณของนางไหวสะท้านไปตามๆ กัน เสมือนกำลังจะถูกแยกออกจากกันแล้ว!
คล้ายว่านางตระหนักถึงอันใดขึ้นมาได้ โทสะลุกโชนอยู่ในดวงตา “เป็นเจ้าเล่นเล่ห์สินะ! เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าไม่ได้ว่างจุดอ่อนไว้ในดวงวิญญาณเปิ่นจุนอีก!”
สีหน้าฟั่นเชียนซื่อแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ดวงตาเขาฉายแววไม่อยากจะเชื่อแวบหนึ่ง
ไม่น่าเชื่อว่าอาคมของเขาจะเกิดข้อผิดพลาดอยู่บ้าง…
ว่ากันตามหลักแล้ว อาคมนั้นที่เขาสำแดงออกมาเมื่อครู่ เพียงพอจะกระชากจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในร่างของจิตมารออกมาได้แล้ว!
ขอเพียงแยกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ออกมาได้ วรยุทธ์ของจิตมารก็ลดลงไปกว่าครึ่ง และไม่หลงเหลือเจตจำนงในการต่อสู้อีก จิตมารที่ไม่มีเจตจำนงในการต่อสู้ก็เป็นเพียงพยัคฆ์เฒ่าไร้เขี้ยวเล็บเท่านั้น เขาสามารถควบคุมได้ง่ายยิ่ง…
แต่ตอนนี้ หลังจากสำแดงอาคมนี้ออกไป จิตมารตนนี้เพียงส่ายโงนเงนเสมือนถูกกระหน่ำชกเท่านั้น จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ยังคงอยู่ดีในร่างนาง!
แถมแผนการของเขายังเปิดเผยออกมาแล้วด้วย!
จิตมารโกรธเกรี้ยวนัก เจตจำนงในการต่อสู้คุโชนอยู่ในดวงตา ยันสองฝ่ามืออกไป โผเข้าใส่ฟั่นเชียนซื่ออย่างดุดัน “สารเลว เจ้าวางแผนต่อเปิ่นจุนจริงๆ ด้วย!”
ในใจฟั่นเชียนซื่อขมขื่นเหลือแสน มาถึงยามนี้เขาไม่อาจเล่นลิ้นได้อีกต่อไป ทำได้เพียงเข้าต่อสู้กับอีกฝ่ายอีกครั้ง
เขายังไม่ถอดใจ ระหว่างการต่อสู้ได้ร่ายอาคมทำลายจุดอ่อนของนางอยู่เป็นระยะๆ ผลคืออย่างมากก็ทำให้นางสะท้านซวนเซเท่านั้น ไม่เพียงแต่ไม่เป็นผลเท่านั้น กลับยั่วยุให้นางคลุ้มคลั่งมากยิ่งขึ้น เจตจำนงแห่งการต่อสู้ในกายลุกโชนโชติโชนดุจดวงตะวันแล้ว!
นางเงยหน้ากู่ร้องคราหนึ่ง สายลมยะเยือกรอบข้างพัดอื้ออึง ในทันใดนั้นเอง เนินหินตะกอนที่เดิมทีถูกการต่อสู้ของพวกเขาซัดจนราบเรียบโล่งเตียน กลายเป็นทรายเหลืองอร่ามท่วมท้นอุณหภูมิพลันลดฮวบลงไปทันที จับตัวกลายเป็นทุ่งน้ำแข็งแล้ว เกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนดุจใบมีด ระดมซัดเข้าใส่ศีรษะและใบหน้าของฟั่นเชียนซื่อแล้ว!
นางบ้าคลั่งแล้ว!
….
เดิมทีกู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีคอยรับชมอยู่ในคุกวารีระโหยอย่างเรื่อยเฉื่อยใจเย็นมาโดยตลอด แผนการของตี้ฝูอีคือรอจนพวกเขาต่อสู้กันไปพอสมควรแล้ว ฟั่นเชียนซื่อทำลายจุดอ่อนของจิตมาร เขากับกู้ซีจิ่วก็จะออกไปต่อกรกับฟั่นเชียนซื่อ…
กลับคาดไม่ถึงว่าอาคมของฟั่นเชียนซื่อจะใช้การไม่ได้! จิตมารไม่เพียงแต่ไม่ถูกควบคุมเท่านั้น กลับกลายเป็นบ้าคลั่งไปแล้ว
ปริมาณของวารีทมิฬภายในคุกวารีระโหยที่เดิมทีไม่เพิ่มขึ้นมาแล้ว ถึงขั้นที่อุณหภูมิลดลงไปบ้างแล้วด้วย ทำให้พวกเขาอยู่ในนี้ได้โดยไม่ถึงขั้นทุกข์ทรมานจนเกินไป หลังจากจิตมารตนนี้บ้าคลั่งขึ้นมา ไม่น่าเชื่อว่าวารีทมิฬจะพลุ่งพล่านขึ้นมาปานหม้อน้ำเดือด!
ด้านนอกมีหิมะปลิวว่อน ทว่าภายในคุกวารีระโหยดุจลังถึงก็มิปาน ร้อนอย่างยิ่ง!
นี่ยังไม่ได้กล่าวถึง ท่ามกลางวารีทมิฬนั้นมีกะโหลกเรืองแสงสีแดงมากมายโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า อ้าปากกว้างขาวเผือด เผยเขี้ยวโง้งคมกริบออกมา พุ่งเข้าชนเขตแดนของพวกตี้ฝูอีทั้งสองอย่างรุนแรง! คล้ายว่าต้องการจะชนเขตแดนนี้ให้แตก แล้วลากคนที่อยู่ด้านในออกมากัดกิน…
เมื่อวารีทมิฬปั่นป่วนขึ้นมาเรื่อยๆ หัวกะโหลกก็โผล่ออกมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม รอบๆ เขตแดนของคนทั้งสองก็เต็มไปด้วยหัวกะโหลกแล้ว เนืองแน่นแออัดจนน่าตกใจยิ่ง
———————————————————————