ตงหลิงชางสวมชุดนักโทษ ผมเผ้ายุ่งเหยิงและกลายเป็นสีขาวโพลน ซูบผอมจนไม่เหลือเค้าเดิมของหลู่หยางอ๋องแบบวันวาน
บาดแผลบนร่างกายรักษาเรียบร้อย ทว่าเขาบาดเจ็บสาหัสและร่างกายอ่อนแอมากจนต้องหามด้วยเปล
ตงหลิงหวงเหลือบมองครั้งเดียว และไม่ได้มองหลู่หยางอ๋องอีก จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณที่ผู้คุมเป็นคนไปยกมาด้วยตนเอง
น้ำเสียงของนางเยือกเย็นกว่าเมื่อก่อน
“ข้าจะถามเพียงครั้งเดียวและให้โอกาสเจ้าอีกแค่ครั้งเดียว หากคำตอบเป็นที่พอใจ พวกเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่จนถึงพรุ่งนี้ หากตอบไม่ดี…”
ตงหลิงหวงไม่ได้พูดต่อ ทว่าทุกคนต่างรู้ดีว่านางหมายความว่าอันใด
หลี่ซวินรีบคุกเข่าลงและโขกหัวกับพื้นราวกับทุบกระเทียม
“รัชทายาทถาม กระหม่อมย่อมตอบ”
ตงหลิงหวงเอ่ย “ผู้ใดคือสายลับของแคว้นไหวเจียง เมื่อวานผู้ใดเป็นคนพาพวกเขาเข้ามือง? ”
หลี่ซวินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาเผยความหวาดกลัว
ดวงตาของตงหลิงหวงค่อยๆ หยุดอยู่บนร่างของหลี่ซวิน นางไม่ได้เร่งรัดและรอหลี่ซวินตอบกลับอย่างเงียบงัน
หลี่ซวินเงียบไปครู่หนึ่ง องครักษ์จึงวางเครื่องมือทรมานในมือไว้บนคอของหลี่ซวิน
“รัชทายาทถาม! กล้าไม่ตอบ เจ้าอยากตายนักหรือ? ”
หลี่ซวินตกใจจนใบหน้าซีดเผือดและรีบอ้อนวอน “รัชทายาทได้โปรดไว้ชีวิต! รัชทายาทได้โปรดไว้ชีวิต! กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ ว่าเกิดอันใดขึ้น เรื่องสายลับแคว้นไหวเจียง กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ ”
ตงหลิงหวงยังคงไม่พูดอันใด นางมองไปยังตงหลิงชางที่นอนอยู่บนเปลที่อยู่ไกลออกไป “เสด็จอา ท่านว่าอย่างไร? ”
จวบจนถึงเวลานี้แล้ว การกบฏของหลู่หยางอ๋องทำลายสองพ่อลูกตงหลิงไปตั้งเท่าไร? ตงหลิงหวงยังเรียกตงหลิงชางว่าเสด็จอาได้เพราะเห็นแก่สายเลือดเดียวกัน
เมื่อสิ้นเสียงของตงหลิงหวง นางยังคงไม่ได้เร่งรัดและรอหลู่หยางอ๋องตอบอย่างเงียบงัน
แม้ตงหลิงหวงไม่ได้พูดอันใด ทว่าไอเย็นเยือกรอบกายของนางกลับน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่นางเปิดปากพูดเสียอีก
แม้แต่ผู้คุมที่อยู่ด้านข้างยังยืนตัวสั่น
ตงหลิงชางนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ตงหลิงหวงเหลือบมององครักษ์ที่อยู่ข้างกาย
องครักษ์รู้ได้ทันที เขาเดินไปหาหลู่หยางอ๋องแล้วย่อตัวลง
“ท่านอ๋อง สายลับแคว้นไหวเจียงเข้าเมืองหลวงเมื่อวาน ชาวบ้านจำนวนมากถูกวางยาพิษ แม้วันนี้จะได้รับการถอนพิษแล้ว ทว่าเกิดความเสียหายอย่างมาก คนเสียชีวิตจำนวนมาก หากท่านอ๋องทรงทราบอันใดก็พูดออกมาจะเป็นการดีที่สุด พระองค์จะได้ไม่เจ็บตัว”
ทว่าเมื่อสิ้นเสียงขององครักษ์ หลู่หยางอ๋องกลับหลับตาแน่น
องครักษ์ขมวดคิ้วมุ่น “ท่านอ๋อง พูดกันดีๆ ไม่ชอบ ต้องให้ลงทัณฑ์หรือ? ”
อย่างไรก็ตาม รออยู่ครู่หนึ่ง หลู่หยางอ๋องก็ยังคงไม่ปริปากพูด
ทันใดนั้น องครักษ์ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาผลักหลู่หยางอ๋อง ทว่าหลู่หยางอ๋องกลับไม่มีท่าทีตอบสนอง
เขาจึงให้หมอที่อยู่อีกฝั่งรีบเข้ามาดูอาการ
หลังจากหมอตรวจอาการหลู่หยางอ๋องครั้งหนึ่ง จึงพูดขึ้นว่า “ทูลองค์รัชทายาท หลู่หยางอ๋องหมดสติไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หมดสติหรือ? เร็วถึงเพียงนี้? ” พวกองครักษ์ไม่อยากจะเชื่อ
หมอจึงอธิบายว่า “ท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่เขาอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะยาที่ให้เขาทาน มันไม่ง่ายเลยที่จะยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้”
ตงหลิงหวงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณพลันลุกขึ้นยืนและเดินออกไปข้างนอก
นางเดินไปพลางพูดว่า “เช่นนั้นก็ใช้ยาต่อไป หากเขาตาย แสดงว่าพวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่เช่นกัน”
หลังจากนั้นก็พูดอีกว่า “นำหลี่ซวินไปตัดหัว”
หลี่ซวินราวกับไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน เมื่อได้สติก็รีบพุ่งไปทางด้านหลังตงหลิงหวงและร้องไห้อ้อนวอน
“องค์รัชทายาท โปรดไว้ชีวิต! โปรดไว้ชีวิต! กระหม่อมภักดีต่อองค์รัชทายาท รัชทายาทโปรดไว้ชีวิต! ”
ทว่าเขาร่ำไห้ได้อีกสองสามครั้ง ศีรษะและร่างกายของเขาก็แยกออกจากกันแล้ว
องครักษ์ที่ติดตามตงหลิงหวงลงมือในทันที ตัดศีรษะของเขาในที่เกิดเหตุ
ผู้คุมจำนวนมากตกใจกลัวจนหน้าซีดขาว
เมื่อเดินออกมาจากคุก ตงหลิงหวงก็กลับไปยังตำหนักว่าราชการอีกครั้ง
นางยังมีเรื่องสำคัญมากมายในราชสำนักและในกองทัพให้ต้องสะสาง
คนที่ติดตามหลู่หยางอ๋องและคนที่ทรยศต่อตงหลิงหวงและฮ่องเต้ตงเฉิน ตงหลิงหวงไม่ปล่อยไว้สักราย หากไม่ถูกเนรเทศก็ตัดศีรษะทั้งตระกูล วิธีการเด็ดขาดจนทำให้ผู้อื่นถอนหายใจ
เวลาเพียงวันเดียว เดิมทียังมีเสียงคัดค้านหรือต่อต้าน ทั้งหมดถูกแรงกดดัน ทั้งพระราชวังเงียบเสียยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในอำนาจของฮ่องเต้ตงเฉิน
ตงหลิงหวงยุ่งจนถึงกลางดึกกว่าจะกลับตำหนักบูรพา หลังจากนั้นจึงเดินตรงไปที่ห้องของมู่หรงฉี และอยู่ข้างเตียงของเขาทั้งคืน
แม้ตอนที่ตงหลิงหวงจัดการกับเรื่องงานในราชสำนัก เมื่อกลับมาที่ตำหนักบูรพาก็ไม่ได้ต่างจากเมื่อก่อนและไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง
ทว่านางกำนัลในตำหนักบูรพารู้สึกอย่างชัดเจนว่าตงหลิงหวงแตกต่างจากเมื่อก่อนเล็กน้อย ทว่าบอกไม่ถูกว่าแตกต่างที่ใด
สิ่งเดียวที่พูดได้คือ ตงหลิงหวงน่ากลัวยิ่งว่าเมื่อก่อน น่ากลัวจนพูดได้ว่าน่าสะพรึงกลัว
ตงหลิงหวงเป็นเช่นนี้อยู่สามวันติดต่อกัน กลางวันจัดการงานในราชสำนัก กลางดึกกลับมาที่ตำหนักบูรพาและแต่งตัวไปเฝ้ามู่หรงฉี
วันที่สาม ตงหลิงจวิ้นมาเยี่ยมตงหลิงหวงครั้งหนึ่ง ตงหลิงหวงพบตงหลิงจวิ้นที่ห้องโถงหลักของตำหนักบูรพา ขณะสนทนากับตงหลิงจวิ้น นางแย้มยิ้มอยู่เสมอ ทั้งยังปลอบใจตงหลิงจวิ้นว่าจะไม่ลงโทษคนอื่นในจวนหลู่หยางอ๋องเพราะหลู่หยางอ๋อง และไม่ให้ตงหลิงจวิ้นเศร้าเกินไปเพราะเรื่องของพระชายาหลู่หยางอ๋อง
ตงหลิงจวิ้นไม่รู้จะพูดอันใด เห็นได้ชัดว่าตนเองมาเยี่ยมตงหลิงหวง มาเพื่อปลอบตงหลิงหวง สุดท้ายกลับเป็นตงหลิงหวงที่ปลอบเขาแทน
ขณะที่กำลังจะกลับไป ทันใดนั้น ตงหลิงจวิ้นก็หันหลังกลับมาพูดกับตงหลิงหวง “ท่านพี่ น้องเชื่อว่าฉีอ๋องไม่มีทางจากท่านไปแน่นอน! เขาห่วงใยท่านถึงเพียงนั้น ไม่เต็มใจจากไปอย่างแน่นอน”
ตงหลิงหวงแย้มยิ้มโดยไม่พูดอันใด
ทว่าหลังจากตงหลิงจวิ้นออกไปจากตำหนักบูรพา ตงหลิงหวงกลับทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง นางเอนศีรษะแนบพนักพิงเก้าอี้ ใบหน้าอ่อนล้าซูบซีด
นางไม่ได้เหนื่อยกายทว่าเหนื่อยใจ ซึ่งมันสามารถสูบพลังทั้งหมดของคนคนหนึ่งได้มากทีเดียว
ในที่สุด วันที่เจ็ด ซูจิ่นซีก็มาถึงเมืองหลวงแคว้นตงเฉิน
นอกจากซูจิ่นซี ยังมีเยี่ยโยวเหยาและหมอหลวงอวิ๋น
หลังจากเขียนจดหมายถึงซูจิ่นซี ตงหลิงหวงสั่งการเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นชายแดนหรือเมืองทางผ่าน จะไม่มีกำลังทหารขวางการเข้าเมืองของซูจิ่นซี ดังนั้นซูจิ่นซีและคนอื่นๆ จึงเข้าสู่ดินแดนแคว้นตงเฉินได้อย่างราบรื่น
ตงหลิงหวงออกมาต้อนรับซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ที่ประตูเมือง ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้ลงจากม้า ตลอดทาง นางขี่ม้าเข้าประตูวังแล้วตรงมาถึงตำหนักบูรพา
ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย ครึ่งเดือนก่อน มู่หรงฉียังสบายดีและเพิ่งแยกกับนางที่แคว้นหนานหลี ระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน เขาจะตายได้อย่างไร?
ดังนั้น หลังได้รับจดหมายจากตงหลิงหวง นางจึงไม่อยากเชื่อและรีบควบม้าตลอดทางไม่หยุดพัก เพื่อต้องการมาดูให้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
ระหว่างทาง นางไม่พูดสักประโยค
หลังจากที่เห็นมู่หรงฉีนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ฝีเท้าของซูจิ่นซีพลันหยุดชะงัก ก่อนจะเดินมาที่เตียงของมู่หรงฉีทีละก้าว
นางตรวจสอบมู่หรงฉีอย่างละเอียด
แม้ในจดหมายได้เขียนอย่างชัดเจนแล้ว ทว่าซูจิ่นซียังอยากถามต่อหน้าให้แน่ชัด
อย่างไรเสีย คนที่นอนอยู่บนเตียงตอนนี้ก็คือพี่ชายของนาง
“เกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”
เสียงของตงหลิงหวงสงบนิ่ง “ถูกสังหารในที่เกิดเหตุตอนต่อสู้กับตงหลิงชาง”
พูดจบ ตงหลิงหวงก็เสริมอีกประโยค “ไม่กี่วันก่อน คุณชายจิ่วมาที่มาแคว้นตงเฉิน ข้าขอร้องให้เขาช่วยตรวจดูอาการ เขาพูดว่าบางทีที่แคว้นเป่ยอี้อาจมีวิธีทำให้เขาฟื้นจากความตาย
ซูจิ่นซี ท่านก็รู้ว่าบนโลกนี้มีเรื่องฟื้นจากความตายจริงๆ ท่านและข้าเคยสัมผัสมาด้วยตนเองแล้ว ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่ามู่หรงฉีไม่มีวันจากไปเช่นนี้ เขาจะต้องฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างแน่นอน
ทว่าสถานการณ์ของแคว้นตงเฉินในตอนนี้ ข้ารู้ว่าตนเองปลีกตัวไปที่ใดไม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องไหว้วานท่านแล้ว”
เรื่องฟื้นคืนชีพจากความตาย บางทีผู้อื่นอาจไม่เชื่อและคิดว่ามันเป็นเพียงตำนาน ทว่าตงหลิงหวงเชื่อสุดใจ นอกจากนั้น เรื่องเช่นนี้ได้เกิดขึ้นกับนางไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง
สำหรับเรื่องนี้ ซูจิ่นซีไม่สงสัยแม้แต่น้อย
ทว่านางกลับถามอีกเรื่องหนึ่ง
“ตงหลิงหวง สำหรับเจ้า ในใจของเจ้า บ้านเมืองกับพี่ชายของข้า สิ่งใดสำคัญกว่ากัน? ”
ในใจของตงหลิงหวง บ้านเมืองกับมู่หรงฉี เรื่องใดสำคัญกว่ากันแน่?
หากเป็นเมื่อก่อน ตงหลิงหวงคงพูดอย่างไม่ลังเลว่าบ้านเมืองสำคัญที่สุด
ทว่าตอนนี้เล่า?
นางยังตอบซูจิ่นซีอย่างแน่วแน่เช่นนั้นอยู่หรือไม่?