ประมุขหอสิงของหอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซานกำลังเงยหน้าดูการต่อสู้อยู่อย่างตื่นเต้น มือหนึ่งถือตำราเอาไว้ จดบันทึกเหตุการณ์การต่อสู้ลงไปอย่างไม่หยุดหย่อนพลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะเสียงต่ำอย่างพรั่นพรึง “มิน่าเล่า มิน่าเล่าก่อนหน้านี้จักรพรรดิเทพหิมะเหินจึงได้พูดขึ้นมาสองประโยค ก็มิได้ขอความเมตตาแต่อย่างใด ทั้งยังมิได้พยายามเสนอสมบัติให้เพื่อแก้ปัญหา หากแต่ลงมืออย่างรวดเร็วยิ่ง ที่แท้พลังยุทธ์ของเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าประมุขพรรคเงามารเลยแม้แต่น้อย!”
“การต่อสู้ของระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สองคนเลยทีเดียวนะ ข้า ข้าสิงอี้ ชั่วชีวิตนี้ก็มีสิทธิ์ได้จดบันทึกการต่อสู้ระหว่างผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สองท่านด้วยอย่างนั้นหรือ” ประมุขหอสิงรู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างล้วนราวกับภาพฝัน เขาเป็นเพียงแค่ผู้รับผิดชอบหอจิตฟ้าแห่งหนึ่งของเมืองเล็กอันห่างไกลอย่างเมืองจวิ้นซานเท่านั้นเอง ในบรรดาหอจิตฟ้าจำนวนมากมายของเผ่าจิตฟ้า ก็นับว่าเขาเป็นประมุขหอจิตฟ้าระดับล่างสุดแล้ว
แต่เรื่องจริงก็คือขณะนี้เขากำลังจดบันทึกการต่อสู้ในขณะนี้อยู่จริงๆ
“จักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์หรือ เจ้าเถี่ยเฉิงหลิ่วที่สมควรตายผู้นั้น” จ้าวภูเขาค้างคาวมองดูการต่อสู้อันน่าหวาดหวั่นกลางอากาศนั้น น้ำวนห้วงอากาศดำทะมึนอันน่าหวาดหวั่นนั้นห่อหุ้มและกดดันประมุขพรรคเงามารอย่างบ้าคลั่ง ระลอกผลกระทบใดๆ สายหนึ่งล้วนสามารถผลาญสังหารเขา จ้าวภูเขาค้างคาว ได้ทั้งสิ้น!
ตอนนั้นเขา ภูเขาค้างคาว ถึงกับกล้าส่งจ้าวเทพสามคนไปลอบสังหารอย่างนั้นหรือ
“โชคดีที่จักรพรรดิเทพหิมะเหินมีกำลังมาก” จ้าวภูเขาค้างคาวเอ่ยพึมพำ
แต่เขากลับไม่รู้ว่า
ตอนนั้นพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงที่มาในตอนแรกยังมิได้ฟื้นฟูจริงๆ อยากโจมตีภูเขาค้างคาว นอกจากสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณแล้ว แต่การมาเป็นแขกของโลกแห่งอื่น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่อยากจะสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณ ถ้าหากเป็นพลังยุทธ์เช่นในตอนนี้ เกรงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือครั้งเดียวก็สามารถสังหารจ้าวภูเขาค้างคาวได้แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นมิได้กำจัดทิ้ง ในภายหลังจ้าวภูเขาค้างคาวทำการขอขมา หลายปีมานี้ก็ทำดีต่อจวนหิมะเหินมาโดยตลอด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมมิได้เอาความอีกต่อไปแล้ว
******
“หืม”
ถึงแม้ว่าจะทำให้ตนได้รับบาดเจ็บได้ แต่ประมุขพรรคเงามารกลับมิได้ใส่ใจ ที่ผิวหนังภายนอกได้รับบาดเจ็บนี้แทบมิได้ส่งผลต่อการสูญเสียพลังชีวิตเลย
“เขาเป็นผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายอย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าพลังคุกคามของเคล็ดวิชามิได้แข็งแกร่งพอ แต่ก็แปลกประหลาดยากคาดเดา ยากที่จะต่อกรด้วยเป็นอย่างยิ่ง” ประมุขพรรคเงามารสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย “มิน่าเล่า เป่ยเหอจึงได้เชิญข้าและอูเจ๋อมาร่วมลงมือด้วยกัน”
เคล็ดวิชามากมายของตงป๋อเสวี่ยอิงก่อนหน้านี้ล้วนไม่สามารถทำร้ายเขาได้เลย
ต่อมาก็ยังเป็นน้ำวนดำทะมึน หลายร้อยฝีหอก ก่อตัวเป็นน้ำวนห้วงอากาศดำทะมึนมากมายซ้อนทับกันขึ้นมา ถึงจะสามารถทำร้ายประมุขพรรคเงามารได้
“ไม่เล่นเป็นเพื่อนเขาแล้วดีกว่า” ประมุขพรรคเงามารนัยน์ตาเยียบเย็น
“โฮก…”
ประมุขพรรคเงามารอ้าปากกว้าง
เสียงโหยหวนบาดหูอันน่าหวั่นเกรงดังออกมาในทันใด ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพุ่งแหวกน้ำวนห้วงอากาศดำทะมึนเบื้องหน้า อีกทั้งยังพุ่งตรงปะทะไปถึงยังเบื้องหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงอีกด้วย
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญกับการปะทะของเสียงโหยหวนนี้ ถึงแม้ว่าจะสำแดงวิชาหอกต้านทานเอาไว้ แต่ก็ยังมีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างส่งผลกระทบไปทั่วสรรพางค์กาย การกลายเป็นอากาศธาตุถ่ายถอนการปะทะไปเป็นอันมาก ตอนนี้ร่างกายก็ไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายเกิดอาการชา ห้วงสมองรู้สึกได้ถึงการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า แต่วิญญาณกล้าแกร่ง ก็ย่อมสามารถต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว
“ในที่สุดประมุขพรรคเงามารก็ใช้ท่าไม้ตายแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ข้อมูลของหอจิตฟ้าได้บันทึกสามท่าไม้ตายของประมุขพรรคเงามารผู้สามารถจัดเป็นลำดับที่เก้าของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพเอาไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว
พรึ่บ
ด้านหลังของประมุขพรรคเงามารพลันมีเสียงดังขึ้น ปีกโครงกระดูกคู่หนึ่งพลันปรากฏออกมา บนปีกยังมีชั้นเคลือบสีแดงเข้มชั้นหนึ่งอยู่อีกด้วย ความเร็วของประมุขพรรคเงามารก็พุ่งทะยานขึ้นมาในทันที
“พรึ่บๆๆ…” เงารางเก้าสายล้อมโจมตีเข้ามา
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ว่าประมุขพรรคเงามารรวดเร็ว สามารถปรากฏตัวภายในเงารางใดๆ ก็ได้
นี่มิใช่การเคลื่อนที่หรือว่าจิตสัมผัสศาสตร์โบราณพรสวรรค์แต่อย่างใด เป็นความเร็วล้วนๆ! อัตราเร็วรวดเร็วกว่า ‘วิถีกายแมลงมารห้วงอากาศ’ ของตนราวๆ เท่าหนึ่ง! ความแตกต่างก็มากมายจนเหนือธรรมดาอยู่บ้างแล้ว ก็เป็นเรื่องปกติ ประมุขพรรคเงามารขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีความเร็วอันดับสองของโลกเทพ แม้กระทั่งเจ้าเมืองหงส์เมฆาและบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์คนอื่นๆ จำนวนหนึ่งก็มีความเร็วสู้เขามิได้
“พรึ่บๆๆ” มือทั้งคู่แต่เดิมของประมุขพรรคเงามารกลับกลายเป็นกรงเล็บแหลมคมขนาดมหึมา ผิวเคลือบสีแดงเข้มบนกรงเล็บถึงขนาดที่ตกผลึกอย่างสมบูรณ์แบบ กรงเล็บคู่นี้จึงจะเป็นอาวุธที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของเขา
ประมุขพรรคเงามารอ้าปากเป็นครั้งคราว เสียงโหยหวนเสียงแล้วเสียงเล่าพุ่งปะทะ เสียงโหยหวนที่พุ่งปะทะอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อตงป๋อเสวี่ยอิง
ความเร็วที่น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุดห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ทุกกรงเล็บกดดันจนตงป๋อเสวี่ยอิงได้แต่สำแดงหอกยาวต้านทาน
“เห็นได้ชัดว่าพลังคุกคามของเคล็ดวิชามากมายต่างๆ แข็งแกร่งกว่าข้า แต่การสำแดงออกจะหยาบไปสักหน่อย ข้าสามารถต้านทานเอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง” ขณะนี้ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะตกเป็นรองอยู่เล็กน้อย แต่การต้านทานก็มิได้รั่วไหลเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเหล่าผู้แกร่งกล้าที่ไปถึงระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ก็กำลังไล่ตามความเร้นลับของเคล็ดวิชา แต่ต่อให้ไล่ตามยิ่งกว่านี้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญพลังสายโลหิต
เร้นลับยิ่งกว่านี้ จะเปรียบกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงที่หยั่งรู้กฎเกณฑ์ได้อย่างไรกัน! เหล่าผู้เหินทะยานก็กำลังหยั่งรู้วิถีอยู่เช่นกัน
พวกเขาไม่มีพลังสายโลหิต ทำได้เพียงแค่หยั่งรู้วิถีของคนเองเท่านั้น
“ข้าทำอะไรเขามิได้ เป่ยเหอ อูเจ๋อ ลงมือ” ประมุขพรรคเงามารถ่ายเสียงให้กับสหายทั้งสอง
……
จักรพรรดิเป่ยเหอและเจ้าเมืองอูเจ๋อ ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สองท่านนี้มาถึงยังเมืองจวิ้นซานอย่างลับๆ ก่อนหน้านี้แล้ว
พวกเขาสองคนต่างก็เก็บงำกลิ่นอายเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ เพียงแค่แกล้งสำแดงกลิ่นอายจ้าวเทพช่วงต้นออกมาเท่านั้น มาถึงระดับขั้นอย่างจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์นี้แล้ว การสะกดรอยตรวจสอบเหตุปัจจัยอย่างนั้นหรือ ไร้ประโยชน์! ตรวจสอบกลิ่นอายหรือ ก็ย่อมไม่สามารถตรวจสอบพบได้อยู่แล้ว
“เป็นผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายนี่เอง พี่เป่ยเหอ มิน่าเล่าท่านจึงต้องการให้พวกเราสามคนร่วมมือกัน” มุมปากของเจ้าเมืองอูเจ๋อเผยรอยยิ้มออกมา “แต่ก็มีพลังยุทธ์เพียงเท่านี้เอง พวกเราสามคนร่วมมือกันขึ้นมา ก็มีหวังที่จะปลิดชีพเขาได้”
“อืม” จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้า เพียงแต่ว่าในใจกลับรู้สึกไม่ดีนัก
เพราะมองดูประมุขพรรคเงามารและตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่กลางอากาศนั้น จักรพรรดิเป่ยเหอก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงนั้นเป็นเพียงแค่เคล็ดวิชาวิถีอากาศเท่านั้น
“เพียงแค่วิถีอากาศ เขาก็ไปถึงจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้วหรือ ถึงขนาดที่เทียบเคียงได้กับผู้บำเพ็ญสายโลหิตระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์เลยหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอพึมพำ “ถ้าหากเขาสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณอีก เกรงว่าพลังยุทธ์ของพวกเราสามคนก็คงจะได้รับผลกระทบมากพอสมควรเลยทีเดียว”
“ยังดี”
“เคล็ดวิชาวิญญาณของเขา ระดับแม่ทัพเทพในตอนนั้น ก็มีเพียงแค่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดเท่านั้นจึงจะจ่อมจมลงไปได้ แม่ทัพเทพที่แข็งแกร่งสักหน่อยก็สามารถต้านทานได้แล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอพึมพำ “ตอนนี้ข้ามาถึงระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์แล้ว เคล็ดวิชาวิญญาณของเขา คาดว่าก็คงจะส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของพวกเราถึงสองสามส่วนเลยทีเดียวกระมัง”
“พวกเราสามคนร่วมมือกัน! ถึงแม้ว่าจะอ่อนลงไปสักเล็กน้อย แต่ก็ส่งเสริมซึ่งกันและกันได้” จักรพรรดิเป่ยเหอคิด
นี่คือผู้ช่วยที่เขาตั้งใจเลือกเฟ้นมา
ถ้าหากเลือกจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สองคนมาอย่างสุ่มๆ ก็อาจจะยากยิ่งที่จะก่อให้เกิดความช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ซึ่งกันและกัน ก็มีเพียงแค่ข้อได้เปรียบทางด้านจำนวนเท่านั้น
แต่พวกเขาสามคนสำแดงเคล็ดวิชาร่วมกันขึ้นมา… ผลลัพธ์ก็ไม่เหมือนกันแล้ว
“ถึงแม้ว่าจะอ่อนลงสองสามส่วน แต่สามคนร่วมมือกันก็ยังพอมีความหวังที่จะสังหารเขาอยู่บ้าง” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยพึมพำ
จักรพรรดิเป่ยเหอและเจ้าเมืองอูเจ๋อประสานสายตากันคราหนึ่ง
“ลงมือ!”
……
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เงาร่างสองสายพุ่งแหวกท้องฟ้าราวกับอสนีบาต พุ่งทะลุค่ายกลป้องกันเมืองของเมืองจวิ้นซานอย่างง่ายดายราวกับการเจาะฟองสบู่ให้แตก
กลิ่นอายของเงาร่างสองสายนี้ล้วนน่าหวาดหวั่นไม่ธรรมดา
“ย้าก!!!”
ชายชราอาภรณ์เขียวคิ้วเขียวคนหนึ่งในบรรดานั้นส่งเสียงคำราม แต่ร่างกายกลับกลายร่างเป็นมังกรไอหมอกที่มีศีรษะเป็นมังกรตนหนึ่ง! มังกรไอหมอกนี้พุ่งตรงเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิงในทันใด ไอหมอกสีเขียวปริมาณมหาศาลพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้อย่างบ้าคลั่งด้วยความรวดเร็ว ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง แม้จะสำแดงวิชาหอกต้านทานเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ ไอหมอกเหล่านั้นแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณรอบๆ แล้วห่อหุ้มเขาเอาไว้อย่างรวดเร็วอย่างไม่มีทางต้านทานเอาไว้ได้เลย
การห่อหุ้มชั้นแล้วชั้นเล่าทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง พลังยุทธ์และความเร็วของเขาล้วนได้รับผลกระทบอย่างมหาศาล
“เคร้ง…”
ชายอาภรณ์เขียวชักกระบี่ยาวออกมา ประกายกระบี่ราวกับจะแยกฟ้าดินออกจากกัน ประกายกระบี่ที่ราวกับน้ำสายหนึ่งแยกทุกสิ่งทุกอย่างออกจากกัน อีกทั้งยังตัดแยกมาถึงยังตงป๋อเสวี่ยอิงนี่ด้วย ไอหมอกที่เดิมทีห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ก็แยกออกเป็นช่องว่างที่เล็กละเอียดอย่างยิ่ง ประกายกระบี่ก็ฟาดฟันเข้าไปพอดิบพอดีโดยไม่ถูกขัดขวางเลยแม้แต่น้อย
“เป่ยเหอ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูชายอาภรณ์เขียวผู้นั้น พลังยุทธ์ที่อีกฝ่ายสำแดงนั้นระเบิดเอาพลังยุทธ์ของระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ออกมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมจำได้ด้วยการมองเพียงปราดเดียวอยู่แล้วว่า ชายอาภรณ์เขียวก็คือ ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ผู้มาจากสถานที่แห่งเดียวกันกับตนนั่นเอง
……
เหล่าผู้แกร่งกล้าแต่ละฝ่ายภายในเมืองจวิ้นซาน เดิมทียังตื่นตระหนกกับพลังยุทธ์ของจักรพรรดิเทพหิมะเหิน แม้กระทั่งอวี้เฟิงชิงอินก็ยังเผยสีหน้ายินดีสายหนึ่งออกมา รู้สึกว่าอย่างน้อยปรมาจารย์ของนางก็ยังปกป้องตัวเองได้อย่างไม่มีปัญหา
“นี่มันอะไรกันหรือ”
ผู้แกร่งกล้าแต่ละฝ่ายต่างก็ตะลึงงันไปเสียแล้ว
มองดูเงาร่างสองสายที่พุ่งมาจากฟากฟ้าแล้วพุ่งทะลุค่ายกลป้องกันเมืองได้อย่างง่ายดายนั้น นั่นก็น่าหวาดหวั่นไม่ธรรมดาเช่นกัน มีกลิ่นอายระดับเดียวกันกับประมุขพรรคเงามารเลยทีเดียว
เงารางเก้าสายนั้น!
มังกรพิษไอหมอกตนนั้น!
ประกายกระบี่ที่ตัดแยกฟ้าดินนั้น!
“สามคน ระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามคนอย่างนั้นหรือ” ผู้คนทั้งหลายตะลึงลานไปเสียแล้ว
ประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้าที่รับผิดชอบจดบันทึกเหตุการณ์การต่อสู้ก็รู้สึกว่าปากคอแห้งผาก ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่านล้อมโจมตีผู้แกร่งกล้าเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ ในประวัติศาสตร์ของทั้งโลกเทพนั้นพบเห็นได้ยากยิ่ง ทุกเรื่องล้วนเพียงพอที่จะทำให้ทั่วทั้งโลกเทพต้องสั่นสะเทือนเลยทีเดียว
ประมุขหอสิงรีบรายงานขึ้นไปในทันทีด้วยสัญชาตญาณ “ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่านล้อมโจมตีจักรพรรดิเทพหิมะเหินอยู่ที่เมืองจวิ้นซาน ในตอนนี้เลยขอรับ!”
ข่าวคราวแพร่มาถึงศูนย์บัญชาการของหอจิตฟ้าอย่างรวดเร็ว
ส่วนเหล่าผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดของโลกเทพแต่ละคนต่างก็คอยติดตามข่าวสารอยู่ที่หอจิตฟ้าในระยะยาว เมื่อได้ข้อมูลมากจนถึงระดับหนึ่งแล้วก็ต้องถ่ายทอดให้กับบรรดาผู้แกร่งกล้าเหล่านี้ในทันที
แต่ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่านล้อมโจมตีผู้แกร่งกล้าเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ ข้อมูลเช่นนี้จะต้องแจ้งให้ทราบในทันที
ข่าวคราวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว
แพร่สะพัดไปยังขุมอำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายของโลกเทพ!
………………………………