ระหว่างทางกลับวัง ตงหลิงหวงได้ขอเทียบยาที่สามารถล้างพิษให้กับชาวบ้านจากจิ่วหรง
แน่นอนว่าเทียบยาของจิ่วหรงเรียกได้ว่ากินแล้วหายเป็นปลิดทิ้ง ตงหลิงหวงมอบให้หมอหลวงหลายคนของสำนักหมอหลวง พวกเขาจึงรีบเรียกหมอหลวงและหมอโอสถในเมืองหลวงไปถอนพิษให้ชาวบ้าน
ไม่นานนัก ตงหลิงหวงก็นำทางจิ่วหรงเข้ามาในตำหนักบูรพา
หลังจากองครักษ์พาจิ่วหรงมาถึงตำหนักบูรพา พวกเขาได้เปลี่ยนชุดที่เปื้อนเลือดของมู่หรงฉีและรักษาบาดแผลจนเรียบร้อย
มู่หรงฉีนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ดูเหมือนนอนหลับไปเฉยๆ มากกว่าตาย
ทว่าในตอนนั้น เมื่อเห็นมู่หรงฉี หัวใจของตงหลิงหวงพลันเต้นรัวอย่างเจ็บปวด ดวงตาราบเรียบและขมขื่น
จิ่วหรงตามตงหลิงหวงมาถึงห้องที่มู่หรงฉีอยู่ เขาเดินไปที่เตียงของมู่หรงฉีและสัมผัสชีพจรของมู่หรงฉี ก่อนจะพบว่ามันเย็นเฉียบ เขาตายไปแล้วจริงๆ
หลังจากนั้น จิ่วหรงจึงยกมือขวาขึ้นอย่างเชื่องช้า แสงสว่างควบแน่นอยู่ในฝ่ามือ และส่งพลังแสงสว่างเข้าไปในร่างของมู่หรงฉี
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ จิ่วหรงก็ดึงมือกลับ เมื่อพลิกฝ่ามือขึ้นมา ไข่มุกเม็ดหนึ่งก็ปรากฏอยู่บนนั้น
จิ่วหรงหันกลับมาพูดกับตงหลิงหวง “ฉีอ๋องไม่อยู่แล้วจริงๆ การฟื้นจากความตายต้องอาศัยโชคชะตาวาสนา ข้ากับฉีอ๋องไร้วาสนาต่อกัน ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงไร้หนทางช่วยเหลือ
ทว่าโชคดีที่วิญญาณของฉีอ๋องยังอยู่ในร่าง ข้าจะใช้ไข่มุกรั้งวิญญาณเขาไว้ก่อน เพื่อรักษาร่างเขาไม่ให้เน่าเปื่อย หากคิดจะช่วยฉีอ๋อง รัชทายาทตงเฉินต้องลองไปหาคนเผ่าเม้ยที่แคว้นเป่ยอี้”
แคว้นเป่ยอี้???
ลอง???
ตงหลิงหวงร้อนใจในทันที “คุณชายหมายถึงให้ลองไปแคว้นเป่ยอี้ จะช่วยได้หรือไม่นั้นยังไม่แน่ใจหรือ? ”
จิ่วหรงพูดเสริม “เดิมที การฟื้นจากความตายเป็นเรื่องของโชคชะตาวาสนา หากชะตากรรมของฉีอ๋องเป็นเช่นนี้ ฝืนไปก็ไร้ประโยชน์”
เดิมที ตอนที่จิ่วหรงรับปากว่าจะช่วยมู่หรงฉี ในใจของตงหลิงหวงเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น นางรู้สึกว่ามีจิ่วหรงอยู่ มู่หรงฉีจะต้องไม่เป็นอันใด
อย่างไรก็ตาม ไม่คิดเลยว่าจิ่วหรงจะพูดเช่นนี้
ไม่รู้เพราะเหตุใด ยิ่งคิด ในใจก็ยิ่งหวาดกลัว บริเวณหน้าอกราวกับมีหินหนักกดทับไว้จนนางหายใจไม่ออก
หลังจากยืนเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ตงหลิงหวงจึงก้าวไปหาจิ่วหรง “คุณชายจิ่ว ได้โปรด ไม่ว่าอย่างไร ท่านคิดหาวิธีช่วยมู่หรงฉีด้วยเถิด!
ไม่ว่าคุณชายจะเสนอเงื่อนไขอันใด ข้ายอมทำทุกอย่าง
การไปแคว้นเป่ยอี้… ข้าไม่กล้าเอาชีวิตของมู่หรงฉีไปเสี่ยง ไม่กล้าจริงๆ ”
ตงหลิงหวงไม่มีทางยอมรับว่ามู่หรงฉีตายไปแล้ว ทว่าคำพูดของจิ่วหรงช่างโหดร้ายอย่างมาก
“เขาไม่มีชีวิตแล้ว! ”
ตงหลิงหวงเจ็บปวดใจยิ่งนัก “ไม่ เขาไม่มีวันตาย เขาคือมู่หรงฉี คือฉีอ๋องแห่งแคว้นหนานหลี เขาจะตายได้อย่างไร? ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะตาย ข้าไม่มีวันเชื่อ
คุณชายจิ่ว ทุกคนต่างพูดว่าท่านมีความสามารถในการชุบชีวิตคนตาย อย่างไรก็ตาม ช่วยเห็นแก่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของเขากับพระชายาโยวอ๋อง ได้โปรดช่วยเขาด้วยเถิด! ”
แววตาของจิ่วหรงแปรเปลี่ยนเป็นทอดยาว ราวกับกำลังหวนย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน
“ข้าเคยพูดแล้วว่าการฟื้นชีวิตคนตายไม่ใช่เรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้น”
หากผู้ใดก็สามารถเกิดใหม่หลังจากการตาย เช่นนั้น เทพธิดาในจวนจิ่นอีโฮ่วที่วิญญาณแตกสลาย เขาคงไม่ต้องรอเป็นพันปีเพื่อพบนางอีกครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียไปมากมาย
ท่าทางของจิ่วหรงไม่เหมือนคนพูดโกหก แววตาของเขาจริงจังอย่างมาก มองปราดเดียว ตงหลิงหวงก็เข้าใจได้ในทันที
นางสงบจิตใจลง สองขาพลันอ่อนแรง หากไม่ค้ำโต๊ะเอาไว้คงทรุดลงกับพื้น
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ จิ่วหรงจึงกลับมาได้สติ
“รัชทายาทตงเฉินอย่าได้หมดกำลังใจ แคว้นเป่ยอี้มีเรื่องลึกลับมากมาย นอกจากนั้นยังมีพลังจิตวิญญาณรุนแรง มีเวทมนตร์และความลึกลับมากมายที่อาณาจักรเทียนเหอและสถานที่อื่นไม่มี
เขาคุนหลุน ยอดเขาเฟิ่งหวง ตระกูลเป่ยถัง และเผ่าเม้ยล้วนมีความลึกลับมากมายที่คนบนโลกไม่รู้ การพาฉีอ๋องไปที่แคว้นเป่ยอี้ ไม่แน่ว่าอาจพบโอกาสในการฟื้นจากความตายก็เป็นได้”
ดวงตาที่สิ้นหวังไปแล้วของตงหลิงหวงพลันปรากฏแสงสว่างขึ้นมา นางพยักหน้า
จิ่วหรงไม่ได้รั้งอยู่นาน เขาใส่ไข่มุกเข้าไปในปากของมู่หรงฉี จากนั้นจึงหันหลังเดินออกจากตำหนักบูรพา และเหยียบหลังนกกระเรียนจากไป
แม้จะพยายามทำให้ตนเองเข้มแข็งอย่างหนัก และบอกกับตนเองเสมอว่าต้องเข้มแข็ง ทว่าเมื่อมองจิ่วหรงที่จากไป และมองมู่หรงฉีที่ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ตงหลิงหวงก็ยังไม่กล้ายอมรับว่ามู่หรงฉีตายไปแล้ว
หัวใจของนางพลันรู้สึกอ้างว้าง
ตงหลิงหวงโบกมือ ทุกคนในห้องโถงจึงถอยออกไป จากนั้นนางจึงเดินไปที่ข้างเตียงของมู่หรงฉีทีละก้าว ค่อยๆ นั่งลงที่ขอบเตียง และจับมือของมู่หรงฉีไว้
“มู่หรงฉี เจ้าเลิกแกล้งได้แล้ว! เจ้าจะแกล้งไปถึงเมื่อไร? หากเจ้ายังแกล้งอีก ข้าจะโกรธแล้ว”
“เจ้าไม่ได้ตายใช่หรือไม่? เจ้าจะตายได้อย่างไร? เจ้าเป็นใคร! เจ้าคือฉีอ๋องแห่งแคว้นหนานหลี! ”
“มู่หรงฉี เจ้านอนได้น่าเกลียดเสียจริง หากเจ้าตื่นจะดูดีกว่ามาก! เจ้าดูสิ ตอนเจ้านอนคิ้วพันกันยุ่ง คลายก็คลายไม่ออก”
ตงหลิงหวงยื่นมือไปเหยียดคิ้วให้มู่หรงฉีอย่างเงียบงัน นางพูดพลางน้ำตาไหลอาบแก้มอย่างควบคุมไม่ได้
ยามนี้เป็นเวลากลางคืน ตงหลิงหวงยังไม่กลับไปที่ห้องบรรทมของตนเอง นางอยู่กับร่างของมู่หรงฉีตลอดทั้งคืน
เช้าวันถัดมา นางแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปพบฮ่องเต้ตงเฉิน
ฮ่องเต้ตงเฉินทรงตกพระทัยอย่างหนัก เนื่องจากการก่อกบฏของหลู่หยางอ๋อง ทำให้พระองค์ทรงคิดมากในทุกเรื่อง เมื่อคืนหลังกลับมาที่พระราชวัง พระอาการก็ไม่ดีขึ้น เมื่อตงหลิงหวงไปถึง พระองค์ก็มีอาการไม่สู้ดีนัก
ตงหลิงหวงถามอาการจากหมอหลวงหยวน เขากล่าวว่าฮ่องเต้ตงเฉินจำเป็นต้องพักฟื้น
พักฟื้นหมายความว่าไม่สามารถจัดการเรื่องในราชสำนักได้
ผ่านเรื่องหลู่หยางอ๋องไป ราชสำนักตงเฉินในตอนนี้ต้องได้รับการปฏิรูปขนานใหญ่ ในอนาคตมีเรื่องสำคัญอีกมากมายที่ตงหลิงหวงจำเป็นต้องจัดการให้เรียบร้อย
นอกจากนั้น การที่หลานอวี่ กูสือซาน และคนอื่นๆ บุกเข้ามาในเมืองหลวงแคว้นตงเฉิน ไม่ใช่เรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้น ในเมืองหลวงต้องมีสายลับของแคว้นไหวเจียงแน่นอน ทั้งยังมีคนในสมรู้ร่วมคิด ปล่อยให้คนของแคว้นไหวเจียงเข้ามา
นางต้องรีบสอบสวนเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
มีหลายเรื่องที่นางต้องทำมากมาย นางจึงไม่มีเวลาปลีกตัวไปแคว้นเป่ยอี้
ตงหลิงหวงเขียนจดหมายถึงซูจิ่นซี และอธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์ของมู่หรงฉีอย่างละเอียด นอกจากนั้นยังหวังว่าซูจิ่นซีจะพามู่หรงฉีไปแคว้นเป่ยอี้เพื่อหาวิธีชุบชีวิตเขา
อย่างไรเสีย มู่หรงฉีก็เป็นพี่ชายของซูจิ่นซี นอกจากนั้น ตงหลิงหวงเชื่อในตัวซูจิ่นซี ดังนั้น นางจึงวางใจที่จะมอบร่างของมู่หรงฉีให้ซูจิ่นซี
เมื่อมอบจดหมายให้องครักษ์เงาไปส่ง ตงหลิงหวงจึงมอบหมายงานให้นางกำนัลในวังหลวงและนางกำนัลข้างกายฮ่องเต้ตงเฉิน จากนั้นจึงเดินออกไป
หลังออกมาจากตำหนักของฮ่องเต้ตงเฉิน ตงหลิงหวงก็ตรงไปที่คุกหลวงทันที
ตงหลิงหวงเคยมาสอบสวนนักโทษคนสำคัญแล้วครั้งหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่องครักษ์หน้าคุกหลวงเห็นตงหลิงหวงปรากฏตัวที่นี่ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด วันนี้ตงหลิงหวงจึงดูน่าหวาดกลัวอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของนางไม่ได้ต่างจากเมื่อก่อน ทว่ากลับมีความรู้สึกกดดันที่น่ากลัวอยู่รอบกายจนทำให้ผู้คนหายใจไม่ออก
พวกเขาไม่มีผู้ใดกล้าเพิกเฉย จึงทำได้เพียงยืนรับใช้อย่างสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
ผู้คุมยิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
“ไม่ทราบว่าวันนี้องค์รัชทายาทจะสอบสวนผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ? ”
ไม่รอให้ตงหลิงหวงพูด องครักษ์ที่ตามอยู่ด้านหลังตงหลิงหวงก็พูดขึ้น
“จะสอบสวนผู้ใดได้อีก? ยังไม่รีบไปนำตัวตงหลิงชางกับหลี่ซวินออกมา! ”
ผู้คุมไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย เขารีบพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ! ”
เขาตอบรับและรีบไปนำตัวตงหลิงชางและหลี่ซวินมา
ผ่านไปไม่นาน ตงหลิงชางและหลี่ซวินก็ถูกคุมตัวออกมา
ไม่เจอเพียงคืนเดียว ตงหลิงชางและหลี่ซวินดูซูบไปมาก โดยเฉพาะตงหลิงชางที่ร่างกายบาดเจ็บสาหัส เขาดูชราภาพในชั่วข้ามคืน เส้นผมขาวโพลนทั้งหมด
เมื่อหลี่ซวินเห็นตงหลิงหวง เขาก็คุกเข่าลงบนพื้นดัง ‘ฟุบ’ ก่อนจะคลานเข้ามาเบื้องหน้าตงหลิงหวงทีละก้าว
หลี่ซวินคลานไปอ้อนวอนไป “รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตด้วย รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตด้วย! เป็นกระหม่อมที่หลงผิดเชื่อคนทรยศอย่างตงหลิงชางผู้นี้ ทว่าฟ้าดินเป็นพยาน กระหม่อมจริงใจต่อฝ่าบาทและองค์รัชทายาทไม่เปลี่ยนแปลง! ”
ทว่าเขายังไม่ทันได้เข้าใกล้ตงหลิงหวง ก็ถูกองครักษ์หยุดไว้
หลี่ซวินตกใจเบิกตากว้างและหยุดชะงัก ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอีก และไม่กล้าพูดอันใดแม้แต่คำเดียว
ตงหลิงหวงไม่แม้แต่จะมองหลี่ซวิน ทว่าแววตาราบเรียบของนางมองไปทางตงหลิงชางที่อยู่ไกลออกไป