ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 26 สังหารคนตาย

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งชิงยิ้มเยาะ “อาศัยตัวท่าน คิดจะพยายามสู้สุดชีวิตกับข้า ไปหยิบกระจกมาส่องตัวเองดูสิว่า ท่านคู่ควรหรือ” 

 

 

ใบหน้าเศรษฐีหวังแดงก่ำด้วยความเดือดดาล “เมิ่งชิง เจ้าอย่างรังแกคนอื่นมากเกินไป อย่าลืมเสียล่ะว่า แม่เจ้าเป็นอนุภรรยาข้า ข้ามีอำนาจในการชี้เป็นชี้ตายในตัวนาง” 

 

 

กลิ่นอายรอบตัวเมิ่งชิงเปลี่ยนไป เจือไปด้วยจิตสังหารอันหนาวสะท้าน ยื่นมือออกไปบีบคอเขาทันที “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางไม่ใช่อีกแล้ว ถ้าหากว่าท่านมีความคิดที่จะตบตีนาง ข้าจะให้ท่านตายโดยไร้ที่กลบฝัง!” 

 

 

เศรษฐีหวังถูกบีบคอจนเกือบจะหายใจไม่ออก 

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไป เมิ่งชิงถึงได้คลายมือออก หันกลับไปคว้ามือหลี่ชุ่ยฮวาเอาไว้ “ท่านแม่ พวกเราไปกันเถอะ!” 

 

 

หลังจากเศรษฐีหวังได้รับอิสระ ก็หอบหายใจเอาอากาศเฮือกใหญ่เข้าไปสุดชีวิต เห็นทั้งสองคนที่เดินออกนอกประตูห้องไปแล้ว ก็ตะโกนออกคำสั่งด้วยความเกลียดแค้น “ใครก็ได้มาหยุดพวกเขาเอาไว้เดี๋ยวนี้!” 

 

 

บ่าวรับใช้สิบกว่าคนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู ขวางคนทั้งสองไว้เอาไว้ 

 

 

“เมิ่งชิง หากเจ้ากล้าพาคนไป ข้าจะต่อสู้กับเจ้าจนตายกันไปข้าง” 

 

 

หึๆ! 

 

 

เมิ่งชิงหัวเราะเยาะ สายตากวาดมองผ่านหน้ากลุ่มคนที่ล้อมตัวเองเอาไว้ “อาศัยพวกเจ้า คิดว่าจะขวางข้าเอาไว้ได้หรือ” 

 

 

เขาเป็นถึงจอหงวนฝ่ายบู๊ของรัชสมัยปัจจุบัน บ่าวรับใช้ที่เศรษฐีหวังพามาด้วยล้วนรู้ดีว่าสู้เขาไม่ได้ แต่ว่านายท่านมีคำสั่ง พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะไม่ฟัง จึงพากันตั้งท่าต่อสู้ รอคำสั่งของเศรษฐีหวัง 

 

 

เศรษฐีหวังก็หัวเราะเสียงเย็นครู่หนึ่ง แสดงท่าทางได้ใจ เดินไปที่หน้าประตูอย่างไม่เร็วไม่ช้านัก “กิจการทั้งหมดของตระกูลข้าถูกพวกเจ้าวางแผนขายทิ้งไปหมดแล้ว ข้าในตอนนี้เรียกได้ว่าไม่มีอะไรอีกแล้ว คำโบราณกล่าวไว้ว่า คนที่ไม่มีสิ่งใดต่อสู้กับคนที่มีสิ่งที่ครอบครองอยู่มากมาย คนที่ชนะอยู่ร่ำไปก็คือคนที่ไม่มีสิ่งใด เพราะว่าเขาไม่มีอะไรจะต้องเสียอีก แล้วข้ามีอันใดที่ไม่กล้ากันเล่า” 

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าพูดพล่ามไร้สาระอีกเลย!” 

 

 

เมิ่งชิงกล่าวจบ ก็เตะเท้าใส่บ่าวรับใช้คนหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้าปลิวออกไปทันที 

 

 

อ้าก! 

 

 

โครม! 

 

 

สิ่งที่ตามมาจากการร้องเสียงดังด้วยความหวาดกลัวก็คือ บ่าวรับใช้คนนั้นร่วงลงไปกองอยู่กับพื้นไม่ไกลนัก  

 

 

ฝูงชนตื่นตระหนกในใจ โดยเฉพาะจั่งกุ้ยที่รู้สึกว่าพื้นเหนือศีรษะตัวเองใกล้จะถล่มลงมาแล้ว ถ้าหากว่าท่านบรรพบุรุษทั้งหลายปะทะกันขึ้นมาจริงๆ โรงเตี๊ยมแห่งนี้ของเขาจะต้องถูกแยกชิ้นส่วนอย่างแน่นอน 

 

 

เศรษฐีหวังก็ตกใจจนหัวใจบีบรัด ร่างกายอ้วนท้วมถอยกรูดไปด้านหลังเล็กน้อย ลนลานออกคำสั่งกับบ่าวรับใช้ “พวกเจ้าลงมือ!” 

 

 

คนทั้งสิบคนพุ่งเข้าไปลงมือกับเมิ่งชิง 

 

 

ถ้าหากว่ามีเพียงแค่ตนเอง ไม่ต้องเอ่ยว่ามีเพียงแค่สิบคนนี้ และถึงแม้ว่าจะมีมากมายกว่านี้อีกหลายเท่า เมิ่งชิงก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา ทว่าเขายังคงจับจูงหลี่ชุ่ยฮวาอยู่ แสดงวรยุทธออกมาไม่ได้ ทั้งยังเกรงว่าเจ้าพวกคนที่อยู่เบื้องหน้าพวกนี้จะทำร้ายนาง ดังนั้นจึงมีความกังวล ส่งผลให้ถูกทำร้ายไปหลายครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

 

 

เศรษฐีหวังที่เห็นทั้งหมดอยู่ในสายตา ก็ตื่นเต้น ตะโกนโหวกเหวกบัญชาการอยู่อีกด้าน 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาตกใจกรีดร้องออกมา จั่งกุ้ยที่ได้ยินก็หัวใจเต้นรัว รีบสั่งเสี่ยวเอ้อร์ว่า “ไปแจ้งเรื่องที่ศาลาว่าการ บอกว่าโรงเตี๊ยมพวกเรามีคนทะเลาะวิวาทกัน!” 

 

 

เดิมเขาอยากจะเอ่ยว่าจอหงวนฝ่ายบู๊ แต่ก็คิดได้ว่า ถ้าหากเอ่ยเช่นนั้น คนในที่ว่าการนายอำเภอคงไม่เชื่อ เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากจึงได้เปลี่ยนไป 

 

 

เสี่ยวเอ้อร์รับคำ รีบร้อนวิ่งออกไป 

 

 

ชั้นบน บ่าวรับใช้คนหนึ่งสบโอกาส เตะเข้าไปที่ร่างของหลี่ชุ่ยฮวา 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาหวีดร้อง ขาอ่อนแรง คุกเข่าลงบนพื้นทันที 

 

 

“ท่านแม่!” 

 

 

เมื่อเมิ่งชิงใช้กระบวนท่าที่ดุเดือดรุนแรง บีบให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหน้าตัวเองถอยไปได้คนหนึ่งแล้ว ก็ก้มตัวลงไป คิดที่จะประคองหลี่ชุ่ยฮวา 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาที่ลุกขึ้นอยู่หลายครั้ง แต่ยืนไม่สำเร็จ ก็เจ็บปวดจนเหงื่อออกเต็มหน้า หวาดกลัวจับใจ “ชิงเอ๋อร์ ดูเหมือนว่าขาของข้าจะหักเสียแล้ว!” 

 

 

บ่าวรับใช้อีกคนเห็นเหตุการณ์ ก็อาศัยช่วงที่เมิ่งชิงแบ่งความสนใจ ถีบเข้าที่แผ่นหลังเขาฝ่าเท้าหนึ่ง 

 

 

เมิ่งชิงที่ถูกถีบ ฝีเท้าก็โซเซเล็กน้อย เหยียบขาข้างที่บาดเจ็บของหลี่ชุ่ยฮวาพอดี 

 

 

กรี๊ด… 

 

 

คนที่อยู่ภายในโรงเตี๊ยมทุกคนล้วนได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมสูงอันน่าเวทนาดังลั่น และใจสั่นสะท้าน 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาเจ็บจนพูดไม่ออก 

 

 

เมิ่งชิงที่เดือดดาลขึ้นมาแล้วจริงๆ หันไปถีบคนปลิวไปคนหนึ่ง 

 

 

บ่าวรับใช้ที่ถีบโดนจอหงวนฝ่ายบู๊ยังไม่ทันได้ภาคภูมิใจในตัวเอง ก็ถูกเตะปลิวออกไป ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของฝูงชน ร่างของบ่าวรับใช้ร่วงลงจากชั้นสอง หล่นลงมากระแทกกลางห้องโถงชั้นหนึ่งอย่างแรง หลังจากดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง ก็กระอักเลือดออกจากปาก คอพับหัก หมดสติไป 

 

 

ฝูงชนแตกฮือด้วยความตื่นตระหนก ตะโกนเสียงดังวุ่นวาย “ฆ่าคนตายแล้ว! ฆ่าคนตายแล้ว!” 

 

 

เศรษฐีหวังตะลึงงัน เขาแค่อยากจะบีบให้เมิ่งชิงยอมศิโรราบ แต่ไม่ได้คิดจะทำให้คนเสียชีวิต หากตัวเองที่ไร้ญาติขาดมิตร ตัวคนเดียวในเมืองหลวง ถูกจวนที่ว่าการจับตัวไปไต่ถาม จะต้องประสบกับการทรมานร่างกายอย่างแน่นอน 

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เหงื่อเท่าเมล็ดถั่วก็หยดลงมา ริมฝีปากสั่นระริก ออกคำสั่ง “รีบ รีบไปดูว่าคนตายหรือไม่” 

 

 

บ่าวรับใช้ที่เหลือก็ตะลึงเช่นกัน คนทั้งหมดล้วนหยุดการเคลื่อนไหว เมื่อได้ยินคำสั่งของเศรษฐีหวังแล้ว บ่าวรับใช้ที่อยู่ห่างจากทางขึ้นลงบันไดมากที่สุดก็วิ่งตึงตังลงไปด้านล่าง สูดลมหายใจลึก ยื่นนิ้วมือออกไปอังใต้จมูกบ่าวรับใช้คนนั้น ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็กลับไปรายงานน้ำเสียงสั่น “นาย นายท่าน ไม่หายใจแล้วขอรับ!” 

 

 

ฝูงชนที่มุงดูอยู่วุ่นวายโกลาหล วิพากษ์วิจารณ์ร่างของบ่าวรับใช้ผู้นั้นอยู่ไกลๆ 

 

 

เศรษฐีหวังก็หน้าเปลี่ยนสี เพียงแต่มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ฉับไว หันหน้าไปยิ้มเยาะให้เมิ่งชิง “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมช่วยเหลือข้า เช่นนั้นก็รอเข้าคุกเสียเถอะ” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาอกสั่นขวัญแขวน จับมือเมิ่งชิงเอาไว้แน่น แต่ปากกลับเอ่ยโวยวายอย่างร้อนรน “ชิงเอ๋อร์ เจ้ารีบหนีไป หนีไปยิ่งไกลยิ่งดี” 

 

 

เมิ่งชิงก้มตัวลงอีกครั้ง และค่อยๆ ประคองนางขึ้นมา แทบจะไม่เห็นเรื่องนี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย 

 

 

ตอนที่ผู้บัญชาการโต้วของกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนครนำคนเข้ามาก็เห็นบ่าวรับใช้ผู้นั้นนอนนิ่งอยู่ที่พื้น เลือดยังคงรินไหลออกจากมุมปากไม่หยุด กำลังจะเอ่ยถามเสียงดัง จั่งกุ่ยก็รีบเข้ามาต้อนรับแสดงความเคารพประจบเอาใจ “ท่านผู้บัญชาการ ท่านผู้บัญชาการ ท่านดูนี่ขอรับ…” 

 

 

ผู้บัญชาการโต้วถอนสายตากลับมา หลังจากกวาดตามองฝูงชนที่มุงดูอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมกับเอ่ยถาม 

 

 

“เป็นผู้ใดที่หาญกล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายที่จับจ้อง ยังกล้าจะกระทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้อีกหรือ” 

 

 

เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากจั่งกุ้ยทันที อยากจะเอ่ยแต่ก็ไม่กล้าเอ่ย “เป็น เป็น…” 

 

 

ผู้บัญชาการโต้วตวาดใส่เขาอย่างหงุดหงิด “รีบพูด อึกๆ อักๆ ทำไมกัน” 

 

 

จั่งกุ้ยตัวสั่นเทิ้มอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังไม่กล้าเอ่ยออกมาให้ชัดเจน “เป็น เป็น…” 

 

 

“เป็นข้าเอง!” 

 

 

เมิ่งชิงที่ยืนอยู่ชั้นบนยอมรับเสียงดัง 

 

 

ตอนที่ผู้บัญชาการโต้วแหงนหน้ามองขึ้นไปเห็นเมิ่งชิงชัดเจน ก็ตื่นตะลึง วิ่งขึ้นไปชั้นบน กำหมัดทำความเคารพทันที “คาระรองแม่ทัพเมิ่งขอรับ!” 

 

 

“คน เป็นข้าที่เตะตกลงไป มีอะไรที่ต้องรับผิดชอบ ข้ารับผิดชอบเอง” 

 

 

ผู้บัญชาการโต้วมีท่าทางตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะสอบถามออกมา “รองแม่ทัพเมิ่ง นี่มันเพราะอะไรขอรับ” 

 

 

ต้องรู้ว่า เมิ่งชิงเพิ่งจะได้รับตำแหน่งจอหงวนฝ่ายบู๊ ทั้งยังถูกส่งตัวไปค่ายทหาร เพื่อเข้ารับตำแหน่งรองแม่ทัพ เป็นช่วงเวลาที่กำลังโดดเด่นเกรียงไกร จะทำเรื่องที่ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ครานี้ถึงกับทำลายอนาคตเลยนะ 

 

 

“บุญคุณความแค้นส่วนตัว ผู้บัญชาการโต้วไม่จำเป็นต้องถามต่อแล้ว จัดการเรื่องไปตามกระบวนการอย่างยุติธรรมเถอะ ข้าจะไม่ตำหนิอะไร” 

 

 

ท่ามกลางดวงตามากมายหลายคู่ที่จับจ้องมา ผู้บัญชาการโต้วคิดจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวก็ทำไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งชิงก็พูดเช่นนี้แล้ว จึงกำหมัดทำความเคารพอีกครั้ง “รองแม่ทัพเมิ่ง ล่วงเกินท่านแล้ว!” 

 

 

เอ่ยจบ ก็โบกมือ นายทหารสองนายก้าวเข้ามา ยืนขนาบอยู่ข้างกายเมิ่งชิงซ้ายหนึ่งขวาหนึ่ง 

 

 

เมิ่งชิงไม่ได้ขยับเท้า คลายถุงเงินที่อยู่ตรงเอวออก ยื่นให้กับผู้บัญชาการโต้ว “ผู้บัญชาการโต้ว ด้านในมีตั๋วเงินห้าร้อยตำลึง ท่านแม่ของข้าได้รับบาดเจ็บที่ขา รบกวนท่านช่วยหาท่านหมอมารักษาสักหน่อย และช่วยข้าจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยได้หรือไม่ เมิ่งชิงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณนี้เป็นอย่างมาก”