บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารบุรุษคนหนึ่งและสตรีคนหนึ่งส่งเสียงแล้วยืนขึ้น

เหลือเพียงระดับมหายานและศิษย์ของพวกเขา ที่เริ่มเดินหน้าไปยังจุดผนึกต่อโดยมีเป่าฮวาเป็นผู้นำ

เห็นได้ชัดว่าจุดผนึกมีเขตอาคมห้ามเหาะเหินที่ร้ายกาจยิ่ง แม้ว่าจะเป็นอิทธิฤทธิ์ของบรรพชนระดับมหายาน ก็ทำได้เพียงพาลูกศิษย์บินอยู่กลางอากาศต่ำๆ เท่านั้น

แน่นอนว่านี่ตรงกันข้ามกับความเร็วปกติของพวกเขา เมื่อเทียบกับคนธรรมดาๆ แล้ว ความเร็วของพวกเขาก็ยังเร็วมาก

ทว่าครึ่งชั่วยามต่อมาทั้งกลุ่มก็บินออกมาได้หมื่นลี้เศษ

ตรงหน้ามีหุบเขาทอดยาวประหลาดๆ ปรากฏขึ้น และมีหมอกสีม่วงอ่อนลอยออกมา หมุนวนแล้วพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

สิ่งที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือมีกลิ่นคาวโชยออกมาจากม่านหมอกบางๆ ทำให้ผู้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกวิงเวียน สติสัมปชัญญะเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าเป็นอย่างมาก

“นี่คือ…” บรรพชนระดับมหายานเหล่านี้กวาดจิตสัมผัสไปที่หมอกสีม่วง ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

“สหายทุกท่านโปรดระวัง อย่าให้สิ่งเหล่านั้นเข้าประชิดตัวง่ายๆ หมอกเหล่านี้คือไอทมิฬที่แผ่ออกมาจากมารดาแมลงพิษ ไอทมิฬชนิดนี้ถึงทำได้ทำให้แมลงมารในแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรากลายพันธุ์เป็นแมลงพิษ” เป่าฮวาเอ่ยปากเตือน

บรรพชนระดับมหายานเหล่านั้นใจหายวาบ บ้างก็เปล่งแสงวาววับ หนากว่าก่อนหน้าหลายส่วน บ้างก็ปล่อยสมบัติป้องกันตัวออกมาชิ้นสองชิ้น

แต่ระดับมหายานจำนวนมากกลับถือดีว่าตนแน่ จึงมีสีหน้าราบเรียบ

ในที่สุดเมื่อทั้งกลุ่มบินมาเหนือหุบเขาก็มองลงไปด้านล่าง บรรพชนจากแดนอื่นทั้งหมดต่างก็อดที่จะสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่งไม่ได้

เห็นเพียงท่ามกลางม่านหมอกสีม่วงที่หมุนวน ตรงก้นหุบเขานั้นลึกล้ำยากคาดเดา และมีพายุทมิฬโชยมาเป็นบางครั้ง ทำให้ผู้คนที่สัมผัสอดที่จะผิวเย็นวาบ รู้สึกหนาวเย็นจนเสียดกระดูกไม่ได้

“ที่นี่คือจุดผนึกโบราณ?” หานลี่หรี่ตาลง ปากก็เอ่ยพึมพำออกมา

เป่าฮวาที่อยู่ไม่ไกลได้ยิน ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมาพลางตอบกลับ

“สหายหาน จุดผนึกโบราณอยู่ส่วนลึกของใต้ดิน ในอดีตเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราเคยล้อมจุดผนึกเอาไว้ และขุดใต้ดินในรัศมีหมื่นลี้ เพื่อสร้างวังธรณียักษ์ เพื่อวางเขตอาคมลึกลับอีกหลายชั้น มารดาแมลงตัวนั้นก็อยู่ตรงใจกลางของวังธรณี เพราะว่าผนึกโบราณถูกมารดาแมลงควบคุมพลังอยู่ส่วนหนึ่ง เดิมพวกเราไม่อาจเข้าไปในวังธรณีได้ง่ายๆ แต่ยามนี้เวลาที่พลังปราณฟ้าดินจะระเบิดออกทุกอาทิตย์ จะเป็นยามที่พลังผนึกโบราณไม่มั่นคง พวกเราถึงได้ถือโอกาสนี้แอบเข้าไป มิเช่นนั้นในยามปกติ แม้ว่าพวกเราจะอาศัยอิทธิฤทธิ์บุกเข้าไป แต่ก็จะทำให้มารดาแมลงพิษตื่นอย่างแน่นอน”

“มารดาแมลงพิษตัวนั้นระแวดระวังจริงๆ! จากที่ข้ารู้ปราณแท้ของแมลงที่แข็งแกร่งทั้งหมดได้รับบาดเจ็บจึงตกอยู่ในภวังค์อันหลับใหลเพราะอยากฟื้นฟูพลัง แต่ตื่นได้ยากมาก นอกเสียจากว่าจะเข้าไปใกล้ๆ มัน และสำแดงอานุภาพที่ถือชีวิตมัน ถึงจะเป็นข้อยกเว้น” ชายชรานักพรตชุดสีเขียวดวงตาสามเหลี่ยมที่อยู่ใกล้เคียงกลับขมวดคิ้วเอ่ย

“ที่แท้ก็นักพรตกู่ มิน่าล่ะถึงเข้าใจแมลงเหี้ยมเหล่านี้นัก ทว่าสหายอย่าลืมล่ะ มารดาแมลงไม่ใช่แมลงเหี้ยมทั่วๆ ไป ที่สหายคาดการณ์อาจจะใช้กับมันไม่ได้นัก” เป่าฮวากวาดสายตาไปที่ระดับมหายานดวงตาสามเหลี่ยมผู้นั้นแวบหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ

“หึ หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง” นักพรตกู่ผู้นี้กลับแค่นเสียงอย่างเย็นชา ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดของเป่าฮวานัก

“หากสหายไม่เชื่อก็ลองทดสอบดูเถิด” เป่าฮวาดูเหมือนจะไม่ได้สนใจนักพรตกู่ผู้นี้นัก หลังจากที่ตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมหนึ่งประโยค ก็ไม่สนใจอีกฝ่ายอีก แค่มองไปยังส่วนลึกของหุบเขาด้วยตนเอง ดูเหมือนว่ากำลังรออันใดอยู่อย่างเงียบๆ

นักพรตกู่ผู้นี้ได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี ดวงตาสามเหลี่ยมเปล่งแสงวาวโรจน์ กลับไม่ได้เอ่ยอันใดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แน่นอนว่าก็ไม่เสี่ยงบุกเข้าในส่วนลึกของหุบเขาจริงๆ

หานลี่เห็นเช่นนี้กลับพิจารณานักพรตกู่ผู้นี้สองแวบอย่างสนใจ

ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป่าฮวาไม่ใช่ระดับมหายานธรรมดาๆ นักพรตกู่นี้ก็ยังกล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับเป่าฮวา เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่มีประวัติความเป็นมา

“สหายหาน นักพรตกู่เป็นคนพูดจาเจ็บแสบ แต่เชี่ยวชาญอมลงพิษ แม้แต่ข้าหากต่อกรกับเขาก็ยังต้องปวดหัว สหายอย่าไปยุ่งกับเขาจะดีที่สุด!” กลับเป็นเป่าฮวาที่ถ่ายทอดเสียงไปหาหานลี่

หานลี่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แค่พยักหน้าเล็กน้อย ไม่มีเจตนาจะเอ่ยปากอันใดอีก

ระดับมหายานคนอื่นๆ ก็ทยอยกันลอยตัวอยู่กลางอากาศเงียบๆ

ไม่รู้ว่าเป็นผลกระทบจากหมอกสีม่วงหรือว่าเพราะพลังจากผนึกใต้ดิน จิตสัมผัสของทุกคนจมหายไปในส่วนลึกของหุบเขาร้อยจั้ง ก็สลายออกโดยอัตโนมัติ ไม่อาจตรวจสอบสถานการณ์ด้านล่างได้

มองหุบเขาสีดำสนิท บรรพชนระดับมหายานเหล่านี้พลันอดที่จะเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาสองสามส่วนไม่ได้

และในยามนี้มือของเป่าฮวากลับมีจานอาคมสีเงินปรากฏเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ใช้มือหนึ่งร่ายคาถา ร่ายอาคมไปที่นั่นไม่หยุด

จานอาคมสีเงินเปล่งแสงเรืองๆ อยู่ในมือของเขา ราวกับว่ามีชีวิตจิตใจก็ไม่ปาน

หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหารเต็มๆ ฉับพลันนั้นจานอาคมสีเงินก็เปล่งเสียงหึ่งๆ จากนั้นลำแสงสีเงินพลันเจิดจ้า อักขระยันต์สีเงินพลันทะลักออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน และพลิ้วไหวไปมาอยู่กลางอากาศ

“ยามนี้แหล่ะ เหล่าสหายรีบเข้าไป” เป่าฮวามีสีหน้ายินดี ปากก็ผิวปาก มือหนึ่งรองจาน กลายเป็นลำแสงสีชมพูพุ่งไปยังส่วนลึกของยอดเขา

ระดับมหายานคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็ไม่กล้าดูแคลนกลายเป็นลำแสงหลีกหนี ทยอยกันไล่ตามเขาไป

ผิวของหานลี่มีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ขับไล่หมอกสีม่วงออกไปสองสามจั้งได้อย่างง่ายดาย และขนาบข้างคนอื่นๆ ที่กำลังบินลงไปด้านล่าง

สิ่งที่คาดไม่ถึงพลันปรากฏขึ้น!

หุบเขาไม่ได้ลึกล้ำยากจะคาดเดาอย่างที่มองจากภายนอก หลังจากที่บินลงมาได้ประมาณพันจั้ง ด้านล่างพลันมีลำแสงอบอุ่นสีขาวนวลปรากฏขึ้น

หลังจากที่สองเท้าของทุกคนหยุดชะงัก ก็ทยอยกันเหยียบไปบนพื้นที่แข็งแกร่งและเหนียวแน่นอย่างแปลกประหลาด

หานลี่กวาดตามองซ้ายขวาพบว่าที่นี่จัตุรัสยักษ์ที่ปูด้วยหยกสีขาววาววับ กว้างถึงร้อยหมู่ และยิ่งไปกว่านั้นทุกๆ ช่วงหนึ่งพื้นดินจะมีไข่มุกวาววับขนาดเท่ากำปั้นฝังอยู่ สะท้อนพื้นดินจนสว่างไสวดุจยามกลางวัน

รอบด้านของจัตุรัสกลับมีถนนอยู่เจ็ดแปดสายคดเคี้ยวไปมา ไม่รู้ว่าทอดตัวไปยังที่ใดกันแน่

หานลี่แววตาเปล่งประกาย แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าแวบหนึ่ง

เห็นเพียงกลางอากาศมีหมอกสีม่วงทะลักออกมาจากทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน และพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า รอบด้านของจัตุรัสดูเหมือนมืดสลัว

“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเราปลอดภัยจนมาถึงที่นี่ ก็หมายความแมลงเหี้ยมตัวนั้นน่าจะยังหลับสนิทอยู่ ยามนี้ก็เริ่มดำเนินการตามแผนที่วางไว้เถิด ข้าจะพานำทัพไปสื่อสารกับจิตวิญญาณของผนึกโบราณก่อน สหายถงหยาพาสหายจากแดนอีกาสวรรค์ไปหาทางติดต่อกับสหายที่ถูกกักเอาไว้ในส่วนลึกของวังธรณี สหายจากแดนราตรีทมิฬพวกเจ้าก็ไปยังส่วนลึกที่สุดของวังธรณีก่อน หาจุดที่มารดาแมลงหลับใหล แล้วตรวจสอบการเคลื่อนไหว แต่อย่าทำให้แมลงตัวนี้ตกใจ จากเคล็ดลับวิชาของแดนราตรีทมิฬ คิดจะทำเรื่องนี้คงไม่ยาก สหายคนอื่นๆ ให้แบ่งออกเป็นสามกลุ่มไปยังเนตรอาคมสองสามแห่งของวังธรณี ทำการซ่อมแซมเขตอาคมใหม่อีกครั้ง พวกเจ้าโปรดเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ที่นี่อาจจะมีลูกหลานสายตรงของมารดาแมลงรักษาการณ์อยู่ มิเช่นนั้นแค่แมลงเหี้ยมนี้ตัวเดียวก็ไม่อาจควบคุมผนึกโบราณได้แล้ว แม้ว่าจะเป็นแค่พลังส่วนน้อยของผนึก แต่เป็นชนรุ่นหลังสายตรงของมารดาแมลง ก็ไม่ใช่สิ่งที่แมลงพิษธรรมดาในโลกภายนอกจะเทียบเทียมได้ แม้ว่าสำหรับระดับมหายานเหล่านี้ ก็อันตรายมาก” หลังจากที่เป่าฮวามองไปรอบๆ สองสามแวบ ก็เริ่มออกคำสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทันที

“หึๆ ไม่มีปัญหา”

“ตาเฒ่าจะล่วงหน้าไปก่อน”

“สหายเป่าฮวาเองก็รักษาตัวด้วย”

บรรพชนระดับมหายานคนอื่นๆ กลับไม่มีความเห็น ต่างแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ แล้วทยอยกันไปจากจัตุรัสอย่างไม่รีบร้อน

หานลี่ นักพรตเซี่ยก็รวมกลุ่มกับระดับมหายานอีกสองคน หายวับไปบนเส้นทางสายหนึ่งใกล้ๆ กับจัตุรัส

ระดับมหายานอีกสองคน หนึ่งในนั้นคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเซี่ยเหลียน อีกคนหนึ่งกลับเป็นระดับมหายานจากแดนอื่นที่มีไอสีเขียวปกคลุมร่างกายนั้นก็คือ ‘ลี่ว์สือ‘

ภารกิจของทั้งสี่คนและคนอื่นๆ นั้นเหมือนกัน คือไปซ่อมแซมเขตอาคมตรงเนตรอาคมในจุดต่างๆ ของวังธรณี

เซี่ยเหลียนเดินไปด้านหน้าสุดพร้มอกับอมยิ้ม ควงคัมภีร์ในมือเล่น

หานลี่และนักพรตเซี่ยเดินอยู่ตรงกลาง ลี่ว์สือตามหลังอยู่เงียบๆ

ทั้งสี่คนล้วนไม่มีเจตนาจะพูดคุย แค่ไถลตัวอยู่ห่างจากพื้นไปสองสามฉื่อ

แต่จิตสัมผัสของพวกเขากลับปกคลุมทุกอย่างในรัศมีร้อยจั้งเอาไว้ ขอแค่เป็นสิ่งที่พลังยุทธ์ไม่เหนือกว่าพวกเขา ก็ไม่อาจเล็ดรอดสายตาของพวกเขาได้

หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ แต่สายตาพลันพิจารณาที่อยู่สองข้างไม่หยุด

ถนนที่พวกเขาไปทางซ้ายคือถนนที่มีอาคารสูง ทุกหลังล้วนเป็นอาคารสี่เหลี่ยมสูงตระหง่านเรียงรายทั้งสองฝั่ง และเรียงตัวเต็มไปหมดทุกหนแห่งที่สายตากวาดมองไป

อาคารเหล่านี้มีรูปทรงโบราณ ผิวมีอักขระยันต์โบราณอยู่เต็มไปหมด ให้ความรู้สึกผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เห็นได้ชัดว่าอยู่มาตั้งไม่รู้กี่หมื่นปีแล้ว

อาคารกว้างขวางหานลี่และพวกบินมาได้หนึ่งกาน้ำชาเต็มๆ คาดไม่ถึงว่าจะยังไม่ถึงปลายทาง

ฉับพลันนั้นหานลี่พลันขมวดคิ้ว คาดไม่ถึงว่าร่างกายจะหยุดชะงัก

“อันใด สหายหานพบอันใด” เป่าฮวายอมสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของหานลี่ จึงหันหน้าไปเอ่ยถาม

บรรพชนลี่ว์สือสาวเท้าอย่างเชื่องช้าเช่นกัน พลางใช้สายตาประหลาดใจมองมาทางหานลี่

“ทางนั้นดูเหมือนจะมีสิ่งที่น่าสนใจ สหายทั้งสองจะไปดูหรือไม่” หานลี่มองไปยังส่วนลึกของหอคอยด้านหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็ฉีกยิ้มขณะเอ่ย

“จิตสัมผัสของสหายไปได้ไกลขนาดนั้นเลยหรือ?” เซี่ยเหลียนกวาดจิตสัมผัสไปทางหอคอยฝั่งนั้นเช่นกัน แต่กลับไม่พบอันใด สีหน้าอดที่จะเปลี่ยนสีไม่ได้

“ในเมื่อสหายหานกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูด้วยกันสักครั้งเถิด” บรรพชนลี่ว์สือกวาดจิตสัมผัสมาแต่ไร้ผลเช่นกัน พลันใจหายวาบแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า

ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสหานลี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาและเซี่ยเหลียนจะเทียบเทียมได้

หานลี่ได้ยินพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา ร่างกายพลิ้วไหว บินไปในหอคอยก่อน

นักพรตเซี่ยย่อมตามไปติดๆ ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

เซี่ยเหลียนและลี่ว์สือพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง ถึงได้ตามไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม