ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 25 สถานการณ์ตึงเครียด

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งชิงยืนอยู่ที่เดิม มองดูแผ่นหลังที่จากไปของเมิ่งเชี่ยนโยว ในใจก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด อย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ความโชคร้ายในปีนั้นของบิดาตัวเอง จะเกิดขึ้นเพราะนาง การที่นางและตระกูลของนางปฏิบัติต่อตนเองเป็นอย่างดีเช่นนี้ ก็เพียงแค่เพราะต้องการชดเชยให้ตนเอง 

 

 

ร่างกายเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรวดร้าว เศร้าเสียใจ คล้ายกลับว่าในเวลาต่อมาจะเสียสติฟั่นเฟือนอย่างไรอย่างนั้น ฝูงชนที่มุงดูอยู่รับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเขา ก็ถอยหลังให้ห่างไกลจากเขาไปตามๆ กัน 

 

 

“ชิง ชิงเอ๋อร์!” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาที่ยืนอยู่อีกด้าน ตะโกนเรียกเขาด้วยใจที่ไม่สงบ 

 

 

เมิ่งชิงมองนาง ไม่เอ่ยอะไร 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาจิตใจตึงเครียด “ชิง ชิงเอ๋อร์ ข้ายอมรับว่าในปีนั้นได้กระทำเรื่องที่ผิดต่อท่านพ่อของเจ้า แต่ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะนาง ถ้าหากว่าขาของพ่อเจ้ามิเป็นอันใด แม่ก็คงจะไม่เกิดความคิดเป็นอื่น และไม่ถูกหย่าขาด ยิ่งไม่ถูกนำไปขาย หลายปีมานี้ไม่อาจพบหน้าเจ้าได้แม้แต่ครั้งเดียว” 

 

 

เมื่อเอ่ยเรื่องเหล่านี้จบ ก็นึกถึงความทุกข์ทรมานที่ได้รับมาในหลายปีนี้ หยาดน้ำตาก็รินไหลออกมา 

 

 

เมิ่งชิงเม้มริมฝีปากสนิท มือทั้งสองข้างที่ตกอยู่ข้างตัวก็กำหมัดแน่น ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้คลายออก และยกมือขวาขึ้น ลูบไปบนผมสีขาวของหลี่ชุ่ยฮวาอย่างช้าๆ น้ำเสียงโศกเศร้า “ท่านแม่ ท่านได้รับความลำบากแล้ว!” 

 

 

“ฮือ…” 

 

 

เมิ่งชุ่ยฮวาโผเข้าไปกอดเขาทันที ส่งเสียงร้องไห้ออกมา หยาดน้ำตาเปียกชื้นเสื้อผ้าเขาอย่างรวดเร็ว” 

 

 

เมิ่งชิงเจ็บแปลบที่หัวใจ ยกมือข้างซ้ายขึ้น ใช้แขนเสื้อซับน้ำตาให้นาง “ท่านแม่ เรื่องราวล้วนผ่านไปแล้ว หลังจากวันนี้เป็นต้นไป บุตรชายจะกตัญญูต่อท่าน จะไม่ยอมให้คนมารังแกท่านอีก” 

 

 

อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ เศรษฐีหวังที่ได้สติคืนมา ก็ดีใจเสียจนแทบจะกระโดดตัวลอยขึ้นมาจากพื้น หลังจากจงใจส่งเสียงไออยู่สองสามครั้ง ก็ตะโกนเสียงสูงว่า “โอ๊ย เจ็บจะตายอยู่แล้ว ชุ่ยฮวา รีบมาประคองข้าให้ลุกขึ้นเร็วเข้า” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาที่กำลังร้องไห้เสียใจ ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ร่างกายจึงสั่นระริกอย่างอดไม่อยู่ เสียงร้องไห้หยุดลงในทันที เหลือบตามองไปทางเศรษฐีหวังด้วยความหวาดกลัว 

 

 

เศรษฐีหวังขมวดคิ้ว ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ทำท่าทางให้นางเข้ามาประคอง 

 

 

“ยังไม่รีบมาอีก!” 

 

 

หยาดน้ำตาของหลี่ชุ่ยฮวายังคงรินไหลเป็นสายอยู่บนใบหน้า แต่เท้ากลับก้าวออกไปเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ 

 

 

เมิ่งชิงดึงนางเอาไว้ มองไปทางเศรษฐีหวัง สายตาเย็นชา 

 

 

“ข้าต้องการไถ่ตัวท่านแม่ข้า มีเงื่อนไขอะไร เจ้าก็พูดมาเถอะ” 

 

 

วุ่นวายมานานขนาดนี้ ก็เพื่อประโยคนี้ เศรษฐีหวังได้ยินแล้ว ก็เบิกบานใจ ไม่พูดให้หลี่ชุ่ยฮวามาประคองอีกแล้ว ปีนลุกขึ้นด้วยตัวเองอย่างคล่องแคล่ว มองไปทางฝูงชนที่มุงดูอยู่ไกลๆครู่หนึ่ง และเอ่ยออกมาอย่างดีใจว่า “คุณชายเมิ่ง ที่นี่ไม่สะดวกจะพูดคุยกัน พวกเราขึ้นไปที่ชั้นบนกันเถอะ เชิญขอรับ!” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวายื่นมือออกไปคว้าปกคอเสื้อเขาเอาไว้ทันที พร้อมกับส่ายหน้าให้เขา หวังว่าเขาจะไม่ไป 

 

 

เมิ่งชิงเม้มริมฝีปาก พลิกมือจับมือนางเอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกลัว ทั้งหมดล้วนมีข้าอยู่ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บุตรชายจะไม่ยอมให้ท่านได้รับความทุกข์ทรมานอีกแล้ว” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาน้ำตารินไหลออกมาอีกครั้ง ผงกศีรษะสุดชีวิต  

 

 

เมิ่งชิงประคองนางแผ่วเบาเดินขึ้นไปชั้นบน 

 

 

เศรษฐีหวังรีบออกคำสั่งให้สาวใช้และบ่าวรับใช้ไปประคองนายหญิงหวังและหลานชายทั้งสองคนของตัวเองขึ้นมาที่ชั้นบน และรีบตามขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว 

 

 

เมิ่งชิงและหลี่ชุ่ยฮวานั่งอยู่บนม้านั่งในห้องที่นางพัก เศรษฐีหวังก็รีบร้อนตามขึ้นมา หลี่ชุ่ยฮวาเห็นแล้ว ก็รีบทำท่าจะลุกขึ้นยืน 

 

 

“ท่านแม่ ท่านนั่งเถอะ หลังจากนี้ไป ท่านไม่จำเป็นต้องดูสีหน้าใครอีก” 

 

 

การเคลื่อนไหวของหลี่ชุ่ยฮวาชะงัก สีหน้าของเศรษฐีหวังแข็งค้าง แต่ก็เอ่ยยิ้มๆ ออกมาในทันที “ใช่ๆๆ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้สูงศักดิ์ของข้า เจ้านั่งเถอะ ข้ายืนเอง” 

 

 

หลายปีมานี้ หลี่ชุ่ยฮวาไม่เคยได้รับการปฏิบัติด้วยเช่นนี้มาก่อน ในใจจึงไม่สงบเท่าไร หันไปมองเมิ่งชิง หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ก็ก้มศีรษะลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อตัวเองแน่นแล้วออกแรงบิด 

 

 

เศรษฐีหวังมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย คิดอย่างเหยียดหยามว่า คนที่ใช้การไม่ได้ก็ยังคงเป็นคนที่ใช้การไม่ได้อยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าเวลาใดก็ไม่อาจพาออกงานที่เป็นทางการได้ 

 

 

“กล่าวมาเถอะ ท่านมีเงื่อนไขอะไร” 

 

 

เมิ่งชิงถามเสียงเย็น 

 

 

เศรษฐีหวังรีบถอนสายตากลับมา มองไปทางเมิ่งชิง หัวเราะฮาๆ เอ่ยสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกออกมา “ข้าน่ะ ไม่ได้โลภหรอก ขอเพียงแค่ท่านช่วยจัดการให้หลานชายทั้งสองคนของข้ามีตำแหน่งขุนนางที่ดีในเมืองหลวงก็พอแล้ว” 

 

 

เมิ่งชิงหัวเราะออกมากะทันหัน หัวเราะจนเศรษฐีหวังขนลุกพรึบ “ไม่สู้ยกตำแหน่งจอหงวนฝ่ายบู๊ของข้าให้หลานชายท่านเป็นเช่นไรเล่า” 

 

 

เศรษฐีหวังกลับเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง จึงรีบโบกไม้โบกมือ เอ่ยปฏิเสธไม่หยุด “มิได้ๆ หลานชายสองคนของข้านั้นต่อสู้ไม่เป็น อีกอย่างข้าก็ไม่อยากให้พวกเขาได้รับความลำบากในกองทัพด้วยเช่นกัน” 

 

 

“อ่อ อย่างนั้นท่านคิดว่าหลานชายของท่านจะสามารถรับตำแหน่งขุนนางใดได้เล่า” 

 

 

เสียงของเมิ่งชิงทุ้มต่ำลง เพียงแต่ว่าเศรษฐีหวังยังคงตกอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความตื่นเต้น จึงฟังไม่ออก ทั้งยังเอ่ยถึงสิ่งที่ตัวเองคิดอย่างรอบคอบถี่ถ้วนแล้วออกมา  

 

 

“หลานชายทั้งสองคนของข้านั้น ฉลาดหลักแหลมตั้งแต่ยังเยาว์วัย อยู่เหนือผู้อื่นขั้นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารู้สึกว่าการเล่าเรียนลำบากเกินไป ไม่ยอมให้พวกเขาได้รับความลำบาก ไม่แน่ว่าหลานชายทั้งสองคนของข้าจะได้เป็นจอหงวนกับทั่นฮวาไปนานแล้ว ดังนั้นข้าจึงคิดว่า ตำแหน่งขุนนางนี้ ไม่สามารถให้พวกเขาเหนื่อยมากเกินไป ท่านว่า เข้ารับตำแหน่งในกรมคลังเป็นเช่นไร” 

 

 

เมิ่งชิงหน้าตึง ผงกศีรษะ “ข้าคิดว่าได้” 

 

 

เศรษฐีหวังเห็นเขาเห็นด้วยแล้วก็ยิ้มตาหยี ลูบเคราตัวเองอย่างได้ใจ พลางเอ่ยว่า “ตำแหน่งในกรมคลังนี้จัดการดูแลเรื่องจัดเก็บภาษีที่นา หลานชายของข้าสองคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น ทั้งยังสามารถหาผลประโยชน์จากตำแหน่งนี้ได้ด้วย นี่คือตำแหน่งขุนนางดีๆ ที่ข้าคิดออกมาเพื่อพวกเขา โดยไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวันหลายคืน” 

 

 

“ถ้าเช่นนั้น ยามที่ท่านนอนไม่หลับเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า นี่คือการที่ท่านกำลังฝันกลางวันอยู่” 

 

 

“หมาย หมายความว่าเช่นไร” 

 

 

เศรษฐีหวังถาม เบิกตากว้างขึ้นมาในชั่วพริบตา 

 

 

“ความหมายก็คือ ข้าทำไม่ได้ และไม่มีความสามารถนั้นเช่นกัน ท่านมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเสียเถอะ” 

 

 

“เจ้า…” 

 

 

ความยินดีปรีดาทั้งหมดอันตรธานหายไป เศรษฐีหวังโมโหจนคิ้วชี้ขึ้น ชี้นิ้วสั่นไปทางเมิ่งชิง ริมฝีปากสั่นระริกนั้นพูดอะไรไม่ออก 

 

 

เมิ่งชิงไม่ใส่ใจท่าทางของเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเสียดแทงเข้ากระดูก “ข้าอยากจะไถ่ตัวมารดาของข้านั้นไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่ข้าทำได้เพียงแค่มอบเงินให้กับพวกท่าน อย่างอื่น ท่านก็อย่าคิดเพ้อเจ้อไปเลย” 

 

 

“อย่าได้คิด!” 

 

 

เศรษฐีหวังสะบัดแขนเสื้อ ตะคอกเสียงดังด้วยความโมโห “เงินทอง ตระกูลของข้ามีมากมาย จะยังขาดส่วนของเจ้าหรือ จะบอกเจ้าให้นะว่า เจ้ารับปากก็ต้องรับปาก ไม่รับปากก็ต้องรับปาก มิเช่นนั้นล่ะก็…แค่กๆ!” 

 

 

มือที่ตกอยู่ข้างกายเมิ่งชิงกำหมัดแน่นอย่างอดไม่ได้ กดเปลวเพลิงแห่งโทสะเอาไว้ ถามเสียงขรึมว่า “มิเช่นนั้นจะอย่างไรเล่า” 

 

 

เศรษฐีหวังมองหลี่ชุ่ยฮวาที่ร่างกายสั่นเทิ้มครู่หนึ่ง และมองไปทางเมิ่งชิงด้วยนัยน์ตายั่วยุ เอ่ยออกมาช้าๆ ทีละคำ ทีละประโยค “มิเช่นนั้นล่ะก็ ข้าจะขายนางให้เรือนคณิกา” เอ่ยจบ ก็เสริมอีกประโยคว่า “ที่ชั้นต่ำที่สุดประเภทนั้น!” 

 

 

ปัง! 

 

 

แกร๊ก! 

 

 

โครม! 

 

 

… 

 

 

คำพูดของเขาเพิ่งจะเอ่ยจบ กำปั้นของเมิ่งชิงก็ทุบลงบนโต๊ะ โต๊ะหักเป็นสองส่วน กระทั่งสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะทั้งหมดก็กระจัดกระจายร่วงลงบนพื้น 

 

 

กรี๊ด! 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาตกใจกรีดร้อง กระโดดลุกขึ้นยืน 

 

 

เศรษฐีหวังก็ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว 

 

 

เมิ่งชิงลุกขึ้นยืน ย่างเท้าเข้าไปใกล้เขา ถามเสียงเหี้ยมเกรียม “เจ้าพูดว่าอะไรนะ เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินไม่ชัด!” 

 

 

เห็นท่าทางที่พร้อมจะลงมือบีบศีรษะของตัวเองได้ตลอดเวลาของเขาแล้ว เศรษฐีหวังก็ใจสั่น ถอยกรูดไปข้างหลัง “เมิ่ง เมิ่งชิง เจ้า เจ้าอย่าบีบบังคับข้า อย่าง อย่างเลวร้ายข้า ข้า ข้าก็จะสู้กับเจ้าสุดชีวิต!”